บทที่ 158 กลิ้งไปตามเถาไม้เลื้อย 5 (2)
ไหล่ของอัศวินแมวเกร็งขึ้นทันทีเมื่อคาร์ลทำเช่นนั้น คนทั้งคู่สบตาเข้าหากันทันที
“เจ้ามีขนสัตว์ติดอยู่ที่เครื่องแบบนะ”
“..อ่า…อย่างนั้นหรือขอรับ?”
“ใช่..ดูเหมือนเจ้าจะเลี้ยงแมวขนสีแดงไว้สินะ?..สีขนของมันดูเหมือนผมของเจ้าเลย?”
คาร์ลถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนในขณะที่อัศวินแมวส่ายศีรษะน้อยๆ
“น่าจะเป็นเส้นผมของข้าน้อยมากกว่าเพราะข้าน้อยไม่มีสัตว์เลี้ยง!”
“อย่างนั้นรึ?”
คาร์ลเห็นสีหน้าจริงจังที่อัศวินแมวตอบกลับมา
“ขอรับ..ข้าน้อยเกลียดสัตว์พวกนั้น!”
ดูเหมือนเขาจะหมายความตามนั้นจริงๆ
คาร์ลไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเมื่อเริ่มออกเดินอีกครั้ง อัศวินแมวเริ่มอธิบายสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวของพวกเขาอีกครั้ง เสียงของราอนดังเข้ามาในหัวของเขาทันที
~ เขาดูตื่นเต้นเมื่อเอ่ยถามเจ้าว่าเลี้ยงแมวไว้หรือเปล่า?แต่ท่าทางของเขาก็ดูจริงจังเช่นกันเมื่อบอกว่าตัวเองเกลียดสัตว์! มันแปลกมากเลย!~
‘ถูก’
อัศวินคนนี้แปลกจริงๆ อย่างไรก็ตามคาร์ลได้รับการยืนยันจากเชวฮันอีกครั้งเมื่อเขาแอบมากระซิบเบาๆข้างหูเมื่อเดินออกจากอัศวินแมวและพากันเดินเข้าไปในหอสมุด
“ท่านคาร์ล…ความแข็งแกร่งของอัศวินผู้นั้นสูงเกินกว่าที่จะมาทำหน้าที่เป็นเพียงคนดูแลเท่านั้น..หากเป็นอัศวินที่อยู่ในแนวหน้าการต่อสู้ดูจะเข้ากับเขามากกว่า”
‘ฉันจะแกล้งไม่รู้ก็แล้วกัน’
อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่สามารถห้ามความคิดของตนได้เมื่อจำข้อมูลบางส่วนที่ฮิลส์แมนรายงานให้เขาฟังเกี่ยวกับอัศวินผู้นี้
‘อัศวินผู้นี้มาจากสลัมขอรับ’
‘ดูเหมือนเขาจะเติบโตมากับพ่อแม่ที่ยากจนและมีพี่น้องจำนวนหลายคนแต่เขาเป็นคนใฝ่ดีและมีน้ำใจต่อผู้อื่น..ทำให้เขาได้รับความชื่นชมจากผู้คนที่อาศัยในสลัมและประชาชนทั่วไป..พวกเขาต่างเรียกขานอัศวินผู้นี้ว่าช้างเผือกขอรับ’
ข้อมูลส่วนสุดท้ายผุดขึ้นในใจของคาร์ล
อัศวินแมวผู้นี้อายุ 23 ปี
‘เมื่อ15ปีก่อนพี่น้องของเขาบางส่วนถูกส่งตัวเข้ามาในหอระฆังเล่นแร่แปรธาตุ..พ่อแม่ของเขาดูเหมือนจะเป็นมนุษย์นะขอรับ’
15ปีก่อนและสลัม
คาร์ลนึกถึงหอระฆังเล่นแร่แปรธาตุทันที
อัศวินแมวมาที่นี่เพื่อฆ่าใครกันแน่นะ?
คาร์ลไม่ได้กังวลในเรื่องนี้มากนักก่อนจะปัดเรื่องนี้ออกจากหัวทันที เขาเดินตรงไปยังบรรณารักษ์ที่ประจำอยู่หอสมุดชั้นหนึ่งแทน บรรณารักษ์ดูมีความสุขและก็ตกใจไปพร้อมๆกัน
“นี่ก็นานมากแล้วที่ข้าน้อย..ไม่ได้เห็นชาวต่างอาณาจักรสนใจในหอสมุดของเรา”
“อย่างนั้นรึ? ข้าแค่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของจักรวรรดิ”
“อ่า…ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
“อย่างน้อย..เราก็ควรรู้ประวัติความเป็นมาของอาณาจักรที่เชิญเรามาสิ”
บรรณารักษ์พยักหน้าตามคำพูดของคาร์ล บรรณารักษ์ชื่นชมในทัศนคติของขุนนางต่างอาณาจักรผู้นี้ยิ่งนัก
บรรณารักษ์พาคาร์ลมาหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่รวบรวมหนังสือประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเอาไว้ก่อนจะอธิบายให้คาร์ลฟัง
“นี่คือชั้นหนังสือที่รวบรวมข้อมูลความเป็นมาของจักรวรรดิเอาไว้รวมทั้งความสำเร็จขององค์จักรพรรดิที่มีมาตั้งแต่สมัยอดีต”
“โอ้!..ข้าเข้าใจแล้ว.ข้าจะทยอยดูหนังสือพวกนี้ไปเรื่อยๆแล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ..หากท่านต้องการความช่วยเหลือใดๆ..สามารถเรียกข้าน้อยได้ทุกเมื่อ”
บรรณารักษ์พยักหน้ารับและยกยิ้มอย่างพอใจกับนายน้อยต่างอาณาจักรที่เริ่มหยิบหนังสือออกมาอ่านช้าๆ
‘เขาคงชื่นชอบในจักรวรรดิของเราไม่น้อยถึงสามารถเข้าใจในภาษาของเราได้’
นั่นคือเหตุผลที่บรรณารักษ์รู้สึกสนใจในตัวคาร์ล แม้ว่าชั้นหนึ่งของหอสมุดแห่งนี้จะเปิดให้ชาวต่างอาณาจักรเข้าใช้บริการได้แต่หนังสือทั้งหมดกลับเป็นภาษาจักรวรรดิ แม้ว่าจะประกาศเป็นวงกว้างว่าเปิดรับชาวต่างอาณาจักรแต่มันก็ยังเป็นการบอกกลายๆว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถอ่านอะไรได้เลยหากไม่รู้ภาษาของเรา
อย่างไรก็ตามคาร์ลมีราอนอยู่ข้างกาย
~มนุษย์!มีหนังสือที่เกี่ยวกับวิหารอยู่บนชั้น3..มันใกล้ๆกับที่เจ้ายืนอยู่~
คาร์ลค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบหนังสือออกมาแบบสุ่มๆและเลือกออกมาได้เล่มหนึ่ง
ฟึบ!ฟึบ!ฟึบ!
เสียงใสๆของราอนดังเข้ามาในหัวของคาร์ลอีกครั้ง
~มีตำหนักถูกสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันถูกสร้างขึ้น!~
คาร์ลยกหนังสือขึ้นมาบังใบหน้าของตนเอาไว้และเริ่มพูดเบาๆ
“อ่านรายละเอียดทั้งหมดให้ข้าฟังที”
คาร์ลเริ่มเปิดหนังสือขึ้นอีกครั้ง
~ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตำหนักที่ถูกเผาหลังจากที่วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันถูกสร้างเสร็จ อย่างไรก็ตามมีเพียงตำหนักเดียวเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเวลานั้น~
พวกเขาไม่เคยเห็นพื้นที่ใดๆในบริเวณพระราชวังที่ถูกไฟไหม้เมื่อครั้งอดีต
~สวนก็ถูกสร้างขึ้นหลังจากสร้างตำหนักเสร็จเช่นกัน~
ตำหนักและสวนถูกสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันถูกสร้างขึ้น
~พวกเขาเรียกตำหนักแห่งนี้ว่า‘ตำหนักแสงตะวัน’ และ‘สวนสวรรค์’ ซึ่งชื่อดังกล่าวได้รับพระราชทานจากองค์จักรพรรดิและพระสันตะปาปา~
ฟึบ!ฟึบ!ฟึบ!
คาร์ลพลิกหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าราอนก็อ่านเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ราอนเริ่มพูดคุยกับคาร์ลหลังจากที่คาร์ลพลิกหนังสือไปหน้าแล้วหน้าเล่าเป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง
~มนุษย์..ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้เป็นประโยชน์กับเราจริงๆ~
ปึ่ก!
คาร์ลปิดหนังสือลงและเก็บเข้าชั้นทันที จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเชวฮัน
“ไปกันเถอะ”
ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกต่อไป
‘ตำหนักแสงตะวัน’
คาร์ลรู้ดีว่าตำหนักแห่งนี้อยู่ที่ไหนและเขาก็รู้อีกว่าสวนสวรรค์ที่มีชื่อเสียงนั้นก็อยู่ใกล้ๆกัน
มันคือสถานที่ที่ใช้จัดงานเฉลิมฉลองในวันสิ้นปีนั่นเอง
คาร์ลมุ่งหน้าออกจากหอสมุดและมุ่งหน้าไปที่นั่นที ใช้เวลาไม่นานเขาก็ได้เห็นตำหนักอันหรูหราและสวนที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์ที่อยู่ข้างๆกัน
พวกมันเปล่งประกายราวกับแสงอาทิตย์
เมื่อคาร์ลขยับเท้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ……
ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!
หัวใจของเขาก็กระหน่ำเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของเขาก็สั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่
ลมหมุนล่องหนกำลังสร้างความปั่นป่วนอยู่ข้างๆกายคาร์ล
.
.
.
วันสุดท้ายของการสืบสวนเดินทางมาถึง
อัลเบิร์กเอ่ยกับคาร์ลที่กำลังก้าวลงจากรถม้า
“เอาไว้เจอกันที่งานเลี้ยงเลยแล้วกัน”
อัลเบิร์กวางแผนที่จะทำตัวเป็นองค์ชายผู้ขยันขันแข็งเมื่อเริ่มเดินสำรวจไปรอบๆอาคารบริหารของจักรวรรดิเพื่อเปิดช่องให้กับคาร์ลได้เข้าสู่อาคารตะวันออกได้ง่ายขึ้น
ตัวแทนจักรวรรดิที่ถูกส่งตัวมาดูแลพวกเขาถูกลดจำนวนลงครึ่งหนึ่งแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจด้านหลังหอคอยที่มียอดแหลมสูงอีกต่อไป
“อ่า…”
ดูเหมือนอัลเบิร์กจะนึกบางอย่างออก
“ดูเหมือนหัวหน้านักดาบจะมาร่วมฉลองในครั้งนี้ด้วย”
“หัวหน้านักดาบของจักรวรรดิหรือพะย่ะค่ะ?”
“ใช่”
หัวหน้านักดาบหรือปรมาจารย์แห่งเพลงดาบ
มีนักดาบเพียงสามคนเท่านั้นที่ถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ คนแรกอยู่ที่จักรวรรดิแห่งนี้ คนที่สองประจำอยู่ที่อาณาจักรคาโรและคนสุดท้ายอยู่อาณาจักรทางตอนเหนือ
นั่นคือสิ่งที่คนทั่วไปรู้จัก
“หืม?”
คาร์ลเริ่มขมวดคิ้ว ดูเหมือนอัลเบิร์กจะเข้าใจในสิ่งที่คาร์ลกำลังคิดอยู่เมื่อเขาเริ่มพูด
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป..จักรวรรดิอาจเตรียมการให้พวกเขาแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์จึงเชิญพวกเขาเข้าร่วมงานฉลองในครั้งนี้..หัวหน้านักดาบนั่นจะเดินทางมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้และร่วมงานในตอนเย็นทันที ..เราไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆกับเขาหรอกนะ”
การดำรงอยู่ของนักดาบสามารถทำให้สถานะของอาณาจักรนั้นๆแข็งแกร่งขึ้นและเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับอัศวินได้เป็นอย่างดี
ปรมาจารย์ดาบขั้นสูงสุด
มีความหมายมากมายในการที่จะไต่ตัวเองไปถึงระดับนั้นได้ นั่นเป็นสาเหตุที่อัลเบิร์กย้ำกับคาร์ลอีกครั้งเพื่อให้เขาคลายท่าทางกังวลของตนลง ดูเหมือนคาร์ลจะกังวลใจที่อาณาจักรโรมันไม่มีปรมาจารย์เพลงดาบ
“แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูของเรา..แต่เราก็ไม่เห็นต้องกลัวพวกเขาเลยสักนิด”
“องค์ชายพะย่ะค่ะ”
“อะไรหรือ?”
“เชวฮันเป็นนักดาบพะย่ะค่ะ..พระองค์คิดว่าพวกเขาสามารถบอกระดับความสามารถของกันได้หรือไม่?…หากพวกเขาไปร่วมงานฉลองในครั้งนี้”
สมองของอัลเบิร์กว่างเปล่าไปครู่หนึ่งและคาร์ลก็พูดต่อทันที
“อืม..ถึงยังไงฮิลส์แมนก็ยังเป็นอัศวินระดับสูง..ถ้าเป็นเขาก็คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”
คาร์ลรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นการแสดงออกที่ว่างเปล่าของอัลเบิร์ก ดูเหมือนจะมีแค่เขากับราอนเท่านั้นที่จะเข้าไปหาเครื่องมือพระเจ้าในตำหนักแสงตะวันได้
‘ฉันควรให้อูฮาเบ็นช่วยดีหรือเปล่า?..และฉันก็ต้องบอกให้ราอนซ่อนตัวดีๆด้วย’
คาร์ลจ้องไปที่องค์ชายรัชทายาทอีกครั้ง
อัลเบิร์กสามารถทำได้อย่างเดียวเท่านั้น
“…เฮ้อออออ”
คาร์ลเอ่ยเรียกอัลเบิร์กทันทีเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา
“องค์ชายพะย่ะค่ะ?”
หลังจากนั้นไม่นานอัลเบิร์กก็เริ่มพูด
“ให้ตายเถอะ!”
ประโยคนี้ถือเป็นคำสั่งที่คาร์ลสามารถเข้าใจในทันที อัลเบิร์กหยิบกระเป๋าเวทย์ออกมาและโยนไปหาคาร์ลเบาๆ
“ปล้นมันมาให้หมด”
คาร์ลแต้มยิ้มเต็มใบหน้าก่อนจะคว้ากระเป๋าเวทย์มาเก็บเอาไว้
ครู่ต่อมา ในอาคารตะวันออกของวิหารพระเจ้าแสงตะวัน
“นี่คือห้องสมุดสินะ?”
คาร์ลเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องสมุด
“ฝากด้วยขอรับ..นายน้อยคาร์ล”
ดาร์กเอลฟ์ผู้เป็นนักเวทย์ระดับสูงเอ่ยฝากฝังกับคาร์ลเมื่อเขาเริ่มผลักประตูห้องสมุดเข้าไป
ห้องลับอยู่ที่นี่และโต๊ะลับก็อยู่ในนี้เช่นกัน
แน่นอนว่าสมบัติก็อยู่ในนั้น
เอี๊ยดดดดดดด!!!!
ประตูถูกเปิดออกก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังเข้ามาในหัวของคาร์ล
-เจ้าพยายามที่จะเสียสละตัวเองใช่หรือไม่?-
‘อะไรกัน?’
จู่ๆเสียงเจ้าของพลังศิลาก็ดังเข้ามาในหัวของเขา