บทที่ 120 ท่องบทสวดมนต์จนพ้นทุกข์
เฉินตงพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบาดแผล
เขาพิงลงบนที่นั่ง แล้วออกแรงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ยังคงรู้สึกเจ็บปวดจนยากจะต้านทานไหว
เสียงของเขาสั่นเครือ เขายิ้มแล้วพูดว่า : “ในเมื่อเธอต้องการที่จะมากล่าวตำหนิในความผิด ถ้าหากฉันไปปรากฏตัวต่อหน้าเธอโดยไม่เป็นอะไรเลย เช่นนั้นโทษจะไม่หนักหรอกหรือ ?”
ท่านหลงอึ้งไป
รู้สึกมีความหดหู่จุกอยู่ในอกอย่างรุนแรง
การทำแบบนี่ที่เฉินตงทำ ในสายตาของเขา ถือเป็นสิ่งที่จำต้องทำโดยไม่มีทางเลือก จึงได้เจตนาที่จะใช้อาการบาดเจ็บนี้แสดงออกให้คุณหญิงใหญ่ได้เห็น
หากคนที่ได้รับบาดเจ็บคือเฉินเทียนเซิง คงไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้
ในตระกูลเฉิน เฉินเทียนเซิงถือเป็นหลานชายคนโปรดของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน หากได้รับบาดเจ็บ ก็ทำแค่เพียงคุกเข่าร้องครวญครางต่อหน้าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็พอแล้ว เพียงเท่านี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็จะถามหาความยุติธรรมกลับมาให้แก่เขาให้ได้อย่างแน่นอน
ส่วนเฉินตงนั้น กลับต้องใช้วิธีทำให้บาดแผลที่กำลังจะสมานจนหายดี กลับมาปริออกอีกครั้ง เพียงเพื่อร้องขอความเมตตาให้คุณหญิงใหญ่ยอมถอยให้หนึ่งก้าวเท่านั้น !
เป็นคนของตระกูลเฉินเหมือนกัน แต่กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“ไม่เป็นไร ท่านหลง”
เฉินตงยิ้มแล้วพูดปลอบใจท่านหลง แล้วหันไปพูดกับคุนหลุนที่ขับรถอยู่ว่า : “ไม่ต้องดูแล้ว รีบเข้าไปเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเลือดจะแห้งเสียก่อน”
คุนหลุนยืนยิ้มออกมา แล้วขับรถโรลส์-รอยซ์ไปต่อ มีเพียงแค่ใบหน้าของเขาเท่านั้นที่ยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกหดหู่และจนใจ
เพียงแค่คำว่าชาติกำเนิด ก็สามารถทำให้คนไม่เท่าเทียมกันได้
ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิด คลับสี่ยิ่นหลบซ่อนอยู่กลางป่าที่อยู่มุมภูเขา เป็นสถานที่ที่ราวกับฝังเอาไว้อยู่ตรงมุมของภูเขา
ในฐานะที่เป็นคลับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองนี้ แม้แต่คนที่มีอำนาจอย่างโจวเย่นชิวหรือโจวจุนหลงเอง ยังต้องทำเรื่องขอถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้ ดังนั้นเศรษฐีที่อยู่ในระดับธรรมดานั้นยิ่งยากที่จะได้เข้าไป
นี่ทำให้ความลึกลับและชื่อเสียงของคลับสี่ยิ่นไม้เป็นที่ปรากฏมากนัก
ถึงขนาดที่เฉินตงเองก็ยังไม่รู้
ประตูบานใหญ่ที่โออ่า ตกแต่งด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณ กำแพงสูงและลานขนาดใหญ่ โอบล้อมคลับไว้อย่างแน่นหนา
หน้าประตูใหญ่ มีแผ่นป้ายเขียนว่า “คลับสี่ยิ่น” แขวนเอาไว้อยู่ โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษสองดวงถูกแขวนอยู่สูงลิ่ว ส่องแสงว่างสีแดงออกมา
ทำให้บรรยากาศยิ่งดูเคร่งขรึมและลึกลับ
ส่วนด้านนอกคลับ ก็มีแสงไฟกระพริบเป็นระยะๆ มีหน่วยลาดตระเวนของคลับคอยขับรถลาดตระเวนไปมา
เฉินตงมองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง
ไม่ช้า รถโรลส์-รอยซ์ก็เคลื่อนมาจากตรงหน้าประตูใหญ่ของคลับ
“ขอดูบัตรผ่านด้วยครับ”
“บัตรผ่าน ?” คุนหลุนขมวดคิ้ว
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “คลับสี่ยิ่น ไม่ต้อนรับแขกที่ไม่มีบัตรขออนุญาตครับ”
ท่านหลงยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินที่อยู่ในคลับ ให้มาเข้าพบเป็นกรณีพิเศษ”
พูดพลางก็หันไปแนะนำให้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังรู้จัก : “ท่านนี้คือคุณชายของตระกูลเฉิน”
ได้ยินดังนั้น
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังก็มีท่าทีเปลี่ยนไปในทันที รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที แม้กระทั่งท่าทางการยืนก็ดูไม่ได้เข้มงวดเหมือนเมื่อครู่
“ขออภัยด้วยครับ ผมจะรีบไปตรวจสอบให้เดี๋ยวนี้”
ท่านหลงสีหน้าเคร่งขรึม : “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คุณชายของตระกูลเฉินจะเข้าไปในคลับเล็กๆ เช่นนี้ ยังต้องมีการตรวจสอบอีก ?”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังรู้สึกลังเล
ต่อให้เป็นโจวเย่นชิวมาอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็สามารถเอ่ยปากถามถึงบัตรอนุญาตได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ
แต่เขาก็เคยเห็นท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของเจ้าของคลับที่แสดงออกต่อหน้าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินด้วยตาของเขาเองแล้ว
“เชิญด้านในครับ” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังหลีกทางให้
รถโรลส์-รอยซ์ค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปในคลับ ส่วนชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังก็รีบขึ้นไปนั่งบนรถลาดตระเวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงขับนำทางไป
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างแปลกใจ ขอเพียงแค่มีความสามารถมากพอ กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งเอาไว้ก็เป็นเพียงแค่ของปลอมเท่านั้น
ภายในคลับกว้างใหญ่มาก มีศาลาและมีธารน้ำไหล
รถโรลส์- รอยซ์ขับตามรถลาดตระเวนมาทางด้านหลัง ค่อยๆ ขับเข้าไปในที่ที่อยู่ไกลออกไป
บริเวณโดยรอบไม่มีสายน้ำไหล ไม่มีศาลา มีเพียงแค่ป่าไผ่เขียวชอุ่มและธารน้ำวนที่เงียบสงบ
“ทั้งสามท่าน เชิญลงมาจากรถแล้วเดินไปด้านหน้าครับ ฮูหยินใหญ่ตระกูลเฉินนั่งรออยู่ที่ศาลาในป่าไผ่ครับ” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดราชวงศ์ถังพูดขึ้นหลังลงจากรถ
เฉินตงเอามือกุมบาดแผลเอาไว้แล้วลงจากรถ โดยมีท่านหลงและคุนหลุนคอยประคองอยู่ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในป่าไผ่
ทุกย่างก้าวที่เดินไป ก็จะเกิดความเจ็บปวดอย่างมาขึ้นที่บริเวณบาดแผล นี่ทำให้ท่าทางของเฉินตงดูทุกข์ทรมานอย่างมาก
เดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็ปรากฏตึกหลังเล็กๆ อยู่ห่างออกไปจากสายตาไม่ไกลนัก
เป็นตึกที่ดูเรียบง่าย ไม่เข้ากับส่วนอื่นๆ ของคลับสี่ยิ่นเอาเสียเลย
“คุณหญิงใหญ่ คุณชายเฉินตงมาขอพบครับ”
ท่านหลงเดินขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วตะโกนโดยใช้เสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อย
“เข้ามาสิ”
มีสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในตึก
เฉินตงเดินเข้าไปในตึดอย่างทุกข์ทรมาน โดยมีท่านหลงและคุนหลุนคอยประคองอยู่
ท่านหลงเดินไปพลาง บ่นพึมพำเบาๆ ไปพลางว่า : “คุณชาย อดทนเอาไว้นะครับ”
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างหดหู่
ดวงตาเปล่งประกายออกมา ส่วนมือขวาก็ไม่ลืมที่จะกุมบาดแผลที่ท้อเอาไว้แน่น
ถ้าหากเข้าไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้แล้วล่ะก็ เขาจะยอมทำให้บาดแผลที่กำลังจะหายดีปริออกด้วยมือของตนเองหรือ ?
เขาก้าวเดินออกมาจากที่มืดมิด จึงรู้ดีว่า บางครั้ง การยอมก้มหัวในเวลาที่เหมาะสม ก็เพื่อที่จะให้ตนเองขึ้นไปได้สูงยิ่งขึ้นในอนาคต
แอ๊ด……
ประตูของตึกเล็กถูกเปิดออก
ชายในชุดสูททั้งสามคนที่ไปเชิญตัวเฉินตงมาเข้าพบในช่วงเที่ยง ต่างอยู่ในตึกทั้งหมด
คนที่เป็นหัวหน้า ทำท่าทีเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน : “คุณหญิงใหญ่อยู่ในห้องพระครับ”
ภายในห้องพระเปิดไฟสว่างไสว
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของธูปลอยมา
พร้อมกับเสียงสวดมนต์
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินนั่งปิดตาอยู่บนอาสนะหลัก มือขวาค่อยๆ นับลูกประคำพร้อมกับส่งเสียงสวดมนต์ออกมา
ส่วนข้างๆ มีชายวัยกลางขนที่จอนผมทั้งสองข้างเป็นสีขาวกำลังนั่งตัวตรงอยู่ เพื่อคอยคุ้มกันอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นเฉินตงเข้ามาในห้อง ชายวัยกลางคนก็กระซิบเบาๆ ว่า : “คุณหญิงใหญ่ เฉินตงมาแล้วครับ”
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น ยังคงนับลูกประคำพร้อมกับสวดมนต์ต่อไป
ชายวัยกลางคนเข้าใจในทันทีว่า จึงหันไปส่งสัญญาณให้พวกของเฉินตงทั้งสามคนรอก่อน
เฉินตงกุมบาดแผลเอาไว้ แล้วหันไปพยักหน้ากับชายวัยกลางคน
ชายผู้นี่ เป็นคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำให้เขาต้องรู้สึกลำบากใจ เขาเองก็ไม่โง่พอที่จะหักหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อมองไปที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ แววตาของเฉินตงกลับปรากฏความเย็นชาขึ้น และแสยะยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แววตาของท่านหลงเองก็มีความรู้สึกประหลาดใจปรากฏขึ้น
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป
เสียงสวดมนต์ดังก้องกังวานอยู่ภายในห้องพระ
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสวด
แต่บาดแผลของเฉินตงนั้น กลับเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสดเป็นวงกว้าง ถึงกระทั่งว่ามีเลือดไหลออกมาระหว่างร่องนิ้วแล้วหยดลงบนพื้น
ใบหน้าของเขาซีดลง และร่างกายค่อยๆ อ่อนแรง
คุนหลุนขมวดคิ้วแน่น สภาพของเฉินตงตอนนี้ คุนหลุนสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ค่อยดี
คุนหลุนอดไม่ได้ที่จะหันส่งสัญญาณกับท่านหลง
ท่านหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองเฉินตงที่มีสภาพอ่อนแอ จากนั้นจึงตัดสินใจออกมาอย่างแน่วแน่
“คุณหญิงใหญ่ครับ คุณชายเฉินตงมาขอพบท่านครับ……”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอ่อนน้อมถ่อมตน
หลังจากพูดจบ
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินที่กำลังปิดตาสวดมนต์อยู่ ก็หยุดลงทันที จากนั้นจึงขมวดคิ้วแน่นแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ในแววตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความโมโห
“บทสวดมนต์บทนี้ ยิ่งสวดยิ่งยากจริงๆ แกเป็นเพียงแค่คนรับใช้ กล้าพูดแทรกระหว่างที่ฉันสวมมนต์อย่างนั้นหรือ ?”
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินตบลูกประคำลงบนโต๊ะ แล้วขมวดคิ้วด้วยความโมโห : “แกรู้ไหมว่าทุกวันฉันจะต้องสวดมนต์หนึ่งร้อยจบเพื่อขอพรให้ตระกูลเฉิน แล้วแกกล้าดียังไงมาขวางฉัน ?”
ท่านหลงหน้าถอดสีทันที แล้วรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น
“ขอให้คุณหญิงใหญ่ได้โปรดอภัยด้วย อันที่จริงแล้วเป็นเพราะกระผมเห็นอาการบาดเจ็บของคุณชายเฉินตงนั้นสาหัสนัก ถ้าหากให้รอต่อไป เกรงว่าจะสูญเสียเลือดมากเกินไป จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ครับ”
“หึ !”
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเลิกคิ้ว กำลังจะอ้าปากพูด
จู่ ๆเฉินตงก็หัวเราะพรวดออกมา
เสียงหัวเราะนี้ เป็นการตัดบทคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน
จากนั้นเฉินตงก็ก้มหน้าลงมองท่านหลงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยความกลัว
“ฉันเสียเลือดมากเกินไปจนต้องตายแล้วจะเป็นอะไรไป ?”
ขณะที่กำลังพูด ใบหน้าของเฉินตงค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยความเย็นชา และขุ่นเคืองใจ แววตาจ้องเขม็งไปที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ไม่ใช่ว่าคุณย่ากำลังสวดมนต์บท 《กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร》 หรอกหรือ ? ถ้าหากผมตายที่นี่ ก็คงจะส่งผมไปสู่สุคติพอดี”