พูดตามตรง ตันหวายเกิดมายี่สิบกว่าปีใช่ว่าจะไม่เคยเป็นจุดสนใจของผู้คน นึกถึงตอนประถมที่ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นประจำเมือง เขาไม่เพียงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนเท่านั้น แต่ยังได้ออกโทรทัศน์ด้วย
แต่ว่า…คราวนี้ผู้ชมออกจะเยอะเกินไปสักหน่อย ตอนนี้เหอจินหมิงกำลังจับมือเขาขณะยืนอยู่บนเวทีสูง เบื้องล่างคือบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊และกองทหารสวมชุดเกราะ ยังดีที่พวกทหารสายตาจดจ่อไม่วอกแวก หากแต่สายตาของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊กลับเหลือบขึ้นจ้องตรงมาที่เขา จ้องเสียจนหนังหัวเขาชาดิก นี่ถ้าเอาคนขวัญอ่อนมายืนแทนล่ะก็ คงจะเข่าทรุดจนลุกไม่ขึ้นกันแล้ว
สัมผัสที่ไล้เลียอยู่ข้างหูทำเอาตันหวายสะดุ้งวาบ เขาแทบจะหันไปมองผู้ชายด้านข้างด้วยอาการผวา พอมองคราวนี้ ตันหวายก็ตะลึงงันไป ใบหน้าหล่อเหลาของชายตรงหน้าเขารู้จักดีจากในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม ทว่าถึงแม้จะรู้จัก กลับไม่อาจสู้ตัวจริงที่ได้มาเห็นเองกับตาเลย
ตันหวาย “ท่านเชื่อในรักแรกพบหรือไม่?”
บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๋ “…”
เหอจินหมิงขมวดคิ้ว สายตาที่จ้องมองเขาทอแววครุ่นคิด
“ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอกน่า ท่านดูสิที่นี่บรรยากาศไม่ค่อยจะดี ข้าเลยช่วยให้ครื้นเครงขึ้นบ้าง”
เมื่อมองดูใบหน้าที่ยิ้มฝืดจนเกือบจะแข็งทื่อของตันหวายจนเต็มตาแล้ว นัยน์ตาของเหอจินหมิงก็ฉายแววยิ้มเยาะ ตันหวายสีหน้าแข็งค้างไปทันใด คิดในใจว่าอย่างลูกพี่ไม่ต้องขำเลยเสียจะดีกว่า
ในขณะที่คิดอยู่นั้น เสียงกลองรัวกระหึ่มก็พลันดังขึ้นจากที่ไกลๆ เสียงกลองนี้ราวกับเป็นการเปิดฉาก บรรยากาศรอบด้านดูคึกคักขึ้นมาในพริบตา บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊เบื้องล่างเวทีต่างถอยหลีกออกให้เป็นทางสายหนึ่ง
ตันหวายรู้สึกได้ว่ามือของเหอจินหมิงที่จับเขาไว้คลายออก ความโหดร้ายเมื่อครู่หายไปแล้ว ก่อนมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเคร่งขรึม สีหน้าขมึงทึง
ตันหวายที่หลุดพ้นจากสายตาเหอจินหมิงมาได้ผ่อนลมหายใจเฮือก มือที่ถูกดึงไปเช็ดป้ายกับเสื้อผ้าเงียบๆ แล้วชักกลับเข้าไปในแขนเสื้อ
ทางสัญจรที่บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊หลีกให้เบื้องล่างเวทีมีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านเข้ามา ผู้ที่นำหน้าแผ่นหลังเหยียดตรงยืนอยู่เหนือกลอง ดุจราวกับต้นไผ่ต้นหนึ่ง
ตันหวายยังไม่ทันมองเห็นได้ชัดเจน ก็ถูกใครสักคนฉุดเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแรง เหอจินหมิงหยอกล้อกับติ่งหูของเขา โน้มศีรษะลงประชิดข้างหูเขาพลางหัวเราะหึในลำคอ “ฝูเซิงดูอะไรอยู่? ดูว่าฮองเฮาที่เราจะแต่งกลับเข้ามาหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ?”
ตันหวาย “…”
เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!!!
ตันหวายถามตัวเองว่าเกิดมาตั้งหลายปีเพียงนี้ไม่เคยทำเรื่องผิดครรลองคลองธรรมอะไร แต่ทำไมต้องให้เขามาพบเจอไอ้คนพิลึกอย่างเหอจินหมิงด้วย! หยิบบทผิดเล่มหรือยังไง? นายไม่ได้แสดงบทจักรพรรดิบ้าอำนาจกับนางสนมน้อยแล้ว! แต่นายกำลังแสดงบทรุกโฉดชั่วที่โดนหลอกใช้เป็นเบี้ยต่างหาก!
“จุ๊ๆ เขามากันแล้ว” เหอจินหมิงขยับใกล้เข้ามาอีก ศีรษะแนบชิดอยู่ด้านข้างตันหวาย ริมฝีปากแทบจะประทับลงบนหน้าตันหวายขณะกล่าววาจา
ตันหวายที่ถูกขัดจังหวะความคิดขมวดคิ้วมุ่น เบนศีรษะออกเล็กน้อยหลีกหนีการก่อกวนจากเหอจินหมิง
เหอจินหมิงไม่ได้ใส่ใจการกระทำของตันหวาย หรี่ตาพลางเงยหน้าขึ้น สบสายตากับผู้มาเยือน
“กระหม่อมจวินเฉิง ขอถวายบังคมใต้ฝ่าพระบาท”
เสียงนี้ลอยมาถึงหูตันหวายก็ทำให้เขาชะงักงัน จากนั้นก็หันหน้าขวับไปมองชายด้านล่างเวที ชายหนุ่มยืนอยู่กึ่งกลางกลองศึก แหงนหน้าขึ้นมองคนทั้งสองบนเวทีสูง สีหน้าสงบเรียบเฉย ประหนึ่งกำลังดูละครที่ไม่สนุกเอาเสียเลย แต่จำใจต้องดูต่อให้จบ
ตันหวายถูกเหอจินหมิงโอบไว้ในอ้อมแขนสบตากันเนิ่นนาน นานเสียจนตันหวายเกือบนึกว่าผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่ง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้คนเบื้องล่างเวทีเบนสายตาไปจับจ้องอยู่ที่เหอจินหมิงข้างหลังเขา
จวินเฉิงกระโดดลงมาจากกลอง กำหมัดคุกเข่าข้างหนึ่ง แผ่นหลังเหยียดตั้งตรงกล่าวว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงราชาภิเษกสมรส กระหม่อมเดินทางมาเพื่อส่งตัวน้องสาวพ่ะย่ะค่ะ”
เงียบกริบ เงียบกริบเสียจนผิดปกติ เงียบกริบจนทำให้หายใจลำบาก องค์จักรพรรดิมิได้กล่าววาจา บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๋ถ้วนหน้ายิ่งไม่กล้าปริปากแม้สักคำเดียว
ตันหวายจ้องหน้าผู้พูดเขม็ง ราวกับจะจ้องเอาให้ทะลุทะลวงอย่างไรอย่างนั้น เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่จับจ้องมายังตน จวินเฉิงก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของสายตาอย่างตกตะลึง
จวินเฉิงเคยพบพานคนงามนับไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยมีใครมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน เหมือนกับสหายเก่าที่ไม่ได้เห็นหน้านานหลายปีบังเอิญพบเจอกัน สายตาคนผู้นั้นเปรียบดั่งสุราหมักบ่มไว้นานปี ค่อยๆ รินไหลลงสู่กลางใจเขา ผู้เป็นเจ้าของสายตามีดวงตางดงาม เสียดายที่ยามนี้ออกจะแดงก่ำอยู่บ้าง ดุจราวกับหยกงามชั้นดีที่มีตำหนิเล็กน้อยอยู่ภายใน หากแต่ตำหนิดังกล่าวชวนให้ผู้มาเชยชมรู้สึกว่างดงามเป็นพิเศษ
เขาคือใคร จวินเฉิงย่อมรู้จักดี ไม่เพียงแต่เขารู้จักดี ทั่วทั้งต้าโจวไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ความรักระหว่างชายกับชาย ตั้งแต่ตระกูลขุนนางขึ้นไปกระทั่งตระกูลพ่อค้าลงมาล้วนมี ทว่าไม่มีใครออกหน้าออกตาให้คนเขาติฉินนินทา แต่บัดนี้มีแล้ว ทั้งคนผู้นั้นยังเป็นจักรพรรดิแห่งต้าโจว จะไม่เล่าสู่กันฟังปากต่อปากได้อย่างไร เล่ากันว่าคนผู้นี้เป็นลูกผู้ดีมีเงิน เป็นพวกเหลวแหลกแถมยังปัญญาทึบ เพียงแต่อาศัยบุญคุณที่ทำไว้กับฮ่องเต้จึงได้รับความโปรดปรานจากพระองค์
ไม่ใช่แค่จวินเฉิงที่สังเกตเห็นสายตาของตันหวาย เหอจินหมิงก็สังเกตเห็นเช่นกัน เมื่อเห็นดวงตาคู่งามจับจ้องมองชายอื่นชนิดตาไม่กะพริบ สีหน้าเหอจินหมิงก็บูดบึ้งขึ้นมา
แทบจะบีบบังคับเลื่อนใบหน้าของตันหวายกลับมา เหอจินหมิงทำปากยิ้มตาไม่ยิ้มกล่าวว่า “ฝูเซิงเป็นคนช่างหึงหวง ยอมทนทุกข์ทรมานเสียดีกว่าเห็นเราแต่งงานกับหญิงอื่น”
ตันหวายเม้มปาก เหลือบมองจวินเฉิงข้างล่างเวทีอีกครั้งโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร
เหอจินหมิงสังเกตเห็นการกระทำของเขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ แต่ยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม ก่อนหันกายตนไปประชิดกับตันหวายยิ่งกว่าเดิม
ตันหวายขมวดคิ้ว พลันสังหรณ์ใจขึ้นมาได้ว่าเหอจินหมิงมีเจตนาอะไร เขาไม่ชอบตันฝูเซิง หรือพูดให้ถูกก็คือเขาเกลียดชังตันฝูเซิง แต่ตันฝูเซิงนั้นเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ เอามาใช้สร้างความอับอายให้แก่คนอื่นได้
มีตันฝูเซิงอยู่ ยามแต่งงานกับน้องสาวแท้ๆ ของซีหนานอ๋อง เหอจินหมิงก็สามารถตอกย้ำซีหนานอ๋องได้ว่า เขานี่ล่ะคือฮ่องเต้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือเขา แม้จะอยู่ในพิธีแต่งงานของน้องสาวเจ้า ก็ยังสามารถรักเอ็นดูชายผู้หนึ่งต่อหน้าธารกำนัล
พอค่อนแคะความคิดลึกล้ำของเหอจินหมิงได้ยกหนึ่ง ตันหวายก็มองจวินเฉิงเบื้องล่างเวทีอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เขามองไปทางจวินเฉิง จวินเฉิงก็กำลังมองเขาอยู่พอดีเช่นกัน ตันหวายจึงสบกับดวงตาคู่นั้นตรงๆ จนนิ่งตะลึงไป
(ท่านเจ้าของร่าง ศูนย์บัญชาการส่งข้อมูลมาแจ้งให้ทราบ เป้าหมายยึดครองของท่านปรากฏตัวแล้ว)