Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 194 จิ้งจอกเฒ่า
ในตึกผู้ป่วย
ฉินอวี่ตอบกลับเฒ่าหลี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมเองก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่แอบให้ข้อมูลคนร้ายพวกนั้น แต่มั่นใจแน่นอนว่าในสํานักงานเรามีไส้ศึก และคงไม่ใช่พวกยศต่ำๆแน่”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็ใช่ว่าจะหาตัวจับได้ง่ายๆ ซะที่ไหนการที่นายกล่าวอ้างแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากข่าวโคมลอยเลย หลักฐานอะไรก็ไม่มี จะให้ไปสืบเอามั่วๆ ก็ไม่ได้” เฒ่า หลีกอดอกครุ่นคิด “คราวหลังนายต้องระวังมากกว่านี้นะ อย่าไปเที่ยวแพร่งพรายเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง เรื่องบางบางเรื่องหัดเก็บเป็นความลับบ้างก็ดี”
“ผมรู้” ฉินอวี่พยักหน้า “แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อครับ? พวกคนร้ายที่อพาร์ตเมนต์ถนนเมเปิลก็หลุดมือไปหมดแล้วจะหาตัวอีกคงยาก”
“ถึงยังไงก็ต้องตามจับมันให้ได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก” เฒ่าหลี่โบกมือ
จู่ๆ ฉินอวี่ก็นึกอะไรบางอย่างออกจึงเอ่ยปากถาม “ลุงยังไม่ได้บอกให้ทางสํานักงานสรุปคดีนี้ใช่ไหม? ถ้ายังก็อย่าเพิ่งนะ ผมว่าเราข้ามอะไรบางอย่างไป”
“นายรู้อะไรมางั้นเหรอ?” เฒ่าหลี่ถามกลับ
“ถึงตอนแรกผมจะไม่รู้อะไร แต่ตอนนี้หลายอย่างเริ่มเข้าเค้าแล้ว” ฉินอวี่ตอบอย่างไม่ลังเล “พวกมันไม่ได้ฆ่าหวี่เหย้าเพราะเงินแปดหมื่นดอลลาร์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลู่เป็นเซิ่งโดยตรง”
“จะบอกว่าคนร้ายกับหรูเวินเซึ่งมีความแค้นกันมาก่อน?”
“ไม่ใช่แบบนั้น” ฉินอวี่อธิบายต่อ “ถ้าแค่ล้างแค้นพวกนั้นไม่จําเป็นต้องไปยุ่งกับเหยียนคังหรือบริษัทตระกูลหรู่หรอก มันชัดเจนมากว่าคนพวกนี้มีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง และเป้าหมายหลักก็คือหวูเวินเซิ่ง”
เฒ่าหลี่ยิ้มขณะมองหน้าฉินอวก่อนถาม “นายคิดว่าพวกมันจะหยุดแค่นี้ไหม?”
ฉินอวี่ชะงักกับรอยยิ้มของอีกฝ่าย
เฒ่าหลี่หยิบแก้วน้ําขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ “ฉันว่าปล่อยให้พวกมันกัดกันไปก่อนเถอะ จนกว่าหรู่เวินเซิ่งจะล้มเราค่อยเคลื่อนไหว”
“จริงสิ งั้นผมเอาด้วย!” ฉินอวี่มองเฒ่าหลี่อย่างตื่นเต้นจิ้งจอกเฒ๋ายังไงก็เจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำ
“ถ้าหวูเวินเพิ่งตาย การจะหาตัวไอ้พวกอันธพาลนั้นคงไม่ยาก” เฒ่าหลี่พูดชี้ทาง “และถ้านายอาศัยประโยชน์จากพวกมันได้บวกกับมีหลักฐานเรื่องการค้าอาวุธปืนของตระ กูลหรู เท่านี้เราก็จะมีไพ่เหนือกว่า เข้าใจใช่ไหม?”
“แต่มีเวลาแค่เดือนเดียว สองฝ่ายนั่นจะจัดการกันได้จริงเหรอ?” ด้วยเวลาที่จํากัดทําให้ฉินอวี่เริ่มเป็นกังวล
เฒ่าหลี่ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ผู้กํากับหวังยอมให้ฉันทําคดีนี้แสดงว่าเขาไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับหรูเวินเซิ่ง อีกอย่างพวกคนร้ายไม่ใช่กุญแจสําคัญ สิ่งที่สําคัญคือฉันจะหา หลักฐานเรื่องการค้าอาวุธได้มากขนาดไหน”
ฉินอวี่ครุ่นคิดก่อนตอบกลับ “เข้าใจละ…เป็นแบบนี้เองสินะ”
“เอาล่ะ จบเรื่องแค่นี้ก่อน นายก็ลุกขึ้นมาเสริมทัพฉันเร็วๆ แล้วกันนะ” เฒ่าหลี่วางแก้ว น้ำและลุกขึ้นตบบ่าฉินอวี่ “นายทํางานได้ดีนะ สู้ต่อไปแล้วกันไอ้หนูเจ็บแค่นี้ไม่ถึง ตาย”
ฉินอวี่ยิ้ม “ถ้ามันทําให้ลุงอ้าปากพูดหรือทําอะไรสักอย่างได้เจ็บแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา”
“นายนี่มันหน้าด้านเหมือนเจ้าแมวเฒ่าไม่มีผิด” เฒ่าหลี่ชี้ หน้าฉินอวี่ก่อนหันหลังและเดินออกจากห้องไป
“เฮ้ลุง ผมยอมเจ็บหนักขนาดนี้ขอเหรียญรางวัลให้หน่อยไม่ได้เหรอ? ลองไปพูดให้สักหน่อยน่า ถ้าไม่ได้ค่อยว่ากัน…” ฉินอวี่ตะโกนตามหลัง
เฒ่าหลี่ทําหูทวนลมและเร่งฝีเท้าเดินไปทันที
สองวันต่อมา
ในสภาแห่งรัฐเจียงหนาน หรูเวินเซึ่งเป็นประธานการประชุม ระหว่างทางเขาเดินด้วยท่าที่สดใสยิ้มและทักทายกับ เหล่าวุฒิสมาชิก
กระทั่งขึ้นไปชั้นสามรอยยิ้มของเขาก็หายไป ใบหน้าสดใสแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขาเลี้ยว เข้าไปในห้องน้ําและปลดปล่อยของเหลวใส่โถปัสสาวะ
จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่พยายามแทงข้างหลัง ทุกคืนเขานอนไม่หลับต้องมาคอยระแวงว่าจะโดนทําร้ายเมื่อไหร่ เพราะถ้าไม่รู้ว่าศัตรูคือใครการหาวิธีรับมือนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ปัสสาวะของเขามีสีขันขุ่น รวมไปถึงผมบนศีรษะที่เริ่มร่วงหล่นเพราะความเครียด ร่างกายที่เคยอวบอ้วนต้องซูบผอมเหมือนคนเป็นโรค
ทั้งที่อายุเพิ่งผ่านพ้นวัยกลางคนมาได้ไม่นานก็ต้องมาเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน หนําซ้ำธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองต้องมา เผชิญหายนะที่ยากจะแก้ไขอีก หากเป็นคนอื่นปานนี้คงล้มหมอนนอนเสื่อไปแล้ว โชคดีที่เขาผ่านอะไรมามากใช่ชีวิตทั้งขาขึ้นขาลง จึงสามารถกัดฟันและยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
หวู่เวินเซิ่งจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยหลังปล่อยของเสียเสร็จ เขาเดินไปยังหน้าต่างและโทรหาหยวนเค่อ
“ว่าไงครับลุง?”
“หมอนั่นว่าไงบ้าง?” หวู่เวินเซิ่งถาม
“อาจจะใช้เวลาหน่อยแต่ได้เรื่องแน่นอนครับ” หยวนเค่อตอบ
“แล้วมันติดอะไร?” หวู่เวินเซิ่งถามกลับอย่างร้อนใจ “ฉันต้องการคําตอบด่วน”
“ใจเย็นก่อนครับ รับรองว่าคําตอบที่ได้ไม่ผิดหวังแน่นอน”
“รีบเลยเสี่ยวเค่อ”
“ได้ครับ”
“อืม” หวู่เวินเซิ่งวางสายและเดินไปที่อ่างล้างมือ
ที่ประตู ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ เดินสับเท้าเข้ามาและปลดเข็มขัดปล่อยของเหลวอย่างรีบร้อน
หวู่เวินเซิ่งก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงทักทายก่อนจะสะบัดมือและรีบออกจากห้องน้ําไป
เวลาสี่ทุ่ม
ณ ห้องใต้ดินอันมืดสนิทบริเวณถนนชีหยวน หลีจือถูกมัดติดกับเก้าอี้ เขาพยายามดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ
อีกห้อง ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งยกขาพากโต๊ะคอมพิวเตอร์พลางมองหน้าจอก่อนจะหยิบรีโมตขึ้นมากดปุ่มสีแดง
“เปรี้ยะ!”
สายไฟที่พันรอบตัวหลีจือมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านส่งผลให้เขาช็อกตาตั้งและนั่งตัวตรงทันที
ตลอดสามวันที่ผ่านมาพวกหยวนเค่อไม่ได้ถามคําถามอะไรมาก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้หลีคือนอนเช่นกัน เขาถูกขังไว้ในห้องมืดและใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นปลุกให้ตื่นทุกครั้งที่หลับ
หลีจือไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนหรือเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
ตลอดสามวันนี้ไม่มีข้าวสักเม็ดตกถึงท้อง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไร สติสัมปชัญญะเริ่มพร่าเลือน ชีพจรเริ่มเต้นผิดจังหวะจากความกลัวและความวิตก
“พวกแกคิดจะทําอะไรกับฉัน ห้ะ?!” หลีจือเค้นเสียงตะโกนอย่างสิ้นหวัง “ฉันฆ่าหรู่เหย้ากับเหยียนคัง ถ้าพวกแกแค้นนักก็ฆ่าฉันให้ตายไปเลยสิวะ!”
บริเวณทางเดินชั้นที่หนึ่ง
หยวนเค่อถามเสี่ยวจิ่ว “มันเป็นไงบ้าง?”
“เมื่อวานลองถามบ้างแล้วแต่ยังไม่ได้คําตอบอะไร” เสี่ยวจิ่วตอบ
“เดี๋ยวก็คงยอม กระตุ้นมันต่อไปงั้นแหละ” หยวนเค่อตอบหลังครุ่นคิดอยู่นาน
ณ ตึกผู้ปวยในโรงพยาบาล
ขณะฉินอวี่กําลังรอกินข้าวก็มีคนเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามา
“ไงพวก คิดถึงฉันไหม?” แมวเฒ่าเดินเข้ามาด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบหิมะและน้ำแข็งพร้อมกับนิ้วถุงอาหารสองถุงมาด้วย
ฉินอวี่ตะตะลึงก่อนสบถ “ฉันเกือบหัวใจวายตายแล้ว!”
“เฒ่าหลี่บอกฉันว่านายเจ็บปางตาย ทําไมทุกครั้งที่ทํางานต้องเป็นงีตลอด ห้ะ? ให้ตายเถอะ…จะอะไรก็ให้มันน้อยๆ หน่อย” แมวเฒ่าบ่นอุบพลางเดินเอาถุงอาหารไปวางบนโต๊ะข้างๆ “ไหนขอฉันดูหน่อยว่าเจ็บตรงไหน ฉันมีหมอเชียวชาญแผลถูกกระสุนยิงแถวถนนเถ้าธุลีอยู่ด้วยนะ ถึงจะรักษาแผลลึกถึงกระดูกไม่ได้แต่คงพอ…”
“ออกไปห่างๆ เลย แค่แผลเล็กๆ ไม่ต้องหาเรื่องมาถอดกางเกงฉัน”
“อะไรกันไอ้คุณชาย อายรึไง?
“ไอ้โรคจิต!”
ขณะทั้งสองกําลังชุลมุนกันอยู่บนเตียงผู้ป่วย หลินเนียนเลยก็ผลไม้หลากชนิดเดินเข้ามาพอดี
แมวเฒ่าเมื่อสังเกตเห็นก็รีบหันไปยิ้มทักทายทันที “ว่าไง นางผฟ้าคนสวย…”
หลินเหนียนเลยมองข้ามไปหาฉินอวี่ก่อนจะวางผลไม้บนโต๊ะและพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย้ยหยันว่า “ว่าไงหนุ่มๆ? กําลังฉันนีมูนกันอยู่เหรอจ๊ะ?”