บทที่ 214 เจ้าจะรับมันหรือไม่? 5 (1)
คาร์ลได้เอ่ยถามแมรี่ก่อนจะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
“แมรี่..นักบวชจากวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันก็เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยเจ้ายังอยากจะไปอยู่หรือ?มันคงจะดีกว่าหากเจ้าพักอยู่ที่นี่กับราอน
“ข้าน้อยไม่จําเป็นต้องซ่อนตัวหรอกนะเจ้าคะ.ข้าน้อยแข็งแกร่งมากพอ..ท่านฮิลส์แมนเคยบอกว่าถ้อยคําของนักบวชช่างน่ารังเกียจยิ่งนักข้าน้อยอยากเป็นเหมือนท่านเชวฮันและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าน้อยจะคอยคุ้มกันท่านอยู่ข้างหลังเจ้าค่ะ”
“ถ้าเป็นความต้องการของเจ้า ข้าก็จะไม่ขัดอะไร.ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
ราอนก็ได้พูดอะไรบางอย่างเช่นกัน
“มนุษย์อ่อนแอไม่ต้องกังวลไป! ข้าจะปกป้องแมรี่เอง!”
ราอนชอบแมรี่มากๆอาจเป็นเพราะชีวิตของพวกเขาทั้งสองคล้ายคลึงกันมากนั่นเอง คาร์ลหยุดคิดเรื่องของแมรี่และราอนและเพ่งความสนใจไปยังคงที่กําลังอธิบายแผนการต่อสู้เขาต้องให้ความสนใจกับการประชุมในครั้งนี้ก่อน
“การต่อสู้ในครั้งนี้จะเกิดขึ้นในปราสาทลีโอน่าซึ่งเป็นหนึ่งในปราสาทหลักของอาณาจักรคาโร”
นิ้วของเขาเลื่อนไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่ของอาณาจักรคาโร
“ทางใต้สุดของอาณาจักรคาโรคือดินแดนแห่งความตายมันเป็นหนึ่งในห้าของสถานที่ต้องห้ามนั่นคือเหตุผลที่พันธมิตรไร้พ่ายยากจะผ่านบริเวณนี้เข้ามายังอาณาจักรคาโรได้”
เขาใช้นิ้ววาดรูปกากบาทไปบนตําแหน่งของดินแดนแห่งความตายจากนั้นก็ขยับนิ้วไปยังจุดที่กลางของอาณาจักรคาโร
“หากยึดตามตําแหน่งปัจจุบันของพวกเขามันมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะเคลื่อนพ ลมายังชายฝั่งตอนกลางซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดกับเมืองหลวงของอาณาจักรคาโร”
อาณาจักรคาโรยอมแพ้ที่จะทําศึกทางเรือ กองทัพเรือของพวกเขาอ่อนแอและยากที่จะนํากําลังเสริมออกไปทําศึกในน่านน้ําได้
พวกเขาจึงเลือกที่จะตั้งรับการทําศึกบริเวณชายฝั่งตอนกลางแทนมันเป็นสถานที่ที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึงและมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ไม่มากนัก นอกจากนี้ยังมีภูเขาสองลูกตั้งอยู่ชายฝั่งอีกด้วยพวกเขาไม่แน่ใจว่าอะไรที่ทําให้พันธมิตรไร้พ่ายเลือกที่จะบุกโจมตีบริเวณตอนกลางของอาณาจักรแทนที่จะเข้าโจมตีทางตอนเหนือของอาณาจักรแต่นั่นก็ถือเป็นโอกาสที่ดีของอาณาจักรคาโรเช่นกัน
“ด้วยสาเหตุนี้ทําให้เราย้ายเสบียงอาหารและชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งตอนกลางไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยและได้ย้ายกองกําลังของเราทั้งหมดไปปักหลักที่ปราสาทลีโอน่าแทน”
นิ้วของเขาย้ําหนักๆไปที่ปราสาทขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตอนกลาง
ปราสาทลีโอน่า”
ตามที่เห็นในแผนที่ดูเหมือนปราสาทลีโอน่าจะใหญ่กว่าปราสาทอื่นๆในอาณาจักรคาโร
“ปราสาทลีโอน่าตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาทั้งสองลูกซึ่งเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางของชายฝั่งเราจะเห็นได้ว่าไม่มีเส้นทางใดที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงได้เลยหากไม่ผ่านปราสาทลีโอน่าไป”
แม้ว่าศัตรูจะสามารถผ่านภูเขาทั้งสองลูกไปได้แต่โอกาสก็ช่างน้อยนิดมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะข้ามภูเขาทั้งสองลูกได้โดยอาศัยแค่แรงกายเพียงอย่างเดียว
“แล้วกองทัพเรือของพันธมิตรไร้พ่ายล่ะมีจํานวนทั้งหมดกี่ลํา?”
ดยุคฮเต็นตัวแทนจากจักรวรรดิเอ่ยถามขึ้นท่าทางของเขาดูเป็นธรรมชาติแม้ว่าจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วก็ตาม
“มีเรือประมาณ 500-600 ลําขอรับท่านดยุค..มีเรือขนาดใหญ่เป็นจํานวนมากคาดว่าทหารของพวกเขาจะโดยสารมากับเรือลําใหญ่พวกนี้”
ปัญหาก็คือศักยภาพของทหารเหล่านี้
“อะแฮ่ม..”
ผู้บัญชาการทหารแห่งอาณาจักรคาโรกระแอมออกมาเล็กน้อยจากนั้นก็มองไปที่คาร์ลพร้อ มกับพูดต่อทันที
“ฝีมือของศัตรูที่ปรากฏในอาณาเขตเฮนิตัสของอาณาจักรโรมันนั้นเป็นสิ่งที่เราให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก นั่นคือเหตุผลที่เราพุ่งความสนใจไปกับการป้องกันปราสาทให้ได้มากที่สุด”
คาร์ลยังคงนั่งฟังเงียบๆ
อาณาจักรคาโรอาจคิดว่าตัวเองจะสามารถหยุดกองทัพของศัตรูก่อนที่พวกเขาจะบุกมาถึงบริเวณชายฝั่งได้อย่างไรก็ตามคาร์ลก็เข้าใจว่าทําไมอาณาจักรคาโรถึงเลือกที่จะยอมแพ้การทําศึก ทางน้ําและวางแผนที่จะตั้งรับบริเวณชายฝั่งแทนอาณาจักรคาโรจําเป็นต้องปกป้องตัวเองจากพันธมิตรไร้พ่ายแต่มันยังมีมากกว่านั้น
อาณาจักรคาโรจําเป็นต้องปกป้องตัวเองจากจักรวรรดิและอาณาจักรโรมันเช่นกันนั่นคือเหตุผลหลักๆที่พวกเขาเลือกที่จะปักหลักตรงจุดที่ตัวเองมั่นใจเพื่อดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้ได้ มากที่สุดคาร์ลยังคงนั่งฟังเงียบๆเพราะไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับประเด็นอ่อนไหวของอาณาจักรอื่น
ผู้บัญชาการทหารยังคงพูดต่อ
“เนื่องจากปราสาทสีโอน่าเป็นปราสาทหลักที่คอยดูแลพื้นที่ชายฝั่งตอนกลางทั้งหมดจึงทําให้มันมีขนาดที่ใหญ่มาก พวกท่านจะเห็นได้ว่าพื้นที่ของปราสาทนั้นเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีหอคอยทั้งหมดสามหลังตั้งอยู่จุดสําคัญของปราสาทซึ่งกินพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่งตอนกลางแต่ละหอคอยมีขนาดประมาณปราสาทขนาดเล็กแต่ก็ดูเหมาะสมกับพื้นที่ของมันเป็นอย่างดี”
องค์ชายวาเลนติโน่จึงเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าจะให้พวกเราแต่ละอาณาจักรคอยปกป้องหอคอยแต่ละฝังใช่หรือไม่?”
เขาอมยิ้มน้อยๆและหันไปมองคาร์ลและดยุคฮเด็นที่ดูเหมือนจะเข้าใจแบบเดียวกับเขา
“ถูกต้องพะยะค่ะ..ปราสาทลีโอน่าตั้งอยู่ทางตอนเหนือของชายฝั่ง..หอคอยที่ตั้งอยู่ตรงกลางจะถูกรับผิดชอบโดยอาณาจักรคาโรของเรา หอคอยทางทิศเหนือจะรับผิดชอบโดยจักรวรรดิส่วนหอคอยทางใต้นั้นเอ่อ…”
ผู้บัญชาการทหารมีท่าทางลังเลเล็กน้อย
เดิมที่พวกเขาตั้งใจจะให้หอคอยที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้เป็นความรับผิดชอบของอาณาจักรโรมันเพ ราะพวกเขารับปากว่าจะนํากําลังเสริมมาเป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตามจํานวนจริงที่ปรากฏนั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก
แม้ว่าศักยภาพของพวกเขาจะดูเหนือกว่าคนอื่นๆแต่จํานวนที่มีน้อยกว่า 100 คนทําให้เขาอดกังวลไม่ได้
พวกเขาจะสามารถปกป้องหอคอยทางทิศใต้ด้วยจํานวนคนที่น้อยขนาดนี้ได้หรือไม่?
“เอ่อ..เป็นเพราะการวางแผนผิดพลาดทําให้เรามอบหมายหอคอยทางทิศใต้ให้กับอาณาจักรโรมัน”
ผู้บัญชาการเรียบเรียงคําพูดที่ดูดีที่สุดเพราะไม่กล้าเอ่ยออกมาตรงๆว่าความผิดพลาดดังกล่าวเกิดจากคนที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา อาณาจักรโรมันนํากําลังเสริมมาน้อยเกินไป
ดยุคฮเด็นตระหนักได้ถึงความอึดอัดใจดังกล่าวจึงเริ่มพูดขึ้น
“ท่านผบ.คาร์ล.จํานวนคนของท่านมีน้อยเกินไป..มันคงเป็นเรื่องยากที่จะป้อ งกันหอคอยทางทิศใต้เอาไว้ทั้งหมดได้ข้าจะแบ่งกําลังอัศวินและพลธนูให้กับท่าน..ท่านมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร?”
น้ําเสียงที่เขาใช้พูดต่อคาร์ลในฐานะผู้บัญชาการเต็มไปด้วยความสุภาพ ก่อนที่องค์ชายวาเลนติโน่และผู้บัญชาการแห่งอาณาจักรคาโรจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ข้าไม่เห็นด้วย..มันจะดูเหมาะมากกว่าหากกองกําลังของเราเป็นฝ่ายส่งกําลังส่วนหนึ่งไปให้อาณาจักรโรมัน..ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ท่านผบ.?”
“เห็นด้วยพะยะค่ะ…เนื่องจากกองกําลังของอาณาจักรเรามีความชํานาญในพื้นที่และมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากเราจะคอยจัดการข้าศึกในส่วนที่เหลือในขณะที่อาณาจักรโรมันจะคอยรับมือกับกองกําลังหลักของศัตรู”
บทสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่มีใครพูดแทรกหรือขัดคอกัน พวกเขาแต่ละฝ่ายพยายามช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันทําให้ผู้บัญชาการของอาณาจักรคาโรสบายใจยิ่งนัก เขาแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าพลางเอ่ยต่อไป
“และแต่ละหอคอยจะมีหมอจากวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันและวิหารอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างประจําการอยู่ที่นั่น..ดังนั้นพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องของการรักษาอาการบาดเจ็บ..ข้าพูดถูกหรือไม่ท่านหัวหน้านักบวช?”
ผู้บัญชาการหันไปถามหัวหน้านักบวชผู้เป็นตัวแทนของคริสตจักรและวิหารแห่งพระเจ้าแสงตะวันด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน อาณาจักรคาโรได้ตกลงที่จะบริจาคเงินเป็นจํานวนมากเพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมในการทําศึกครั้งนี้ แน่นอนว่าคริสตจักรตอบรับอย่างง่ายดายเมื่อทราบถึงจํานวนเงินที่สูงลิบลิ่ว
“แน่นอน..ท่านไม่ต้องกังวลไป”
หัวหน้านักบวชแต้มยิ้มน้อยๆเมื่อเริ่มเอ่ยต่อ
“สําหรับอาณาจักรคาโรและจักรวรรดิไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้”
ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ในนามพันธมิตรแห่งคริสตจักรโดยมีวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันเป็นศูนย์กลางของกลุ่มพันธมิตรเหล่านักบวชจากอาณาจักรคาโรยินดีที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของทหารจากจักรวรรดิแม้ว่าจะมีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองอยู่บ้างก็ตาม อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งอาณาจักรที่เหลือนั้นพวกเขาไม่ยินดีที่จะเข้าไปช่วยเหลือโดยเด็ดขาด
“แต่อาณาจักรโรมันเราคงจะไม่สามารถเข้าไปช่วยได้”
“อะไรนะ!”
องค์ชายรัชทายาทวาเลนติโน่ขมวดคิ้วมั่นและจ้องเขม็งไปที่หัวหน้านักบวชทันที สิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่นี้ต่างจากข้อตกลงเดิมของพวกเขา
“กระหม่อมไม่สามารถช่วยอะไรได้จริงๆพะยะค่ะ”
หัวหน้านักบวชตอบยิ้มๆก่อนจะชี้ไปยังจุดที่อาณาจักรโรมันจับจองอยู่
“คนผู้นั้นอาจตายได้หากพลังแห่งพระเจ้าเข้าใกล้ตัวนางพะยะค่ะ”
หัวหน้านักบวชชี้ไปยังร่างที่อยู่ใต้ชุดคลุมสีดํา
“นางเป็นหมอผีที่กลืนกินพลังเวทย์แห่งความตายเพื่อความอยู่รอด”
คริสตจักรจําเป็นต้องมีสัมพันธ์อันดีต่อจักรวรรดิเพื่อผลประโยชน์ในอนาคต อย่างไรก็ตามการกระทําของอาณาจักรโรมันที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสุนนหมอผีเป็นสิ่งที่ทําให้พวกเขารู้สึกเสียหน้า
คริสตจักรแห่งพระเจ้าแสงตะวันถือเป็นหน้าตาของหลายๆอาณาจักรและความภาคภูมิใจของพวกเขาถือเป็นสิ่งที่สําคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ดยุคฮเย็นส่งเสียงพึมพําในลําคอเบาๆก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ราวกับจะแสดงตัวว่าเขาไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ท่านหัวหน้านักบวช..ท่านรู้ใช่มั้ยว่าไม่ควรแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าคนที่เข้ามาช่วยเหลือเรา”
ท่าทางแข็งกร้าวขององค์ชายวาเลนติโน่ส่งไปยังหัวหน้านักบวชทันทีแต่หัวหน้า นักบวชยังคงปิดปากเงียบ พวกเขายังไม่ได้รับเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญาและมันจะเป็นผลเสียต่ออาณาจักรคาโรเองหากคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวันขอถอนตัวจากการทําศึกครั้งนี้
ส่วนพวกเขาก็แค่แจ้งแก่ผู้ศรัทธาว่าไม่สามารถช่วยเหลืออาณาจักรคาโรได้เพราะอาณาจักรคาโรเลือกที่จะอยู่ข้างฝายที่ถูกสาปแช่งจากพลังแห่งความตาย
“การตัดสินใจของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆพะยะค่ะ”
องค์ชายรัชทายาทวาเลนติโน่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก มันแตกต่างจากที่พวกเขาตกลงกันไว้หากให้พูดกันตามตรงท่าทางที่หัวหน้านักบวชแสดงออกมาบ่งบอกว่าฝ่ายพวกเขาเป็นคนผิดด้วยซ้ํา
“กระหม่อมไม่สามารถทําอะไรได้จริงๆพะยะค่ะแต่เดิมเราได้พยายามที่จะช่วยเหลือชาวอาณาจักรโรมันเช่นกัน..แต่ท่านผบ.คาร์ลและราชวงศ์แห่งอาณาจักรโรมันไม่ยินยอมที่จะส่งตัวหมอผีมาให้เรา”
“เป็นอย่างนั้นรึ? พวกเจ้าวางแผนที่จะล้อเล่นกับชีวิตคนอื่นแบบนี้นะหรือ?”
การแสดงออกขององค์ชายรัชทายาทวาเลนติโน่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันหัวหน้านักบวชเริ่มเป็นกังวลเมื่อเห็นความเย็นชาปรากฏออกมาจากองค์ชายรัชทายาทแต่เขาก็ไม่เปลี่ยนใจเป็นอันขาด
“ล้อเล่นหรือพะย่ะค่ะ? ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน..กระหม่อมแค่จะทูลว่าการรักษาอาการแต่ละครั้งก็จะมีผู้ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการรักษาพะยะค่ะ”