บทที่ 177 เล่ห์เหลี่ยม 5 (1)
สมาชิกในกลุ่มของคาร์ลต่างแยกย้ายกันทันทีที่ความสว่างเข้ามาเยือน พวกเขานัดพบกันอีกครั้งที่จัตุรัสกกลางเมืองเมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน
‘ข้าอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวพลังเวทย์ของอาณาจักรทางเหนือ..ข้าขอตัวไปหาข้อมูลในหอสมุดแล้วกัน’
‘ท่านคาร์ล..กระผมจะไปดูดาบขอรับ’
โรสลินขอแยกตัวไปที่หอสมุด เชวฮันไปที่ร้านขายอาวุธ ส่วนวาฬทั้งสองรับหน้าที่ไปสังเกตการณ์และดูแลสิ่งต่างๆภายในงานเทศกาลตามคำสั่งของคาร์ล
ท้ายที่สุดเด็กๆทั้ง 3 คนซึ่งมีอายุเฉลี่ย 9 ปีก็ถูกทิ้งให้อยู่กับคาร์ล
“…มนุษย์..ข้าขอกินอีกได้หรือเปล่า?”
ราอนเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ประดับอยู่บนใบหน้าคาร์ล
“แน่นอน”
คาร์ลตอบรับเบาๆก่อนจะผลักจานสเต็กเนื้อสูตรพิเศษของทางเหนือไปไว้ตรงหน้าราอนจากนั้นก็เช็ดซอสที่เลอะมุมปากของราอนให้อย่างเบามือ
มังกรดำมีสายตาเคลือบแคลงไม่น้อยแต่ก็ตัดสินใจที่จะกินสเต็กเนื้อรสชาติพิเศษนี้ทันที
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องพิเศษบนชั้นห้าซึ่งเป็นร้านอาหารในจัตุรัสกลางเมือง คาร์ลหยิบเค้กหนึ่งชิ้นและจานพาสต้าไปให้ฮงและออนตามลำดับ
ฮงรีบหยิบเค้กขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นในขณะที่ออนเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“..มันดูแปลกๆ..เหมือนเจ้ากำลังแกล้งทำเป็นใจดี”
คาร์ลชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ฟังความเห็นของออน จากนั้นก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว
“แกล้ง?..ไม่ใช่หรอกน่า..พวกเจ้าต้องกินเยอะๆจะได้โตไวและก็แข็งแรง”
สุดท้ายออนก็เริ่มกินพลาสต้าในขณะที่สายตาก็ลอบสังเกตคาร์ลเป็นระยะๆ
ส่วนฮงกับราอนนั้นกำลังตั้งใจกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
เด็กๆต่างตื่นเต้นเพราะพวกมันสามารถกินทุกอย่างได้ตามที่ต้องการและยังสามารถพูดคุยกันได้ตามปกติโดยไม่ต้องแกล้งทำเป็นพูดไม่ได้หรือต้องล่องหนซ่อนตัวเอาไว้
ราอนตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“มนุษย์!..นี่มันเยี่ยมไปเลย! เอาไว้เรามาที่นี่กันอีกครั้งหลังจากจัดการพลุไฟเรียบร้อยแล้ว!”
คาร์ลพยักหน้าและตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก
“แน่นอน..เรามาเพิ่มสายฟ้าฟาดเข้าไปด้วยดีกว่า”
ดวงตากลมของราอนกระพริบปริบๆทันที
“..สายฟ้า..ฟ..ฟาด?”
เคร้ง!
ส้อมที่อยู่ในอุ้งมือของราอนร่วงลงกระแทกพื้นทันที ราอนเริ่มขมวดคิ้วมุ่น
“มนุษย์?..เจ้าจะใช้อัคนีทำลายล้างงั้นรึ?!”
“ข้าไม่สลบไปหรอกน่า”
“เราสามารถใช้พลังเวทย์ได้!”
“เราไม่สามารถใช้พลังเวทย์ได้”
“ทำไมจะไม่ได้?!”
“เพราะพวกเขาจะรู้นะสิ..ว่ามันคือพลังเวทย์”
ทั้งปรมาจารย์ดาบและเหล่านักเวทย์ประจำอาณาจักรจะต้องคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นฝีมือของจักรวรรดิในขณะเดียวกันก็นึกถึงพลังที่มาจากธรรมชาติด้วยเช่นกัน
ราอนใช้อุ้งมือป้อมๆของมันจับใบหน้าของคาร์ลเอาไว้เมื่อเห็นว่าคาร์ลไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างผลักจานสเต็กไปไว้ตรงหน้าคาร์ลอย่างรวดเร็ว
“มนุษย์! กินมันซะ!”
“ข้าอิ่มแล้ว”
“ทำไมท้องเจ้าเล็กจัง? มันเป็นเพราะเจ้าอ่อนแอหรือเปล่า?”
‘..เจ้าไม่สามารถกินสเต็กเป็นสิบๆจานได้ใช่มั้ย?’
คาร์ลไม่สามารถบอกได้ว่าราอนกำลังจินตนาการท้องของเขาไปถึงไหน? เขาเพียงแค่ต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากกว่าจะไปใส่ใจกับเรื่องนั้น
“วันนี้ข้าจะใช้พลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น..ข้าจะไม่เป็นลม”
“..จริงๆนะ!”
“อืม..ข้าแค่ใช้พลังเพื่อให้เกิดฟ้าผ่าเฉยๆ”
ราอนยังคงขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของคาร์ลแล้ว ลูกแมวทั้งสองก็ดูเหมือนจะยอมรับมันได้เมื่อพวกมันกลับไปกินอาหารต่อโดยไม่พูดอะไรออกมา
‘เฮ้ออออ….’
คาร์ลรู้สึกสงสารตัวเองไม่น้อยที่ให้เด็กๆที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 9 ปีเป็นคนอนุมัติให้เขาใช้พลังของตัวเอง เขาอาจจะไม่สนใจหากเป็นคำห้ามปรามของเผ่าวาฬและเผ่าเสือ มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? คาร์ลรู้สึกว่ามันดูแย่กว่าตอนที่เขาใช้ชีวิตเหมือนขยะไร้ค่าเสียอีก
อย่างไรก็ตามคาร์ลยังคงเช็ดซอสที่เลอะปากของราอนต่อไป ในขณะที่เด็กๆก็มองคาร์ลด้วยความระมัดระวังกว่าเดิม พวกมันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านสายตาเมื่อหันมาจ้องกันเขม็ง
‘เราจะทำลายทุกอย่างหากเขาหมดสติไป!’
ฮงพยักหน้าให้กับสายตาที่ราอนจ้องมา ในขณะที่ออนเพียงส่ายศีรษะน้อยๆและส่งข้อความอื่นให้
‘เราแค่ปกป้องเขาก็พอ..ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดเรื่องทำลายล้างนั้นเลย..เราจะใช้หมอกพิษของเราหากมีคนที่มีพลังแข็งแกร่งเข้ามาใกล้..ไม่ว่าจะเป็นสิงโตหรือนักดาบมือฉมังก็ไม่สามารถต้านทานได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะต้องถูกพิษ’
‘โอ้!..เป็นความคิดที่ดี’
คาร์ลไม่ทราบการแลกเปลี่ยนความเห็นอันโหดร้ายของเด็กๆเมื่อเขายังคงหยิบคุกกี้เข้าปากช้าๆ เด็กๆทั้งสามก็หันไปมองเขาเป็นระยะๆและแน่นอนว่าคาร์ลไม่รู้ในสิ่งนี้
คาร์ลมองออกไปนอกหน้าต่างและเริ่มคิด
‘สายฟ้าฟาด’
เขาเป็นลมหมดสติในครั้งสุดท้ายที่ใช้งาน
‘ฉันจะใช้พลังเพียงครึ่งเท่านั้น’
เนื่องจากมันจะถูกใช้งานในตอนกลางคืนแม้ว่าเขาจะใช้พลังเพียงครึ่งเดียว พลังของสายฟ้าก็สามารถสร้างความสว่างไปทั่วสารทิศได้
‘ในเมื่อใช้พลังเพียงครึ่งก็คงไม่ถึงกับเป็นลมหรอกนะ?’
คาร์ลรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นรัวขึ้นจากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่น
‘นี่มันบ้าไปแล้วเหรอ?’
เขาส่ายศีรษะเบาๆเมื่อเสียงที่ก้องในหัวตั้งแต่เช้าตรู่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
– เจ้าวางแผนที่จะทำลายมันหรือไม่ –
มันเป็นเสียงของพลังศิลา
‘เป็นเพราะฉันคิดที่จะใช้อัคนีทำลายล้างใช่หรือเปล่า?’
คาร์ลไม่รู้ว่าทำไมพลังศิลาถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้?
“…มีวิธีเงียบเสียงนี้หรือเปล่า?”
เด็กๆที่แอบกระซิบพูดคุยกันอยู่ถึงกลับชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของคาร์ล อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่ได้หันไปมองเด็กๆแต่อย่างใด
‘พลังศิลาช่างไร้ประโยชน์จริงๆ’
มันคือสิ่งที่คาร์ลรู้สึกในตอนนี้ แต่ทันใดนั้นพลังศิลากลับพูดบางอย่างขึ้นมา
-เจ้าพยายามที่จะทำลายคู่ปรับตลอดกาลของพลังอัคคีอย่างนั้นหรือ?-
‘หืม? คู่ปรับตลอดกาล? ศัตรูของอัคนีทำลายล้าง?’
คาร์ลคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำลาย
แน่นอนว่ามันคือทะเลสาบน้ำตาพระเจ้า
แต่มันคือศัตรูอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าของคาร์ลเริ่มเคร่งเครียดขึ้น ราอนนึกอยากรู้ในสิ่งที่คาร์ลคิดจึงหันไปตามสายตาของคาร์ลทันใดนั้นร่างของมันก็แข็งทื่อขึ้นทันที
มันเห็นพ่อค้าขายพายแอปเปิ้ล
เมื่อเห็นว่าคาร์ลยังคงนิ่งเช่นเดิม ราอนจึงค่อยๆล้วงเอากระปุกออมสินออกมาก่อนจะหยิบเหรียญเงินออกมา 1 เหรียญ ออนและฮงก็หยิบเหรียญเงินออกมาคนละ 1 เหรียญเช่นกัน
อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เมื่อในหัวของเขากำลังคิดบางอย่าง
‘ไม่มีทางที่พลังศิลาจะโกหก’
‘เจ้าพยายามที่จะทำลายคู่ปรับตลอดกาลของพลังอัคคีอย่างนั้นหรือ?’
นั้นคือสาเหตุที่คาร์ลคิดถึงบางอย่างเมื่อได้ยินประโยคนี้
‘..มีตัวละครในตำนานคนใดที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณด้วย?’
ไม่ว่าเจ้าของพลังอัคนีทำลายล้างจะบ้าระห่ำเพียงใด? คาร์ลก็ไม่คิดว่าเขาจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้าได้ ข้อสรุปที่ง่ายที่สุดคือคนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณธาตุน้ำ น้ำย่อมเป็นคู่ปรับตลอดกาลของไฟ
ทันใดนั้นตำนานบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
‘ผู้พิทักษ์’
เขาเคยได้ยินเรื่องนี้จาก‘เทย์เลอร์ สแตน’
ผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยโบราณ มันเป็นตำนานที่บ่งบอกว่าผู้พิทักษ์คนนี้สามารถปกป้องดินแดนที่เต็มไปด้วยโขดหินไว้ได้อย่างไร
แต่ทำไมจู่ๆเขาก็นึกถึงผู้พิทักษ์คนนี้ขึ้นมา?
‘ทำไมผู้พิทักษ์คนนี้ถึงทำให้ฉันคิดถึงเจ้าของพลังศิลาด้วยล่ะ?’
คาร์ลถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง
‘มันไม่ใช่ธุระของฉันแม้แต่น้อย’
พลังศิลาไม่ได้เอ่ยถามเขาว่า ‘เจ้าวางแผนที่จะเสียสละตัวเองหรือไม่?’ นั่นหมายความว่าคาร์ลไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องใช้เวลาคิดนานและคิดหนักกับเรื่องนี้
คาร์ลมองเห็นราอนบินเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว
“มนุษย์!..มนุษย์!..เจ้าอยากได้พายแอปเปิ้ลหรือเปล่า?”
‘พายแอปเปิ้ล?’
คาร์ลมองไปที่ราอนอย่างนึกสงสัยว่ามันกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ในขณะที่มังกรก็ยืดหน้าอกของตนขึ้นและลูกแมวทั้งสองก็ยืนด้วยสองขาตรงหน้าเขา คาร์ลส่ายศีรษะน้อยๆให้กับเด็กๆที่ดูเหมือนจะรอคำตอบจากเขาอย่างตั้งใจ
“ไม่”
“หึหึ…”
ราอนเริ่มหัวเราะในลำคอ
“มนุษย์! ข้าเข้าใจแล้ว! ข้ารู้ว่าเจ้าหาร้านอาหารดีๆแบบนี้ให้กับพวกเรา..ดังนั้นเจ้าก็รอรับพายแอปเปิ้ลได้เลย!”
“ตอนนี่เรามีเงินเยอะเลยล่ะ!”
“เราต้องตอบแทนบุญคุณของเจ้า!”
‘…นี่มันอะไรกัน?’
คาร์ลไม่เข้าใจในตัวเด็กๆทั้ง 3 และเพียงเพิกเฉยกับความเห็นเมื่อครู่นี้ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“มาทานอาหารให้หมดกันเถอะ”
เด็กๆหันกลับไปทานอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว คาร์ลมองไปยังเด็กๆที่จู่ๆก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลกับเรื่องดีๆที่เด็กๆเหล่านี้คิด ก่อนที่เขาจะเริ่มคิดถึงแผนการที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้
ราอนออกไปข้างนอกได้ระยะหนึ่งแล้วหลังจากที่บอกคาร์ลไว้ว่า ‘มนุษย์!ข้าขอตัวไปหาเชวฮันก่อนนะ!’ เป็นเพราะคาร์ลกำลังยุ่งกับการคิดเรื่องต่างๆมากเกินไปจึงไม่ทันสังเกตเห็นอาการแปลกๆของราอน
.
.
.
ก็อก!ก๊อก!ก๊อก!
คาร์ลลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ถึงเวลาแล้วที่ห้องพิเศษในร้านอาหารซึ่งถูกจองในนามของสมาคมการค้าฟลินน์จะถูกเปิดออกอีกครั้ง
“เข้ามา”
ประตูถูกเปิดออกก่อนที่เชวฮันและสมาชิกคนอื่นๆจะทยอยเดินเข้ามา
คาร์ลหันศีรษะไปมองนอกหน้าต่างเพื่อดูพื้นที่ในจัตุรัสกลางเมืองซึ่งถูกชโลมเป็นสีแดงจากพระอาทิตย์ตกดิน
“ถึงเวลาแล้วสินะ”