บทที่ 169 อาจเป็นได้ 4 (2)
‘พวกเขาสามารถให้ลมหนาวพัดร่างไปโดยไม่มีปัญหาใดๆ’
พายุหิมะก่อให้เกิดลมกระโชกรุนแรง
มันเป็นสาเหตุที่หลายๆคนต่างเลือกที่จะหันหลังให้กับพายุหิมะนี้ ความแรงของมันสามารถผลักจนร่างกระเด็นไปไกลได้หลายเมตร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิมะหล่นใส่ตัวหลายๆคนก็เริ่มระแวงว่าตัวเองจะโดนพิษร้ายเข้าหรือไม่?หากต้องอยู่ท่ามกลางพายุหิมะนานไปกว่านี้
ต้นไม้ กอหญ้าและแม้แต่พื้นดินต่างถูกหิมะปกคลุมจนแทบมองไม่เห็น มันยิ่งทวีความน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามผู้คนรอบกายพาสตันกลับดูเป็นปกติ ทั้งอาร์ชี เชวฮัน โรสลิน ราอน ออน และฮงล้วนแต่ทำตัวเป็นปกติราวกับไม่ได้เผชิญสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้
แม้แต่คาร์ลก็เช่นกัน
‘ตามที่ข้าคิดเอาไว้..นายน้อยคาร์ลมีพลังที่แข็งแกร่งแอบแฝงเอาไว้’
มีหลายครั้งที่พาสตันรู้สึกตกใจกับออร่าบางอย่างที่ออกมาจากตัวคาร์ล เขาจึงหันไปจ้องร่างของคาร์ลที่กำลังยืนต้านลมอย่างไม่สะทกสะท้าน
สิ่งที่พาสตันไม่มีทางรู้ก็คือคาร์ลได้ใช้เสียงเรียกของวายุเพื่อพัดลมกระโชกออกไป พละกำลังแห่งดวงใจก็ปล่อยพลังออกมารักษาเขาทันทีที่เกล็ดหิมะซึ่งเจือไปด้วยพิษร่วงใส่ร่างของเขา
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังรู้สึกเจ็บตลอดเวลา เขาจึงตัดสินใจวางร่างฮงลงกับพื้น
“ไปกันเถอะ”
เขาต้องการสร้างเส้นทางเดินผ่านพายุหิมะโดยเร็วที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะไม่ต้องเจ็บตัวกับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงสู่ร่างเขาอีกต่อไป โรสลินอุ้มร่างของฮงขึ้นมาและรีบสาวเท้าเข้าหาคาร์ลทันที
ตอนนี้พวกเขาได้เปลี่ยนสีผมและสีตาให้กลับมาเป็นปกติเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่บริเวณนี้ เส้นผมสีแดงสดของคนทั้งสองจึงดูโดดเด่นทันทีเมื่ออยู่ท่ามกลางสีขาวโพลนของหิมะ
“นายน้อยคาร์ล..ท่านวางแผนจะใช้ตราของท่านอูฮาเบ็นเลยหรือไม่?”
“ใช่แล้ว”
คาร์ลสังเกตเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นของโรสลิน
มันคือตราประจำตัวของมังกรวัยชรา จึงทำให้นักเวทย์เช่นโรสลินอดสงสัยกับสิ่งนี้ไม่ได้ เธออยู่ในห้องทดลองตลอดเวลาที่คาร์ลเดินทางไปจักรวรรดิ
อูฮาเบ็นเอ่ยกับเธอเพียงอย่างเดียวเพื่อประเมินผลความสำเร็จของเธอ
‘หากมีข้อสงสัย?..ก็ถามข้ามาได้เลย’
โรสลินได้ดึงสิ่งที่อูฮาเบ็นสอนราอนมาปรับปรุงและพัฒนาฝีมือของตนเอง อูฮาเบ็นแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่าโรสลินทำสิ่งใดอยู่แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่าเธอมีสิ่งใดสงสัยหรือไม่? การที่เขาแจ้งแก่โรสลินว่ามีคำถามหรือไม่นั้นก็เพื่อทำการทดสอบ หากเธอไม่มีข้อสงสัยใดๆย่อมหมายความว่าเธอได้เรียนรู้และปรับปรุงจนสำเร็จแล้ว
คาร์ลจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา
“หากท่านเอ่ยถามเขาในภายหลัง..ท่านอูฮาเบ็นจะต้องสอนท่านเกี่ยวกับตรานี้อย่างแน่นอน”
“ท่านพูดถูก..เมื่อเราเดินทางกลับไปแล้วข้าจะถามเขาอย่างแน่นอน”
โรสลินพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น คาร์ลจำได้ว่าโรสลินแสดงอาการตื่นเต้นเพียงใดเมื่ออูฮาเบ็นแกล้งไม่เห็นเธอตอนที่แอบไปฟังเขาสอนเรื่องต่างๆให้กับราอน ความมุ่งมั่นของเธอช่างแรงกล้ายิ่งนัก
โรสลินจ้องไปที่ตราในมือของคาร์ลที่กำลังส่องแสงสีฟ้าราวกับเชิญชวนให้เธอเข้าไปทำความรู้จักก่อนที่เสียงของคาร์ลจะลอดเข้ามาให้ได้ยิน
“ท่านโรสลิน..ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับการสร้างหอคอยพลังเวทย์ขึ้นมาใหม่?”
“หืม?..ท่านว่าอะไรนะ?”
คาร์ลตอบกลับอย่างสบายอารมณ์เมื่อได้ยินคำถามของโรสลิน
“ท่านไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอหรือ?”
โรสลินจึงตอบกลับด้วยสีหน้าเป็นปกติ
“ท่านพูดถูก..ข้ามีคุณสมบัติเพียงพอ”
คาร์ลมองใบหน้านิ่งสงบของโรสลินซึ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ โรสลินดูเหมือนจะเริ่มมั่นใจกับคุณสมบัติและความสามารถของเธอมากขึ้น เธอเชื่อมั่นในความฝันและแรงบันดาลใจอันเต็มเปี่ยมของเธอเช่นกัน
คาร์ลรู้สิ่งนี้ได้โดยอัตโนมัติ
“โปรดแจ้งให้เราทราบ..หากท่านต้องการเงินหรือหินมนตรา”
“ขอบคุณท่านยิ่งนัก”
โรสลินไม่ปฏิเสธข้อเสนอของคาร์ล เขาจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะใช้ตราที่อยู่ในมือนำทางฝ่าพายุหิมะเข้าไปทันที
‘มันยากเหมือนกันนะเนี่ย!’
ความแรงของพายุหิมะมันเกินที่เขาคาดเอาไว้ ร่างของเขาเซไปด้านหลังเล็กน้อยแม้ว่าจะใช้เสียงเรียกของวายุพัดลมออกไปแล้วก็ตาม
คาร์ลพยายามจนสามารถเดินออกจากพื้นที่ป่าและมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบได้
‘ทะเลสาบแห่งความสิ้นหวังเป็นดินแดนต้องห้ามมาตั้งแต่สมัยอดีต’
เขายังจำสิ่งที่อูฮาเบ็นบอกไว้ได้
‘เพราะหิมะที่เคลื่อนตัวไปมาตามความประสงค์ของต้นไม้โลก..มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏโฉมให้ใครได้เห็นมาก่อน’
‘ต้นไม้โลกก็เปรียบเหมือนของขวัญจากสวรรค์สำหรับคนที่ฝ่าพายุหิมะไปเจอมันได้’
สวรรค์
เมื่อนึกถึงคำว่า ‘สวรรค์’ เท้าของคาร์ลก็หยุดชะงักทันที
เขามองเห็นทะเลสาบที่ถูกพายุหิมะปกคลุมอยู่ตรงหน้า อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็สามารถไปหยุดยืนอยู่ริมตลิ่งของทะเลสาบแห่งนี้ได้
คาร์ลกระชับตราที่อยู่ในมือแน่นขึ้นและเริ่มก้าวไปข้างหน้าทันที
คลิ้กกก!
ตราของอูฮาเบ็นส่งเสียงขึ้นก่อนที่แสงจะเริ่มไหลเอ่อออกมา เท้าของคาร์ลค่อยๆเหยียบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ
ทันใดนั้นเอง
“เอ๊ะ?”
คาร์ลรีบชักเท้ากลับและหยุดเดินกะทันหัน
ฟรู่!
เขาก้มมองมือซ้ายที่ไม่ได้ถือตราของอูฮาเบ็นเอาไว้
กระแสไฟสีแดงเริ่มปะทุออกจากฝ่ามือของเขา
มันคืออัคนีทำลายล้าง
มีอย่างอื่นที่อูฮาเบ็นบอกเขาผ่านกระแสจิต
‘มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ต้นไม้โลกเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา..มันสร้างพายุหิมะปกคลุมทั่วภูมิภาคตอนเหนือและ ทุกๆอย่างต่างกลายเป็นน้ำแข็งและหนาวเหน็บไปทั่วพื้นที่..แม้ข้าจะได้ยินเพียงสิ่งที่เขาลือต่อๆกันมาแต่มันก็ค่อนข้างน่ากลัวเมื่อได้ยินมัน’
‘ข่าวลือได้กล่าวไว้ว่า..มีมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นคนทำลายน้ำแข็งนั่นทั้งหมด!’
ทันใดนั้นคาร์ลก็นึกถึงหัวหน้าเอลฟ์จากภูเขาสิบนิ้วขึ้นมา
เธอยื่นหนังสือซึ่งบันทึกตำนานของพลังศิลาเอาไว้และบอกบางอย่างให้เขาฟัง
‘มันเป็นตำนานที่ค่อนข้างตลก…มันบอกว่าวีรบุรุษที่มีพลังในการทำลายล้างเป็นคนละโมบโลภมากในเงินตราและเมื่อเขาเสียชีวิตลง..วีรบุรุษในตำนานอีกผู้หนึ่งจึงพบเข้ากับความมั่งคั่งของวีรบุรุษผู้นี้และจัดการเก็บเงินของเขาไว้ในที่ปลอดภัยแทน’
‘วีรบุรุษจะโลภเงินตราไปทำไม?..โดยเฉพาะอย่างยิ่งวีรบุรุษที่ช่วยเหลือโลกของเราเอาไว้และไม่ได้แสวงหาอำนาจหรือชื่อเสียงใดๆให้แก่ตนเอง..คนเช่นนี้จะเป็นคนที่โลภในเงินตราไปได้อย่างไร?..มันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด’
คาร์ลนึกย้อนไปถึงข่าวลือที่อูฮาเบ็นบอกเอาไว้
‘ข่าวลือนี่ดูไร้สาระยิ่งนักมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์คนหนึ่งจะใช้ไฟเผาต้นไม้โลก?..มันคือเรื่องจริงงั้นรึ?..แต่เมื่อข้าเอ่ยถามต้นไม้โลกออกไปมันกลับไม่ตอบอะไรข้าเลย..มันหมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?’
‘…อาจจะ?’
คาร์ลรู้สึกถึงกระแสไฟที่ปะทุบนฝ่ามือของเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ
ฟริ้ววววววว!!!
พายุหิมะสร้างเส้นทางที่ดูคล้ายกับถ้ำโปร่งแสงตามทิศทางที่แสงสีน้ำเงินส่องไป
“นายน้อยคาร์ล..ท่านได้ใช้ตราหรือไม่?”
“มนุษย์?!..ทำไมมือเจ้าถึงมีประกายไฟออกมาเช่นนั้น?!”
คำถามจากโรสลินและน้ำเสียงอันร้อนรนของราอนพุ่งไปที่คาร์ลทันทีแต่ในเวลาเดียวกันคาร์ลกลับได้ยินเสียงอีกอย่างดังขึ้น
พลังศิลากำลังพูดบางอย่างกับเขาและมันช่างแตกต่างจากสองคำถามแรก
-เจ้ามีแผนที่จะทำลายมันหรือไม่?-
‘มันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง’