ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family – ตอนที่ 208.1

ตอนที่ 208.1

บทที่ 208 เจ้ากลับมาแล้ว 3 (1)

บนแผ่นน้ําแข็งขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งอาณาจักรพารันพอสมควร คาร์ลและสมาชิกในกลุ่มปักหลักกันอยู่ที่นี่ ก่อนที่เสียงซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจะดังเข้ามาในหูของคาร์ล

“มนุษย์อ่อนแอ! เราจะทําสิ่งที่น่าตื่นเต้นกันอีกใช่มั้ย?”

ราอนกระพือปีกถี่ๆเมื่อเอ่ยถามคาร์ลอย่างตื่นเต้น คาร์ลกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้นพลา งตอบกลับ

“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”

เขามองเห็นชายฝั่งทะเลที่ยังคงเย็นยะเยือกไม่ต่างจากเดือนที่แล้วที่เขามาเยือน คาร์ลสังเกตป้อมตรวจการทั้งห้าแห่งซึ่งตั้งอยู่ทั่วพื้นที่ ป้อมเหล่านี้ตั้งประจําการอยู่บริเวณชายแดนทางทิศเหนือของอาณาจักรพารัน มันมีไว้สําหรับป้องกันเผ่าวาฬไม่ให้รุกล้ําเข้ามาภายในอาณาจักรของพวกเขานั่นเอง ครั้งหนึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขาสามารถต่อกรกับเผ่าวาฬได้อย่างสูสี แต่เมื่อเผ่าวาฬถูกลืมเลือนจํานวนทหารที่ประจําการอยู่บริเวณชายฝั่งก็ร่อยหรอตามไปด้วย

เสียงราอนดังขึ้นอีกครั้ง

“เรากําลังจะทําสิ่งนี้ด้วยหรือเปล่า?”

สิ่งนี้?

ประโยคดังกล่าวของราอนทําให้สมาชิกจากเผ่าวาฬ ซึ่งยืนอยู่บนแผ่นน้ําแข็งนี้ด้วยหันไปมองด้านข้างทันที แน่นอนว่าสมาชิกจากเผ่าวาฬประกอบไปด้วยอาร์ชี วิเทียร์และพาสตัน พวกเขามีสีหน้าที่ชวนประหลาดใจไม่น้อย

ด้านข้างของพวกเขามีร่างของชายผมขาวนั่งอยู่บนรถเข็น

อัศวินผู้พิทักษ์โคลเปย์ เซคก้า

ดูเหมือนร่างกายที่นั่งอยู่บนรถเข็นนี้จะแข็งแรงเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้ว

คาร์ลเองก็หันไปมองโคลเปย์เช่นกันก่อนที่จะมองตามสายตาไปยังจุดที่โคลเปย์จ้องอยู่ คาร์ลเริ่มถามอย่างเป็นมิตร

“โคลเปย์ท่านจะไปกับเราใช่มั้ย?”

อาร์ชีตกใจกับพฤติกรรมที่เป็นมิตรของคาร์ลก่อนจะสะดุ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็น การตอบสนองของโคลเปย์

โคลเปย์ยกแขนอันปวกเปียกของตนขึ้นก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน เขาโก้งคํานับให้คาร์ลอย่างนอบน้อมแม้ว่าร่างของเขาจะอยู่บนรถเข็นก็ตาม

ท่าทางของเขาราวกับโค้งคํานับต่อพระเจ้าผู้สูงส่ง

“เกิดอะไรขึ้น?”

อาร์ชีหันไปมองพาสต้นอย่างต้องการคําตอบแต่พาสตันก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน พาสตันส่ายหน้ารัวเร็วด้วยความงุนงง

หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินสิ่งที่คาร์ลพูดกับโคลเปย์

“ท่านรู้ใช่มั้ยว่าตัวเองต้องทําอะไร?”

“ ข้ารู้ ข้าจะทําตามที่ท่านสั่ง”

“ห้ะ?”

สีหน้าของอาร์ซีเต็มไปด้วยความประหลาดใจแต่คาร์ลไม่สนใจท่าทีดังกล่าวเมื่อสังเกตเห็นความกลัวในสายตาของโคลเปย์ก่อนจะหันหลังให้ในทันที

เชวฮันตัดแขนของโคลเปย์ออกหนึ่งข้าง จากนั้นรอนก็ตัดแขนออกไปอีกข้าง ส่วนขาทั้งสองก็ถูกหักเป็นท่อนๆพร้อมทั้งถูกสับเละจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

อย่างไรก็ตามแขนและขาของโคลเปย์กลับดูเป็นปกติในตอนนี้ ขาของเขายังไม่สามารถขยับเป็นปกติได้ในตอนนี้แต่แขนทั้งสองยังพอขยับได้เล็กน้อย

วิเทียร์เอ่ยถามขึ้น

“นายน้อยคาร์ลทุกอย่างเป็นไปด้วยดีใช่มั้ย?”

เธอไม่ได้หมายถึงสภาพของของโคลเปย์ เธอไม่ใช่คนที่จะเห็นอกเห็นใจศัตรูแบบนั้น

เธอแค่อยากรู้ว่าแผนนี้จะสามารถดําเนินไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่?

“ไม่ต้องห่วง”

วิเทียร์ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีกหลังจากเห็นท่าทีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของคาร์ล มันคงเป็นแนวโน้มที่ดีหากเขายืนยันว่าไม่ต้องห่วง

คาร์ลหันหน้าหนีจากโคลเปย์เพราะต้องการสบถบางอย่างในใจ เขารู้ดีว่าโคลเปย์กําลังเห็นเขาเป็นพระเจ้า

ทั้งๆที่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย

คาร์ลคิดว่าการที่โคลเปย์เป็นเช่นนี้เพราะเขากําลังกลัว

ทําไมนะเหรอ?

แมรี่เป็นคนทําแขนและขาอันใหม่ให้กับเขา แน่นอนว่าคาร์ลเป็นคนสั่งให้เธอทําและเขาก็บอกให้เธอทําบางอย่างเพิ่มเข้าไปด้วย

ทําให้แขนและขาของเขาเป็นระบิด”

แมรี่เข้าใจเจตนาของคาร์ลได้ทันที

“ระเบิดที่ว่าคือระเบิดพลังเวทย์แห่งความตายใช่หรือไม่?

พลังเวทย์แห่งความตายถือเป็นพิษร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิต แม้แต่ฮันนาห์ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ได้การช่วยเหลือจากแมรี่ระเบิดที่เต็มไปด้วยพิษร้ายแรงถูกติดตั้งไว้ในแขนและขาของโคลเปย์ทั้งสองข้าง

คาร์ลยังจําสิ่งที่แมรี่บอกเขาไว้ได้

“แขนและขาของเขาสามารถระเบิดได้ทันทีหากข้าเป็นคนส่งสัญญาณเพื่อกดชนวนหรือถ้ามีใครพยายามที่จะรักษาอาการของเขา.ระเบิดก็จะทํางานในทันทีเช่นกัน แน่นอนว่าเขาจะตายโดยที่ยังไม่ได้ส่งเสียงเลยสักคําเดียว”

ชีวิตของโคลเปย์อยู่ในกํามือของคาร์ล

“หมอนี้จะดิ้นรนทําทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป

นั่นคือเหตุผลที่คาร์ลหันกลับไปมองโคลเปย์และพ่นลมหายใจอย่างนึกเยาะเย้ย นี่คือคนที่กล้าหลอกคนทั้งทวีปว่าตัวเองคืออัศวินไวย์เวิร์นแล้วทําไมคนแบบนี้จะไม่กล้าทําทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป? คาร์ลไม่คิดที่จะไว้ใจศัตรูและไม่มีแผนที่จะปล่อยให้คนอ่อนเปลี้ย เช่นนี้รอดไปจากเอื้อมมือของเขาได้

ราอนหันไปมองคาร์ลและโคลเปย์สลับไปมาก่อนจะกระพือปีกบินไปใกล้กับร่างของวิเทียร์ มันกระซิบบางอย่างข้างหูของวิเทียร์

“เจ้าผมขาวดูจะเสียสติไปหน่อยแต่เขายังสามารถเล่นไปตามบทที่เราสั่งให้เขาทําได้”

“ข้าเข้าใจแล้วท่านราอน”

ในที่สุดวิเทียร์ก็คลายความกังวลเกี่ยวกับคาร์ลและโคลเปย์ลง ในเมื่อราอนยืนยันอีกเสียงก็ไม่มีเหตุผลใดที่เธอต้องกังวลอีก

อย่างไรก็ตามวิเทียร์ไม่ได้เข้าใจความหมายทั้งหมด

“เขาเสียสติไปหน่อย”

เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่ราอนกําลังจะสื่อนั้น ความหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?

ราอนในวัยหกขวบถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าโคลเปย์เอาแต่จ้องแผ่นหลังของคาร์ลอ ย่างไม่ยอมจะเคลื่อนย้ายไปไหน

โคลเปย์ยังคงตั้งหน้าตั้งตามองแผ่นหลังของคาร์ลต่อไป ผมสีแดงสดสะท้อนเข้าตาของเขา นั่นทําให้เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคุก เขายังจําได้ดีถึงสิ่งที่หมอผีผู้ทําแขนและขาพร้อมกับระเบิดที่เต็มไปด้วยพลังเวทย์แห่งความตายให้กับเขา เสียงที่เยือกเย็นและเป็นโทนเดียวอยู่ตลอดเวลา ทําให้เขาอดรู้สึกขนลุกไม่ได้

“เจ้าไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือของนายน้อยคาร์ลไปได้หรอก”

แม้ว่าจะสัมผัสได้เพียงเล็กน้อยแต่คนที่เคยรู้จักกับเธอมาก่อนย่อมบอกได้ว่าตอนนี้เธออารมณ์ดีมากเพียงใด เพราะมันค่อนข้างแตกต่างจากน้ําเสียงที่เธอเคยใช้มาก่อน

“นายน้อยคาร์ลเป็นคน..น่าทึ่ง

แมรี่เริ่มบรรยายสรรพคุณของคาร์ลด้วยน้ําเสียงราวกับหุ่นยนต์ให้โคลเปย์ฟัง สําหรับแมรี่แล้ว คาร์ลเป็นคนที่เธอรู้สึกขอบคุณมาโดยตลอด คาร์ลเป็นคนดีและน่าเห็นใจในเวลาเดียวกัน เพราะเขามักเสียสละทําสิ่งต่างๆเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ เธอแบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อคาร์ลอย่างซื่อตรง เธอพูดออกไปด้วยความใสซื่อเพราะเนื้อแท้ของเธอช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก

“นายน้อยคาร์ลมักจะมองเห็นทุกสิ่งเสมอ”

ทุกครั้งที่มีคนทําให้สมาชิกในกลุ่มของคาร์ลได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ คาร์ลมักวางแผนตอบโต้คนเหล่านั้นอยู่เสมอ แม้การแสดงออกของเขาจะดูเย็นชาแต่มันก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดูเหมือนหัวใจของเขาจะสูงส่งยิ่งกว่าภูเขาสูงชันเสียอีก เขารักษาความเจ็บปวดของแมรี่ด้วยวิธีนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่แมรี่พูดนั้นโคลเปย์ได้ยินต่างออกไป

“นายน้อยคาร์ลมักจะมองเห็นทุกสิ่งเสมอ”

ทันทีที่โคลเปย์ได้ยินประโยคดังกล่าว สมองของเขาก็กระจ่างขึ้นทันที

“ขุนนางผู้นี้รู้เห็นทุกอย่างจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าข้า”

เส้นผมสีแดงสดที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวยังคงติดตรึงในใจของเขา มันทําให้เขานึกถึงตํานาน ตํานานที่เป็นของจริงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเซคก้าแต่งมันขึ้นมา

<หากน้ําจะกลับคืนสู่ทะเลสาบอีกครั้งนั่นคือช่วงเวลาที่พระเจ้ากลับมาจากทางใต้>

มันคือความจริง!

“ท่านจะได้พบกับพระเจ้าที่ใต้อย่างแน่นอน!!

หัวใจของโคลเปย์เต้นรัวขึ้น เสียงเรียบเฉยที่ทําให้สมองของเขากระจ่างดังขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่ามันเป็นเสียงของหมอผีที่อยู่กับเขาในคุกนั่นเอง

“นายน้อยคาร์ล..ยึดมั่นในความดีและทํางานอย่างหนักเพื่อผดุงความยุติธรรมเอาไว้เสมอ”

โคลเปย์ตระหนักได้ถึงบางอย่าง

“นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องทําเช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดโลกก็จะเคลื่อนไหวไปตามความประสงค์ของเขา”

แมรี่แค่ชื่นชมคาร์ลที่เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามไว้ล่วงหน้าและทําทุกอย่าง เพื่อปกป้องทุกๆคน อย่างไรก็ตามโคลเปย์กลับแปลเจตนาที่แมรี่ต้องการสื่อไปเป็นอย่างอื่น โคลเปย์เข้าใจผิดไปใหญ่โตมันดูเกินจริงยิ่งกว่าที่ใครจะคาดการณ์เอาไว้

คาร์ลที่ไม่รู้เรื่องดังกล่าวเริ่มขยับตัวอีกครั้ง

“ไปกันเถอะ”

ครืน!!!! ซ่า!!!

มหาสมุทรอันหนาวเหน็บเริ่มมีระรอกคลื่นให้ได้เห็น

ภายใต้ธารน้ําแข็งที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณเริ่มมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเพราะวาฬ

วาฬขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งอาณาจักรพารันเข้าไปทุกทีๆ

“ ทําไมวันนี้ถึงหนาวขนาดนี้เนี่ย?”

“นั่นสิขอรับ”

ทหารยามซึ่งประจําการอยู่ป้อมตรวจการของสถานีลาดตระเวนยื่นแก้วชาร้อนๆให้กับนักเวทย์ที่กําลังบ่นให้กับอากาศหนาวเย็นในวันนี้

นักเวทย์ที่รับหน้าที่ดูแลอุปกรณ์เวทย์สื่อสารยกชาขึ้นจิบก่อนจะผลักไปไว้ข้างๆ

“อ่า…ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย! ทําไมเราต้องมาดูแลสถานที่แบบนี้ด้วยนะ? จะมีใครบุกมาที่นี่ด้วยหรือไง?”

“ข้าน้อยเห็นด้วย! ไม่มีทางที่อาณาจักรทางตอนใต้จะฝ่าธารน้ําแข็งขึ้นมาทางนี้ได้”

ทางใต้อาจกําลังยุ่งอยู่กับสงครามแต่ป้อมตรวจการของสถานีลาดตระเวนทางตอนเหนือไม่จําเป็นต้องกังวลกับเรื่องนั้น

ไม่มีทางที่ใครจะบุกมาที่นี่ได้

นักเวทย์เอนกายลงบนเก้าอี้ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อมองไปยังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขามองเห็นระรอกคลื่นจากระยะไกลๆแต่บริเวณชายฝั่งที่อยู่ติดกับป้อมตรวจการนั้นยังคงเป็นปกติ มันมีธารน้ําแข็งปกคลุมไปทั่วชายฝั่ง

มันเป็นจุดบอดที่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก จะมีคนเสียสติบุกมาที่แบบนี้ด้วยหรือไง?

“อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาลาดตระเวนแล้วใช่มั้ย?”

“ขอรับ”

“เฮ้อ..ชีวิตที่แสนบัดซบของข้า”

นักเวทย์ถอนหายใจยาวให้กับชีวิตที่แสนโชคร้ายของตน เขาต้องมาเสียเวลาทําสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสถานที่แห่งนี้โดยไม่มีโอกาสไปทําสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องทํางานที่ตนได้รับมอบหมายให้เต็มที่เช่นกัน

พวกเขายังอยู่ในช่วงสงคราม

มีศูนย์ข้อมูลกลางรับหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง รวดเร็วและแข็งขัน

ผู้ที่ทําหน้าที่เป็นหัวหอกสําคัญของศูนย์ข้อมูลกลางในตอนนี้คือ ดยุคร็อก เซคก้า” เขาให้ความสําคัญกับข้อมูลและความปลอดภัยเป็นอย่างมากจนถึงขั้นสร้างอาคารส่วนกลางเพื่อใช้ติดต่อกับนักเวทย์ทั้งหมดโดยตรง

“เฮ้อ.สถานการณ์ปกติเช่นนี้เราคงไม่มีอะไรไปรายงานให้ท่านดยุคทราบหรอกนะ”

นักเวทย์ถอนหายใจยาว เป็นเพราะดยุคร็อก เซคก้ารอฟังรายงานจากทุกฝ่ายที่ประจําการอยู่ป้อมตรวจการ ทําให้เขาไม่สามารถรายงานแบบส่งๆโดยที่ยังไม่มีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นกลับไปยังส่วนกลางได้

“ข้าน้อยเห็นด้วยเรื่องเดียวที่เราจะสามารถรายงานได้คงเป็นเรื่องที่เผ่าวาฬบุกโจมตีเรากระมัง”

“เห้อะ!”

นักเวทย์ส่งเสียงเยาะในลําคอ

“เผ่าวาฬ? นี่เจ้ากําลังพูดถึงชนเผ่าที่ถูกลืมไปนานอยู่งั้นรึ? มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก..ทําไมชนเผ่าที่เงียบหายไปนานเช่นนั้นจะต้องบุกเข้าโจมตีเราด้วย?..เราไม่ได้ทําอะไรผิดต่อพวกเขาสักหน่อย”

“ท่านพูดถูกแล้ว.ข้าน้อยก็แค่พูดไปเรื่อย”

ทหารพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้าเพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ เขาเติบโตมากับทะเลทําให้ได้ยินเรื่องราวของเผ่าวาฬมาบ้าง อย่างไรก็ตามเผ่าวาฬก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่แสนลึกลับและถูกพูดถึงต่อๆกันมาจากในอดีตเท่านั้น เป็นเรื่องยากที่จะมีมนุษย์พบเห็นพวกมันได้ในปัจจุบัน

“เอ๊ะ?!”

จังหวะที่ทหารเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างของเขาก็ชะงักทันที

“ท..ท่าน..ท่านนักเวทย์?!”

“อะไร?”

นักเวทย์ที่กําลังยกชาขึ้นจิบขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเมื่อหันหน้าไปมองทหารผู้นี้ อย่างไรก็ตามทหารไม่แม้แต่จะถอนสายตาออกจากหน้าต่าง

“มีอะไร?”

เสียงของนักเวทย์ฟังดูรําคาญไม่น้อยก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง ทหารกําลังชี้ให้เขาดูบางอย่างซึ่งอยู่ระยะไกลไม่น้อย

“มีอะไรอยู่ในมหาสมุทรหรือไม่ขอรับ?”

มีน้ําพุ่งขึ้นสู่อากาศจากระยะไกลๆ มหาสมุทรที่เคยเป็นสีเทาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดําอย่างช้าๆ

พวกเขายังมองเห็นคลื่นระรอกใหญ่ ไม่สิ? มันไม่ใช่คลื่น มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กําลังมุ่งหน้ามายังทิศที่ป้อมตรวจการตั้งอยู่

“เฮ้ย!”

เสียงอุทานด้วยความตกใจของนักเวทย์ดังขึ้น เช่นเดียวกับทหารที่ตระหนักได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาเริ่มตะโกนออกมาราวกับเสียงกรีดร้อง

“ว.วาฬ! ท่านนักเวทย์มันคือวาฬอย่างแน่!”

ปั้งงงงงงงงง

ยังไม่ทันที่ทหารจะได้พูดจบประโยค ทั่วทั้งป้อมตรวจการก็สั่นสะเทือนขึ้นทันที มีบางอย่างกําลังกระแทกธารน้ําแข็งจากด้านล่าง

ปั้งงงงงงงง! ปั้งงงงงงงง! ปั้งงงงงงงง!!

“ห๊ะ!.น.นี่มัน?”

ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family

ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family

Status: Ongoing

เมื่อผมลืมตาตื่นก็พบว่าตัวเองอยู่ในนิยาย (กำเนิดวีรบุรุษ) (กำเนิดวีรบุรษ)เป็นนวนิยายที่เน้นเรื่องการผจญภัยของพระเอกและผองเพื่อน เชว ฮัน เป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ถูกส่งไปยังมิติที่ต่างออกไปจากโลกพร้อมกับบททดสอบการเป็นวีรบุรุษหลากหลายรูปแบบ ภายในดินแดนตะวันตกและดินแดนตะวันออก ผมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ไม่ได้เป็นพระเอกที่ชื่อ เชว ฮัน แต่เป็นเพียงตัวขยะไร้ค่าของครอบครัวท่านเคานต์ซึ่งเป็นครอบครัวขุนนางที่ดูแลพื้นที่ของหมู่บ้านแห่งแรกที่ เชว ฮัน ย่างกรายไปถึงเพื่อเริ่มต้นบททดสอบการเป็นวีรบุรุษ ปัญหาคือก่อนที่ เชว ฮัน จะมาเยือนนั้นหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ถูกคนจากองค์กรลับลอบสังหาร คนที่เขารักล้วนตายเกือบทั้งหมด ทำให้ เชวฮัน มีความโกรธแค้นและอาฆาต เขาพร้อมที่จะฆ่าคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตายตกตามกันไป ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือขยะโง่เง่าเช่น คาร์ล เฮนิตัส คนที่ผมครอบครองร่างอยู่ กลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเข้าไปหาเรื่อง เชว ฮัน ก่อนที่จะถูกพระเอกของเรื่องทำร้ายร่างกายในที่สุด “… นี่มันเป็นปัญหาแล้ว” ผมรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ตลกเลยสักนิด มันเป็นเรื่องที่โคตรจะจริงจังเลย ผมไม่อยากโดนอัดจนเละ ! แต่มันก็น่าจะพยายามลองดูกับชีวิตใหม่ที่ได้เป็นนี้สักตั้งล่ะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท