บทที่ 174 เล่ห์เหลี่ยม 2 (2)
‘โคลเปย์ เซคก้า’ ปัดทรงผมของตนให้เป็นระเบียบเมื่อถูกสายลมอ่อนๆแต่แฝงไปด้วยความหนาวเย็นพัดผ่านร่างเขาไปก่อนจะหันหน้าไปยังทิศที่ลมพัดมา เป็นเพราะเขารู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ตรงนั้น
‘เขาเป็นหนึ่งในพลเมืองของเราหรือไม่นะ??’
เขาเชื่อว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นหนึ่งในพลเมืองที่เดินทางมาร่วมงานเทศกาลในปีนี้ โคลเปย์ได้เก็บตัวเงียบมาได้สักพักหนึ่งแล้ว เวลาที่เขาจะเผยตัวเองต่อสาธารณชนอีกครั้งก็คือเมื่อกองกำลังอัศวินไวย์เวิร์นได้ปรากฏโฉมให้คนทั่วทั้งโลกได้รู้จัก อาณาจักรพารันจะมุ่งหน้าไปยังท่าเรือและดินแดนแถบนั้นเมื่อถึงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเขาไม่ซ่อนเส้นผมสีขาวของตัวเองเอาไว้เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลอัศวินผู้พิทักษ์‘เซคก้า’ที่เขาสุดแสนภูมิใจ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พลเมืองหลายๆคนเดินมาทักทายเขาอยู่บ่อยๆ
อัศวินผู้พิทักษ์เปรียบเสมือนเกราะกำบังและหอกอันแข็งแกร่งของเหล่าประชาชน
พระเจ้าได้เทน้ำหยดหนึ่งเมื่อเขาได้รวบรวมน้ำมาให้แก่ทะเลสาบแห่งนี้ หยดน้ำหยดนั้นตกลงใส่ศีรษะของมนุษย์ผู้หนึ่งและสีผมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวทันที มนุษย์ผู้นั้นได้กลายเป็นอัศวินและคอยปกป้องดินแดนทางตอนเหนือให้พ้นจากความมืดมิด
เขาเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากพระเจ้า โคลเปย์เชื่อว่าตนเองคือทายาทของบุคคลผู้นั้น
นั่นคือสาเหตุที่ดวงตาของโคลเปย์เบิกกว้างขึ้น
เขาเห็นคนอื่นมีผมสีขาวเช่นเดียวกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้นชายผู้นั้นยังสวมชุดคลุมของนักบวชที่มีสีขาวสะอาดดุจหิมะ แม้จะไม่มีสัญลักษณ์ใดๆประดับอยู่บนชุดแต่มันก็แสดงให้เห็นว่าเขาคือนักบวชผู้รับใช้พระเจ้า เขาสัมผัสได้ถึงออร่าบางอย่างที่ยากต่อการเข้าหานักบวชผู้นี้
ฟริ้ววววววว~~~~~
ลมพัดผ่านร่างของนักบวชผมสีขาวอย่างแผ่วเบา
นักบวชเริ่มพึมพำบางอย่างราวกับไม่สังเกตเห็นสายตาที่จับจ้องของโคลเปย์
“ข้าจะได้พบเขาหรือไม่หากมุ่งลงทางใต้?”
โคลเปย์สะดุ้งเฮือกทันทีเพราะประโยคนั้นแทงใจเขา
‘หากน้ำจะกลับคืนสู่ทะเลสาบอีกครั้งนั่นคือช่วงเวลาที่พระเจ้ากลับมาจากทางใต้’
เขาจำข้อความดังกล่าวที่จารึกไว้ในวิหารและป้ายหินจารึกได้เป็นอย่างดี
‘นักบวชท่านนี้กำลังพูดถึงพระเจ้าที่เดินทางไปใต้งั้นหรือ?’
โคลเปย์ก็มีแผนที่จะมุ่งหน้าลงใต้เช่นกัน
เขาคิดที่จะยึดครองดินแดนที่ไม่ถูกแช่แข็งไปด้วยความหนาวเหน็บ ดินแดนแห่งทะเลและดินแดนแห่งทะเลสาบ เขาจะเปลี่ยนให้อาณาจักรพารันกลายเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ที่คนกล่าวขานไปอีกนาน
‘เขาเป็นใครกัน?..คนที่น่าเกรงขามผู้นี้เป็นใครกันนะ?’
เท้าของโคลเปย์เริ่มสาวไปหานักบวชผู้มีเส้นผมสีขาวทันที
คาร์ลได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินมาใกล้ก่อนที่เจ้าของฝีเท้าจะเอ่ยกับเขาอย่ารวดเร็ว
“ท่านจะได้พบกับเขาที่ใต้อย่างแน่นอน”’
‘มาแล้วสินะ!’
คาร์ลปัดรอยยิ้มออกจากใบหน้าและค่อยๆหันไปเผชิญหน้ากับโคลเปย์
โคลเปย์เริ่มรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นว่านักบวชผู้นี้ดูสงบมากแม้จะเห็นเส้นผมสีขาวของเขาแล้วก็ตาม
โคลเปย์คิดว่านักบวชผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งแต่กลับมีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ออกมาจากร่างของเขา
นักบวชเริ่มพูด
“พระเจ้าที่น่าเลื่อมใสได้รวบรวมของขวัญมาให้ไว้กับมนุษย์และจากไปเพราะความโลภของมนุษย์เช่นกัน..แต่เขากลับไม่เคยนึกโกรธเพียงแค่ร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าเท่านั้น..ข้านึกสงสัยว่าเขา—”
นักบวชหยุดพูดไปครูหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองทะเลสาบด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ข้านึกสงสัยว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร? ข้าสงสัยว่าตอนนี้เขาจะเศร้าใจแค่ไหน?”
“…ท่านคือนักบวชผู้รับใช้พระเจ้าโดยตรงหรือไม่?”
สายตาจริงใจของโคลเปย์ถูกตรึงไว้ที่คาร์ล โคลเปย์เป็นเหมือนอัศวินในนิยายแฟนตาซีฉบับดั้งเดิมที่มีเส้นผมสีขาว มีรูปร่างและหน้าตาอันหล่อเหลา
‘มันทำให้ฉันรู้สึกแย่ไม่น้อย’
อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
ฟริ้ววววววว~~~~~
สายลมพัดผ่านเข้ามาอีกครั้ง มันช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูลึกลับขึ้นไม่น้อยระหว่างคาร์ลและโคลเปย์ แต่มันกลับสร้างความกังวลใจให้กับคาร์ลมากกว่าเพราะเสียงเรียกของวายุทำให้คาร์ลถึงกับต้องหยุดพูดไปกะทันหัน
‘ทำไมถึงดูสนใจหมอนี่นักนะ?’
เสียงเรียกของวายุเป็นหัวขโมยมือดีและยังได้ขโมยเครื่องมือพระเจ้าออกจากวิหารอีกด้วย มันเริ่มออกอาการบางอย่างเมื่อเห็นโคลเปย์
‘หรือว่า? หมอนี่มีน้ำตาพระเจ้าไว้ในครอบครอง? หรือว่ามันอยู่ในคฤหาสน์ของเขา?..ฉันควรบุกเข้าไปปล้นดีมั้ย?’
โคล์เปย์เอ่ยถามอีกครั้งในขณะที่คาร์ลกำลังถกเถียงกับตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อดี
“ท่านไม่สามารถบอกข้าได้ว่ารับใช้พระเจ้าองค์ใดงั้นหรือ?”
-เจ้าพยายามที่จะเสียสละตัวเองหรือไม่?-
ทันใดนั้นคาร์ลก็ถูกรบกวนด้วยพลังศิลา ทั้งเสียงเรียกของวายุและพลังศิลากำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า เขาต้องหยุดการทำงานร่วมกันของพลังทั้งสองเสียก่อนดังนั้นเขาจึงคิดที่จะพูดอะไรก็ตามที่โผล่เข้ามาในหัวของเขาออกไป
โคลเปย์อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นประกายคมกล้าจากสายตาของนักบวชผู้นี้ก่อนที่นักบวชจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“เมื่อถึงเวลาที่กำหนดทุกๆอย่างจะปรากฏออกมาเอง”
คาร์ลมักจะพูดสิ่งที่เป็นจริงเสมอ
ฟรู่!!!ฟริ้ววววววว~~~~~
ลมแรงพอที่จะพัดชุดคลุมนักบวชให้ขยับจนลู่ไปตามร่างได้ โคลเปย์หันไปมองต้นไม้ที่สั่นไหวเพราะแรงลมจนส่งเสียงดังออกมา เขาสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของสายลมที่พัดผ่านเข้ามา
“ข้าขอสวดภาวนาให้ทะเลสาบถูกเติมเต็มในเร็วๆนี้”
โคลเปย์มองเข้าไปในดวงตาของนักบวช แทนที่จะเป็นแค่การสวดภาวนาแต่มันดูเหมือนเขามั่นใจมาก
ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!
หัวใจของโคลเปย์เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทะลสาบจะถูกเติมจนเต็ม
นั่นคือสัญญาณ!
มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าตำนานจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าคาร์ลกำลังวางแผนที่จะเติมเต็มทะเลสาบด้วยเสาเพลิงแทนที่จะเป็นน้ำ
โคลเปย์รู้สึกว่าตัวเองอยากถามคำถามนี้ออกไป
“ท่านเป็นใคร?”
เขารู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องรู้ตัวตนของนักบวชผู้นี้
ในขณะนั้นเขาก็เห็นนักบวชชี้ไปยังก้นทะเลสาบ
‘บางที?’
โคลเปย์เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่รู้จัก บุคคลผู้นี้มีความสามารถพิเศษที่แม้แต่พระราชาก็ไม่มี นักบวชแต้มรอยยิ้มอันลึกลับบนใบหน้าเมื่อเขาเดินผ่านหน้าโคลเปย์ไป เสียงของนักบวชตอบกลับราวกับเสียงกระซิบ
“แค่คนพเนจรที่ผ่านทางมาเท่านั้น”
แม้ว่าคาร์ลจะดูไม่เหมือนคนพเนจรแต่คาร์ลก็เลือกที่จะตอบออกไปเช่นนั้น เขาเร่งฝีเท้าออกห่างจากโคลเปย์ทันที
โคลเปย์ทำได้เพียงมองตามหลังคาร์ลไปเท่านั้น
~ มนุษย์! เขากำลังมองเจ้าอยู่~
คาร์ลได้ยินสิ่งที่ราอนรายงานและเริ่มคิดในใจ
‘ดูเหมือนเหยื่อจะกินเบ็ดแล้ว’
จากนั้นเขาก็กระซิบเสียงแผ่วเพื่อให้ราอนได้ยินเพียงคนเดียว
“ราอน..บอกคนอื่นๆทีว่าอย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ข้า”
~ ตกลง! แต่ข้าจะยังอยู่ข้างๆเจ้านะ!~
“แล้วบอกให้พาสตัน..หาที่ตั้งของคฤหาสน์ดยุกเซคก้าให้ข้าด้วย”
น้ำเสียงใสซื่อของราอนดังก้องอยู่ในหัวคาร์ล
~ มนุษย์! เรากำลังจะปล้นที่นั่นเหรอ?~
‘หมอนี่ฉลาดขึ้นจริงๆ’
คาร์ลพยักหน้าน้อยๆด้วยความพอใจเมื่อตอบกลับ
“เราแค่ไปดูลาดเลาเท่านั้น”