บทที่ 205 มหาสมุทรคือ… 5 (1)
มันไม่ง่ายเลยที่จะข้ามมหาสมุทรในช่วงฤดูหนาวไปได้ นั่นคือสาเหตุที่กัปตันเรือแต่ละลําและฝีพายทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง พันธมิตรทางตอนเหนือได้คัดเลือกผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดมาทําหน้าที่ในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามการมีฝีมือดีที่สุดไม่สามารถใช้งานในครั้งนี้ได้
บั้งงงงงงง!!
มหาสมุทรแห่งความตายได้ปรากฏตัวต่อหน้ากัปตันเรือในขณะนี้แล้ว เขาแทบหมดเรี่ยวแรงที่จะบังคับเรือให้หลบออกจากวังน้ําวนที่เหลือเพื่อฝ่าหมอกสีแดงออกไปต่อ
“ตั้งสติทําหน้าที่ของเจ้าต่อไป! เปิดใช้งานปืนใหญ่เดี๋ยวนี้”
ในที่สุดทหารของพันธมิตรไร้พ่ายก็กลับมามีสติอีกครั้ง พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ปักกกก!!กกกก!!กกกก!!
พวกเขาทั้งเตะและเหยียบโดนศพของเพื่อนๆทหารเมื่อเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้งพวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาสนใจกับสิ่งเหล่านี้
“โอ้ยยย! อีกกก!”
มีทหารนายหนึ่งนอนกองอยู่กับพื้น เขาถูกพิษและยังไม่เสียชีวิตโดยทันที ร่างของเขาถูกเพื่อนทหารนายหนึ่งเหยียบเข้าไปเต็มๆ อย่างไรก็ตามทหารที่เพิ่งเหยียบไปบนร่างของทหารที่ถูกพิษเพียงจ้องไปที่ร่างนั้นเงียบๆก่อนจะสาวเท้าเดินต่อไป
เขาคิดว่าตัวเองอาจตายได้หากหยุดช่วยทหารนายนั้น
ทหารทั้งหมดยังคงเคลื่อนไหวต่อไปแม้ว่าเท้าของพวกเขาจะเหยียบลงไปบนซากศพก็ตามพวกเขาต้องทําหน้าที่ตัวเองต่อแต่จิตใจที่ห่วงใยร่างของเพื่อนๆทหารทําให้พวกเขาเดินช้าขึ้นเพื่อไม่ให้เท้าของตนไปเหยียบโดนศพมากนัก อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถทําเช่นนั้นได้อีกต่อไป
“รีบเข้า! หากพวกเจ้าไม่อยากกลายเป็นศพเฝ้าใต้ทะเล!”
อัศวินนายหนึ่งตะโกนใส่หน้าทหารทั้งหมด
“แบ่งคนไปช่วยฝีพายพวกนั้นหากพวกเจ้าอยากพาศพเพื่อนกลับบ้าน!”
ทหารทั้งหมดอยากมีชีวิตรอดเพื่อจะได้พาศพของเพื่อนกลับบ้านเกิด หากพวกเขาตายที่นี่กันหมดก็คงจะไม่มีใครหาร่างของพวกเขาเจอ พวกเขาต้องกลายเป็นศพไร้ญาติอย่างนั้นหรือ?ในตอนที่พวกเขาออกเดินทางพร้อมกับกองทัพเรือสามร้อยลํา สถานการณ์มันไม่ได้เป็นแบบนี้?พวกเขามาพร้อมกับความฮึกเหิมและคิดว่าพวกเขาจะสามารถทําลายทุกสิ่งได้อย่างง่ายดายแต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม! กลายเป็นศัตรูต่างหากที่ดูเหมือนจะพร้อมใจทําลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวาง
“เติมดินปืนเร็วเข้า!”
“พลธนูอยู่ไหน?!!”
ดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
อัศวินเริ่มรวมตัวกันเมื่อนักเวทย์เริ่มคลายพลังของตนลง
ตู้มมมมม!!ตู้มมมมม!ตู้มมมมม!
ลูกธนูนับพันพร้อมกับลูกปืนใหญ่ถูกยิงออกจากโล่ป้องกันที่นักเวทย์เปิดช่องว่างให้ หนึ่งในนักเวทย์ของอาณาจักรพารันเบิกตากว้างพร้อมกับสบถออกมาเสียงดังเมื่อเห็นห่าธนูจากฝั่งของศัตรูโต้กลับมา
“บ้าเอ้ย!! พวกเขาเตรียมสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
พวกเขามองเห็นกองทัพเรือสีแดงเกือบเทียบได้กับจํานวนเรือของพวกเขาเอง
“อาณาจักรโรมันทําอย่างนี้ได้เช่นไร..!”
การประกาศท่าทีของอาณาจักรโรมันต่อสงครามในครั้งนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ อย่างไรก็ตามอาณาจักรส่วนใหญ่ในทวีปตะวันตกไม่ได้สนใจต่อท่าที่ดังกล่าวเลยสักนิด พวกเขาไม่ได้ให้ความสําคัญกับอาณาจักรโรมันมากนักเพราะอาณาจักรโรมันไม่ได้มีสิ่งใดที่พิเศษหรือจุดเด่นมาตลอดหลายทศวรรษ แล้วพวกเขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? พวกเขาสามารถมีกองทัพเรือที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
หากพวกเขามีกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทําไมพวกเขาถึงไม่ยึดครองเส้นทางเดินทะเลของทวีปไปเลยล่ะ?
นักเวทย์จากอาณาจักรพารันเริ่มร่ายเวทย์เพื่อสร้างโล่ป้องกันขนาดใหญ่กว่าเดิมก่อนจะหันไปออกคําสั่งกับลูกน้องของตน
“เรียกใช้งานเวทย์อัคคีและเวทย์สายฟ้าฟาด.เดี๋ยวนี้!”
เขาต้องการให้ลูกน้องรีบลงมือตามที่เขาสั่งแต่เขาต้องรีบเปลี่ยนคําสั่งอย่างเร่งด่วนเมื่อเห็นลูกไฟจํานวนมหาศาลในระยะไกลๆ
ลูกแก้วพลังเวทย์จํานวนหนึ่งก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน
“อาณาจักรโรมันสามารถโจมตีด้วยพลังเวทย์ได้อย่างไร?
กองทัพเรือเวทย์
นักเวทย์จากอาณาจักรพารันเรียกใช้งานเวทย์ส่องทางไกลเพื่อให้มองเห็นความ เป็นไปของศัตรูก่อนจะตะโกนขึ้นอย่างลนลาน
“โล่ป้อง!!”
ลูกแก้วพลังเวทย์พุ่งโจมตีเรือที่เพิ่งหลบจากวังน้ําวนมาได้
“เฮือก!!”
นักเวทย์ไม่สามารถเปิดใช้งานโล่ป้องกันได้อย่างสมบูรณ์ เขายังคงมองไปที่กองทัพเรือสีแดงขนาดใหญ่ด้วยเวทย์ส่องทางไกล เขามองเห็นเรือสีแดงจํานวนมากและมีนักเวทย์ประจําการอยู่บน เรือแต่ละลํา
นักเวทย์จากอาณาจักรพารันมองไปยังกลุ่มคนที่สวมชุดคลุมสีดําและไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างของตนลงได้
“บ้าไปแล้ว”
“อาณาจักรโรมันมีกองกําลังนักเวทย์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?.เกิดอะไรขึ้น?!
สายตาของนักเวทย์ผู้นี้เริ่มขยับเปลี่ยนทิศ เขามองเห็นนักเวทย์ในชุดคลุมลอยตัวขึ้นกลางอากาศ
แน่นอนว่านักเวทย์จากอาณาจักรพารันคิดผิดเพราะคนผู้นี้ไม่ใช่นักเวทย์
นี่คือคนที่ลอยตัวขึ้นกลางอากาศด้วยการใช้ธาตุลม
ดาร์กเอลฟ์ทาช่ากําลังตั้งใจฟังคําสั่งของคนที่อยู่ด้านล่าง
“อีกครั้ง!”
คาร์ลออกคําสั่งให้โจมตีแบบเมื่อครู่อีกครั้ง
ทาช่ายกแขนทั้งสองข้างขึ้น กองกําลังนักเวทย์กลุ่ม 1 ทั้งหมดก็เริ่มใช้เวทย์แบบเดียวกันลง
เปรี้ยะ!! เปรี้ยะ!! เปรี้ยะ!!
ลูกแก้วพลังเวทย์ที่เต็มไปด้วยพลังสายฟ้าพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ทาช่าใช้ธาตุลมในการขยายเสียงของเธอให้ดังขึ้นเพื่อส่งคําสั่งของผู้บัญชาการให้นักเวทย์ที่ประจําการอยู่บนเรือลําอื่นๆทราบ
“โจมตี!”
ลูกแก้วพลังเวทย์พุ่งเข้าหาเรืออีกครั้ง
คาร์ลสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ออกเรือได้!”
คําสั่งนั้นส่งต่อให้กับเรือสีแดงอีก2-3ลําผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสาร อัศวินที่ประจําการอยู่บนเรือสีแดงลําหนึ่งหยิบดาบประจําตัวของตนขึ้นมา
ทิ้งงง!
ในขณะที่อัศวินคนอื่นๆชักดาบของตนออกมาเพื่อต่อกรกับศัตรู เรือก็หยุดลงตรงหน้าเรือขนาดกลางที่เป็นเรือของศัตรู
เสียงของคาร์ลแว่วผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารมายังหัวหน้าอัศวินทันที
“เฉือนคอศัตรูให้หมด!”
พี่บบบ!
หัวหน้าอัศวินได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งพุ่งตัวออกไปทันที เขาไม่สามารถนิ่งเฉยได้เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าวเขาเริ่มพูดขึ้น
“ตามไป!”
หัวหน้าอัศวินเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาเพียงออกคําสั่งง่ายๆเพื่อให้ลูกน้องรีบปฏิบัติตามทันที่พวกเขาต้องติดตามคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาให้ทันเท่านั้น
หัวหน้าอัศวินกระโดดตัวลงบนดาดฟ้าเรือของศัตรู อัศวินอีกนายก็กระโดดตามเขามาติดๆอัศวินที่เหลือบ้างก็ใช้ความสามารถทางกายภาพในการกระโดดลงบนเรือ บ้างก็ใช้บันไดเพื่อปืนขึ้นไปบนเรือของศัตรู
พวกเขาเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อสายตาจับจ้องไปยังด้านหลังของคนผู้หนึ่งพวกเขามองเห็นไหล่ที่ได้รับบาดเจ็บถูกพันด้วยผ้าพันแผล อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงมองเห็นออร่าสีดําที่ปกคลุมไปทั่วร่างของคนผู้นี้
ปรมาจารย์ดาบคนแรกของอาณาจักรโรมันในรอบหลายร้อยปี
เชวฮันยังคงตั้งใจทําหน้าที่ของตนต่อไปแม้ว่าคาร์ลจะบอกให้เขาพักผ่อนเพราะอาการบาดเจ็บก็ตาม เลือดของเขายังไม่หยุดไหลแต่เขาก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้เช่นกันท้ายที่สุดคาร์ลจึงอนุญาตให้เขาลงมือได้
เฮ้อ..ทําสิ่งที่เจ้าต้องการทําเถิด..ข้ามั่นใจว่าเจ้าดูแลตัวเองได้แต่จําเอาไว้ว่าถ้าเจ้าบา ดเจ็บกลับมาอีกครั้งข้าจะไม่อนุญาตให้เจ้าไปไหนมาไหนกับข้าอีกต่อไป
เชวฮันรู้ว่าคาร์ลเป็นคนพูดจริงทําจริง นั่นทําให้เขาจําคําสั่งของคาร์ลไว้ขึ้นใจและพร้อมลงมือทําทุกอย่างด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
กองพันอัศวินทะลวงฟันไล่ตามหลังเขวฮันไปอย่างกระชั้นชิด เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อใดก็ตามที่นักดาบไต่ระดับฝีมือของตัวเองจนถึงจุดสูงสุดจนกลายเป็นปรมาจารย์ดาบ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้านพละกําลังของคนผู้นั้นได้ อัศวินแห่งอาณาจักรโรมันตระหนักถึงความจริงในข้อนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาต้องกลัวตราบใดที่ออร่าสีดํายังคงปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
บั้งงงงงงงง!!
ออร่าสีดําทําลายห้องควบคุมเรือของศัตรูทันที
คาร์ลยังคงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือสีทองซึ่งเป็นจุดที่แข็งแกร่งและปลอดภัยที่สุด เขากําลังมองเชวฮันทําลายเรือของข้าศึกจากระยะไกลๆ
“หมอนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
คาร์ลกําลังคิดว่าเชวฮันสมควรแล้วที่ได้เป็นตัวละครหลักของนิยายเรื่องนี้ เชวฮันสามารถพัฒนาฝีมือของตนเองและเริ่มใกล้เคียงกับคําว่าวีรบุรุษเข้าไปทุกที
“ฉันผ่อนคลายได้แล้วสินะ
รูปปั้นเต่าทองคําขนาดใหญ่อยู่ใกล้ร่างของคาร์ล ผมสีแดงสดของคาร์ลตัดเข้ากับสีทองจนทําให้เขาดูโดดเด่นบนเรือลํานี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขาด้วยความสนใจ
มีขุนนางจํานวนมากอยู่บนเรือลํานี้ซึ่งถือเป็นเรือที่ใหญ่และดูแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพเรือของอาณาจักรโรมัน เหล่าขุนนางต้องการให้คาร์ลเห็นในด้านดีของพวกเขาจึงไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ในห้องพักเรือได้ พวกเขาจึงเลือกสวมชุดเกราะที่ดูแข็งแรงที่สุดและพากันยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังคาร์ลบนดาดฟ้าเรือแห่งนี้
กลุ่มคนเหล่านี้คือขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าร่วมกับขุนนางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคกลางพวกเขาไม่สามารถอธิบายอะไรในตอนนี้ได้เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดอยู่ตรงหน้า
เรือกําลังถูกทําลาย
ผู้คนกําลังจะตาย
และมันไม่ใช่เรือหรือคนของฝั่งพวกเขา
ขุนนางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จิตใจของพวกเขาอัดแน่นขึ้นด้วยความสับสนเมื่อรับรู้ถึงความจริงในข้อนี้ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะทราบ หนึ่งในขุนนางที่เข้าร่วมกับภาคตะวันออกเฉียงใต้แตะไปที่หลังคอของตน
“อาณาจักรโรมันมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งเช่นนี้เชียวหรือ?!”
แม้จะรู้ว่าองค์ชายรัชทายาทผลักดันให้มีการสร้างฐานทัพเรือขึ้นมาก็ตามแต่เมื่อเห็นข นาดและความแข็งแกร่งของกองทัพเรือรวมถึงนักเวทย์ที่ถูกส่งตัวมาช่วยรบในครั้งนี้ก็ทําให้พวกเขารู้ได้ในทันที่ว่าทําไมองค์ชายรัชทายาทถึงประสบความสําเร็จในการขึ้นครองบัลลังก์
แต่ยังมีข้อมูลอีกชิ้นที่ทําให้เขาตกใจ
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลเฮนิตัสจะเป็นหุ้นส่วนในการสร้างฐานทัพเรือในครั้งนี้ด้วย
อาณาเขตอัลบาผู้รับผิดชอบชายฝั่งทะเลของอาณาจักรโรมัน
องค์ชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรโรมัน
และสุดท้ายคืออาณาเขตมหาเศรษฐีเช่นอาณาเขตเฮนิตัส
เขารู้สึกเกรงกลัวอํานาจของอาณาเขตเฮนิตัสเพิ่มขึ้นเมื่อรับรู้ถึงการเป็นหุ้นส่วนดังกล่าว “
“แค่กกก”
เหล่าขุนนางพากันหูฝั่งเมื่อได้ยินเสียงไอดังขึ้น พวกเขาหันไปมองยังทิศนั้นทันที
เจ้าของเสียงไอคือคาร์ล เฮนิตัส
ผู้บัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือกําลังใช้แขนเสื้อเช็ดปากของตนอยู่ พวกเขาเห็นเลือดที่แต้มอยู่บนแขนเสื้อนั้น
อย่างไรก็ตามเหล่าขุนนางไม่สามารถพูดอะไรออก
ในตอนแรกพวกเขารู้สึกกลัวและกังวลต่ออาณาเขตเฮนิตัส พวกเขารู้สึกกลัวที่อาณาเขตเล็กๆซึ่งอยู่ติดชายแดนกําลังสะสมอํานาจของตนอย่างลับๆ อย่างไรก็ตามอารมณ์บางอย่างที่แตกต่างจากความกลัวและกังวลได้เข้ายึดครองจิตใจพวกเขาทั้งหมด
พวกเขาได้ยินเสียงคาร์ลออกคําสั่ง
“เปิดใช้โล่ป้องกันเพื่อปกป้องทหารเดี๋ยวนี้! ”
นักเวทย์สร้างโล่ป้องกันขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารของพวกเขาถูกนักเวทย์ของศัตรูโจมตี ศัตรูจะถูกกําจัดโดยที่ฝ่ายพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ มันเป็นการโจมมีเพียงด้านเดียว ไม่มีใครคาดคิดว่าอาณาจักรโรมันจะทําเช่นนี้กับพันธมิตรไร้พ่าย
ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งประสบกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเริ่มมีความรู้สึกอันหลากหลายประดังเข้ามาในตัวเขา จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เดิมที่ตระกูลเฮนิตัสเป็นตระกูลผู้พิทักษ์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปเลยเพราะอยู่อย่างสงบสุขมาเป็นเวลานาน
แม้ว่าตระกูลเฮนิตัสจะเป็นที่รู้จักกันในนามของตระกูลมหาเศรษฐีแต่ดั้งเดิมนั้นพวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะตระกูลนักสู้ นับตั้งแต่อาณาจักรโรมันถูกก่อตั้งขึ้นในทวีปตะวันตกตระกูลเฮนิตัสก็ได้ ทําหน้าที่ป้องกันไม่ให้ปาแห่งความมืดทําอันตรายต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทั่วทั้งอาณาจักรโรมันได้
ปัจจุบันตระกูลของมาร์ควิสไอกันเป็นที่รู้จักกันในนามของตระกูลนักสู้ที่ใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรโรมันในขณะที่ตระกูลไอลันเลือกอาณาเขตที่ดีที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงใต้ไปแต่ตระกูลเฮนิตัสกลับเลือกอาณาเขตติดชายแดนซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นก็ตาม พวกเขาเลือกที่จะไปอยู่ในอาณาเขตที่ติดกับปาแห่งความมืดซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่แข่งแกร่งและดุร้าย
ขุนนางทั้งหมดราวกับจะรู้อะไรบางอย่าง
พวกเขาจ้องมองไปที่แผ่นหลังของคาร์ล หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
เหล่าขุนนางสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดของคาร์ล เฮนิตัสซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาคาร์ลไม่คิดที่จะทําความสะอาดแขนเสื้อที่เลอะเลือดของตนเลยด้วยซ้ําเมื่อยังคงเพ่งมองไปยังสนามรบด้านหน้า
แน่นอนว่าไม่มีความลังเลใดๆเมื่อเขาออกคําสั่งแก่ทหารและนักเวทย์
คาร์ลดูน่าเชื่อถือยิ่งนักแต่ในขณะเดียวกันเหล่าขุนนางกลับรู้สึกเสียดาย
พวกเขาเข้ามาอยู่ในเรือลํานี้แต่มันก็สายจนเกินไป
“คนจริงไม่ได้อยู่บนเรือแข็งแกร่งนี้แต่กําลังอยู่ในสนามรบ คนที่มีคุณสมบัติที่จะได้จารึกในประวัติศาสตร์กําลังเขียนสิ่งนี้ด้วยตนเอง ขุนนางผู้หนึ่งเม้มฝีปากของตนแน่นขึ้น เขาต้องการพูดบางอย่างออกไปแต่ก็ทําได้เพียงขมวดคิ้วมั่นเพราะไม่กล้าเข้าไปใกล้คาร์ล นั่นคือเหตุผลที่เขาระ งับความฟุ้งซ่านของตนเอาไว้และยืนอยู่เงียบๆ สายตาของขุนนางทั้งหมดต่างจับจ้องไปที่แผ่ นหลังของคาร์ล
อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่รู้สึกถึงการจ้องมองใดๆเมื่อเริ่มขมวดคิ้วหนักขึ้นเรื่อยๆ
“หิวโว้ย!”
เขาไม่ได้มีเลือดออกมากนักเพราะใช้อัคนีทําลายล้างสร้างสายฟ้าขึ้นมาเท่านั้นแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นความหิวก็ยังคงแล่นไปทั่วท้อง มันไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาจะหลบไปพักและนั่งกินสเต็กอย่างใจเย็นได้มันทําให้เขาหงุดหงิดไม่ใช่น้อย