บทที่ 181 อยากขโมยมันนะ..แต่ว่า 3 (2)
คาร์ลยังคงปรบมือต่อไปเมื่อสายตาจ้องไปที่กำแพงสูงที่ล้อมรอบคฤหาสน์เซคก้ามาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปีแล้ว มันค่อยๆพังลงราวกับโดมิโน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นโดยใช้เวทย์ขยายเสียงของราอน
“ถอย!”
ทุกคนต่างสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน มันดังก้องไปทั่วคฤหาสน์เซคก้ารวมไปถึงคฤหาสน์ขุนนางคนอื่นๆที่อยู่บริเวณใกล้เคียง อาร์ชีสังเกตเห็น‘ดยุกร็อก เซคก้า’กลับมาถึงในเวลานั้นก่อนจะเย้ยหยันเป็นครั้งสุดท้าย
“เพราะกำแพงนี้มีอายุถึงพันปีสินะมันถึงพังได้ง่ายขนาดนี้! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
จากนั้นเขาก็ถอยกลับทันที คนอื่นๆในกลุ่มก็ถอยกลับเช่นกัน พวกเขาหายตัวไปจากคฤหาสน์เซคก้าอย่างรวดเร็วโดยใช้เส้นทางที่วางแผนกันเอาไว้ล่วงหน้า
ผ่านไปเพียงครู่เดียวอัศวินผู้พิทักษ์โคลเปย์ก็เดินทางกลับมาถึง เขาเดินทางกลับมาช้าก็เพราะเขามั่นใจในตัวสมาชิกของอาร์มและอัศวินประจำคฤหาสน์เซคก้าว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเขาถึงกลับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
.
.
.
“ไม่น่าเชื่อ?..ว่าแค่คืนเดียวจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้”
“ใช่!ใครจะไปคิดว่าขโมยจะกล้าบุกเข้าไปปล้นถึงคฤหาสน์เซคก้า?!”
หนึ่งในชาวอาณาจักรพารันมองไปที่เสาเพลิงซึ่งกำลังลุกท่วมทะเลสาบในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์เซคก้า ก่อนที่อีกคนจะพูดสิ่งที่เขารู้เพิ่มเติม
“ข้าได้ยินมาว่า..ไม่ใช่หัวขโมยธรรมดาๆ”
“จริงรึ?”
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าทำงานอยู่ในคฤหาสน์ของขุนนางที่ตั้งอยู่ในย่านนั้นพอดี..เขาบอกว่าทั้งรั้วและกำแพงของคฤหาสน์ท่านดยุกถูกทำลายจนพังยับเยิน! เจ้าคิดว่าขโมยจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ไอกู! ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด”
“นั่นสิ! พวกเขายังทำลายรูปปั้นไวย์เวิร์นอีกด้วย!”
“ทำลายรูปปั้นด้วยเหรอ? ทำได้อย่างไรกัน? ไอกู! ดูท่าอัศวินผู้พิทักษ์จะเจอปัญหาใหญ่แล้ว!”
ชาวเมืองอีกคนที่ฟังทั้งสองพูดคุยกันอยู่ถือโอกาสพูดแทรกขึ้นมา
“นั่นคือปัญหาใหญ่ในตอนนี้จริงๆเหรอ?”
คนทั้งคู่เงียบลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ก่อนที่พวกเขาทั้งสามจะหันไปมองทะเลสาบน้ำตาพระเจ้าอีกครั้ง
พวกเขามองเห็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังลุกท่วม
ไฟที่ดยุกเซคก้าบอกว่าจะดับโดยเร็วที่สุดยังคงลุกท่วมเช่นเดิม แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดที่ห่างจากทะเลสาบพอสมควรก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นๆจากเปลวเพลิงนั้น หากให้พูดตรงๆต้องบอกว่ามันอุ่นจนเกินไป! อุ่นจนทำให้เหงื่อพวกเขาไหลไม่หยุด
หนึ่งในนั้นเริ่มพูดขึ้น
“…มันจะปลอดภัยใช่มั้ย?”
เขาต้องการถามว่าไฟที่กำลังลุกท่วมอยู่นี้จะไม่ทำอันตรายพวกเขาใช่หรือไม่?
ไฟไม่ลุกลามออกจากทะเลสาบแต่ถึงอย่างไรมันก็น่ากังวล
ไฟไม่มอดลงแม้ว่าที่นี่จะมีอากาศหนาวและหิมะตกหนักเพียงใดก็ตาม พวกเขาไม่เคยเห็นไฟเช่นนี้มาก่อน ไฟที่พวกเขาไม่รู้จักนี้ทำให้พวกเขาอึดอัดใจยิ่งนัก
นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่โคลเปย์คิดในตอนนี้เช่นกัน
“ท่านหัวหน้า!”
ลูกน้องของเขาคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาหาโคลเปย์ซึ่งกำลังสำรวจเสาเพลิงอยู่ที่ทะเลสาบโดยไม่คิดที่จะอยู่เฝ้าการซ่อมแซมคฤหาสน์ที่ถูกทำลายแต่อย่างใด ลูกน้องคนนี้คือคนที่โคลเปย์สั่งให้ไปสำรวจพื้นที่ป่าทางด้านทิศตะวันออก
“เจ้าถืออะไรมา?”
เดิมทีโคลเปย์จะถามว่า‘เกิดอะไรขึ้น’แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของลูกน้องจึงเปลี่ยนคำถามของตนทันที ลูกน้องของเขามีท่าทีอึดอัดใจเมื่อเริ่มเอ่ยรายงานให้เขาฟัง
“เราพบมันที่กลางป่าขอรับ..ดูเหมือนมันจะมาจากบุคคลที่ท่านตามหา”
โคลเปย์รับเสื้อมาจากลูกน้องของตน มันเป็นเสื้อคลุมนักบวชสีขาวสะอาดตา
ไม่มีตราสัญลักษณ์ใดๆประดับอยู่แต่มันก็ยังดูหรูหราและเรียบง่ายอยู่ในตัว มันเป็นสิ่งที่สามารถหาซื้อได้เกือบทุกที่
อย่างไรก็ตามมันกลับมีความหมายสำหรับโคลเปย์ ทั้งเขาและลูกน้องคนสนิทเคยเห็นเสื้อคลุมนี้เมื่อประมาณสามวันที่แล้ว
นักบวชผมขาว
นี่คือเครื่องแต่งกายของนักบวชผมขาวที่โคลเปย์พบเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โคลเปย์หันไปถามลูกน้องของตนทันที
“มันไม่ได้อยู่ที่นั่นเมื่อครั้งก่อนใช่มั้ย?”
เมื่อประมาณสามวันก่อนพวกเขาได้ออกค้นหาทั่วพื้นที่ป่าทางด้านทิศตะวันออกแต่ไม่พบเสื้อคลุมผืนนี้แต่อย่างใด
โคลเปย์หันไปมองเสาเพลิงอีกครั้งและเปิดเสื้อคลุมออกดู
ตุ้บ!
มีกระดาษชิ้นหนึ่งหล่นมาจากเสื้อคลุม
สายตาของโคลเปย์ปะทะกับตัวหนังสือที่ระบุอยู่ในกระดาษแผ่นนี้ทันที
<พระเจ้าไม่เคยลืม>
เขาได้ยินเสียงลูกน้องดังขึ้น
“เอ่อ..มีเพียงกระผมเท่านั้นที่ได้อ่านมัน.เพราะมันค่อนข้างแปลกกระผมเลยรีบนำกลับมาให้ท่าน”
โคลเปย์ก้มลงหยิบกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาอ่านเพราะมันยังมีข้อความเพิ่มเติมอีก
<ในที่สุดทะเลสาบก็จะไหลเชี่ยวเป็นแม่น้ำ>
โคลเปย์เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“มันดูแปลกจริงๆ..มีแค่เจ้าคนเดียวใช่มั้ยที่ได้อ่านมัน?”
“ขอรับ! กระผมจำได้ว่าท่านสั่งให้พวกเราทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดจึงมีเพียงแค่กระผมคนเดียวที่ได้อ่านมัน! มีอะไรหรือเปล่าขอรับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก!..เจ้าทำได้ดีมาก..หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกรีบแจ้งให้ข้าทราบโดยด่วน”
“ขอรับ!”
ลูกน้องโค้งคำนับให้กับโคลเปย์ก่อนจะรีบกลับไปยังป่าทางด้านทิศตะวันออกอีกครั้ง โคลเปย์มองตามแผ่นหลังเขาไปก่อนจะโยนกระดาษลงไปในกองเพลิง
ฟรู่!!
กระดาษถูกเผาในทันที
โคลเปย์เริ่มกระซิบบางอย่างออกมาเบาๆแต่มันก็ดังพอที่จะทำให้อัศวินเงาของตนที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยิน
“ฆ่าเขาซะ”
“…ขอรับ”
อัศวินเงาเข้าใจในทันทีว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่ลูกน้องคนเมื่อครู่จะยังมีลมหายใจอยู่ก่อนที่เขาจะรีบโค้งคำนับต่อโคลเปย์ เขาไม่รู้ว่าทำไมโคลเปย์ถึงสั่งให้ฆ่าชายผู้นั้น?แต่หน้าที่ของเขาคือทำทุกอย่างตามที่โคลเปย์สั่งจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ถามไถ่อะไรออกไป
โคลเปย์ไม่สนใจต่อสีหน้าประหลาดใจของอัศวินเงาเมื่อหันกลับไปดูเสาเพลิงอีกครั้ง
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น
‘ในที่สุดทะเลสาบก็จะไหลเชี่ยวเป็นแม่น้ำ’
‘…เขารู้จักความลับของตระกูลข้าได้อย่างไร?’
นักบวชผู้นั้นเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้าจริงๆเหรอเนี่ย?
โคลเปย์เชื่ออย่างสนิทใจว่านักบวชผมขาวคือผู้ส่งสารจากพระเจ้า มีเพียงทายาทของตระกูลเซคก้าเท่านั้นที่รู้ความจริงของอาณาจักรพารัน
เขายังจำจดหมายที่พบเมื่อครั้งตามล่านักบวชผมขาวได้
‘คงมีเพียงตำนานที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่เท่านั้นที่จะถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาความรุ่งโรจน์เอาไว้’
โคลเปย์เชื่อว่าตัวเองคือคนที่จะสร้างตำนานนั้นขึ้นมา
เขามองไปที่เสาเพลิงที่กำลังลุกท่วมจนเกือบจะถึงสุดท้องฟ้า ชาวเมืองต่างลือกันหนาหูว่าเสาเพลิงนี้เกิดจากความโกรธของพระเจ้าแต่เหล่าขุนนางต่างสงสัยว่ามันคือการเล่นแร่แปรธาตุของจักรวรรดิ
‘พระเจ้าไม่เคยลืม’
เนื้อความในกระดาษที่เพิ่งถูกเผาไปยังสลักอยู่ในใจของโคลเปย์ เขาพยายามทำให้ตัวเองสงบลงและไม่ฟุ้งซ่านกับประโยคนั้น
‘พระเจ้าไม่มีวันลืมความโกรธเคืองของตนเอง’
โคลเปย์ค่อยหลับๆตาลง เขาไม่สามารถสงบใจลงได้เลย
.
.
.
คาร์ลค่อยๆลืมตาขึ้น
ตอนนี้เขากลับมาถึงอาณาจักรโรมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาต้องผ่านอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารจำนวนมากก่อนจะสามารถขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางมายังจุดนัดพบ
คลิ๊ก!
มีคนจากด้านนอกเปิดประตูรถม้าออก
“นายน้อย..ผอมลงไปเยอะเลยนะขอรับ”
รอนเอ่ยทักทายคาร์ลขึ้นมา
“นายน้อยคาร์ล..ไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าค่ะ”
เป็นเสียงของฟรีเซียที่เอ่ยทักทายตามหลังรอนเข้ามา คาร์ลพยักหน้าให้กับคำทักทายนั้นก่อนจะเอ่ยถามรอน
“ทุกอย่างพร้อมหรือยัง?”
โรสลินและเชวฮันเดินทางกลับไปยังที่พักแล้ว แน่นอนว่าราอนยังคงอยู่กับเขาเช่นเดิม
“เมี้ยว!”
“เมี้ยว!”
ออนและฮงก็อยู่กับเขาที่นี่เช่นกัน
เด็กๆทั้งสาม รวมถึงรอน สมาชิกจากสายข่าวที่นำทีมโดยฟรีเซียและรองหัวหน้าองครักษ์ฮิลส์แมนคือกลุ่มคนที่ต้องเดินทางไปยังดินแดนของ‘อันโตนิโอ กิลล์’เพื่อดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป
คาร์ลกำลังวางแผนที่จะบีบให้อันโตนิโอผู้เป็นว่าที่ดยุกคนต่อไปและยังเป็นผู้นำในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ให้หายใจไม่ออก
แต่คำตอบของรอนกลับต่างจากที่คาร์ลคิดไว้
“เอ่อ..มีปัญหานิดหน่อยขอรับ”
“ปัญหา?”
คาร์ลกำลังจะใช้ความผิดของลูกน้องคนสนิทของตระกูลกิลล์ที่ทำการลักพาตัวผู้อื่นมาใช้จัดการกับอันโตนิโอ
แต่มันมีปัญหางั้นหรือ?
รอนตอบเสียงแผ่วเมื่อเห็นท่าทางแข็งทื่อของคาร์ล
“ดูเหมือนข้ารับใช้ผู้นั้นจะข้องเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ขอรับ..เป็นเพราะกระผมรู้สึกเบื่อจึงคิดสืบเรื่องนี้เพิ่มเติม”
‘อ่า’
คาร์ลรู้แล้วว่าปัญหานั้นคืออะไร
ครั้งแรกคาร์ลคิดที่จะใช้สิ่งนี้เพื่อประโยชน์ต่อตัวพวกเขาเองแต่ข้ารับใช้ผู้นั้นกำลังทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่เขาคิดเอาไว้ คาร์ลเริ่มขมวดคิ้วและหันไปถามฟรีเซีย
“แต่ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”
รอนเป็นคนตอบคำถามนี้แทนฟรีเซีย
“ขอรับ..ทุกอย่างพร้อมที่จะเชือดพวกเขาแล้ว!”
คาร์ลไม่คิดว่าการตอบสนองของเหล่านักฆ่าจะดูโหดร้ายเช่นนี้
“อ่า..ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าเตรียมสิ่งที่สาสมกับพวกเขาอย่างแน่นอน”
ประสบการณ์ดูเหมือนจะไม่เลือนหายไปจากรอนได้ง่ายๆเมื่อเขาสามารถเตรียมการทุกอย่างได้เหมาะสมกับสถานการณ์