บทที่ 141 งานเลี้ยง
หลังจากที่เฉินตงรับสายของหวางหนันหนันแล้ว
ใจก็ไม่ได้อยู่ที่งานเลย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงขนาดที่ว่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นออกไปจากบริษัทยังไง
หลังจากที่ได้สติแล้ว ก็ได้มายืนอยู่ที่ด้านนอกร้านอาหารBlue Enchantressแล้ว
ภาพที่คุ้นเคย ภาพยังคงเหมือนเดิมแต่คนนั้นได้เปลี่ยนไปนานแล้ว
เขายิ้มๆ รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความขมขื่น
เฉินตงเดินเข้าไปในร้านอาหาร แต่ไกลเฉินตงก็มองเห็นหวางหนันหนันที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าต่าง
ลมพัดเบาๆ แสงแดดที่อบอุ่น ทุกอย่างกำลังดี
หวางหนันหนันที่สวมกระโปรงสีขาวกำลังนั่งอยู่อย่างเงียบๆ ผมยาวที่ปล่อยสหยายอยู่บนหลัง สงบนิ่งๆ
“มาแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นเฉินตง หวางหนันหนันก็ยิ้มๆ
เฉินตงก็พยักหน้า หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ถามอย่างใจเย็น “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“วันนี้ฉันก็จะย้ายบ้านแล้ว”
หวางหนันหนันเอียงกายบิดขี้เกียจ ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ไปจากเมืองนี้ ที่ตรงนี้มีเรื่องราวที่น่าเศร้าใจมากเกินไป”
“ก็ดี เปลี่ยนที่อยู่เปลี่ยนการดำเนินชีวิตอีกแบบ” เฉินตงพูดอย่างใจเย็น
“ขอโทษ”
หวางหนันหนันจู่ๆก็กล่าวขึ้น “หลังจากเลิกกับคุณ ฉันถึงได้รู้ความดีที่คุณเคยมีต่อฉัน เป็นฉันที่ไม่คู่ควรกับคู่ เป็นฉันที่ทิ้งคุณเอง”
เฉินตงรู้สึกตกใจ และคาดไม่ถึง
หวางหนันหนันนั้นถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ความหยิ่งผยองนั้นซึมลึกเข้าไปในกระดูก จินตนาการไม่ออกเลย ว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของเธอ
อีกอย่าง มันยังออกมาจากจริงใจ
เมื่อสบตากับหวางหนันหนัน ราวกับเวลามันได้หยุดเดิน
ครู่ใหญ่
เฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น “ทุกอย่างมันไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก
หวางหนันหนันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองเฉินตงที่เดินจากไป ดวงตาที่สวยงามน้ำตาก็ค่อยๆเอ่อล้นออกมา
เขายกมือขึ้น เช็ดน้ำตา บ่นพึมพำ “หนันหนัน ไม่ร้อง”
ได้กล่าวลาในขณะที่ทั้งสองคนเจอกันเพียงไม่กี่นาที ในซอยของด้านนอกร้านอาหาร มีใครคนหนึ่งกำลังถือโทรศัพท์เอาไว้ แอบถ่ายทุกอิริยาบถของเขาทั้งสอง
……
กลับถึงบริษัท เฉินตงก็ปรับอารมณ์ให้กลับสู่ปกติ แล้วก็มุ่งมั่งสู่การทำงาน
หวางหนันหนันนั้นเป็นเพียงอดีต
สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ควรใส่ใจเเละอยู่กับปัจจุบันที่เป็นอยู่ดีกว่า
เขานั้นถ่อมตัวมาก แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความได้คืบจะเอาศอกของตระกูลหวาง
บทสรุปของตัวตระกูลหวางในวันนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโทษที่มาจากการกระทำของตัวเอง
สามวันให้หลัง
การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของบริษัทชิงหยิ่นกับยี่เคอกรุ๊ป ยังคงส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และได้รับการผลักดัน
ราคาบ้านอยู่ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
และไท่ติ่ง ก็จะยังคงจำกัดการซื้อ ปริมาณการส่งมอบอยู่ที่วันละห้าสิบหลัง การซื้อบ้านแบบนี้ทำให้ผู้ซื้อแทบคลั่ง
ยิ่งทำให้คนที่คืนบ้านก่อนหน้านั้น เจ็บใจอย่างมาก ถึงขนาดทุบอกกระทืบเท้า
ทุกคนรู้ดีว่าไท่ติ่งนั้นกำลังชะลอราคาบ้าน เพราะต้องการรอจนกว่าราคาบ้านเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด แล้วค่อยเข้าสู่กระบวนการพรีเซลล์ขนาดใหญ่
แต่สิ่งที่แปลกคือ
สิ่งที่เสี่ยวหม่ากังวลเกี่ยวกับความคิดของประชาชน กลับไม่เกิดขึ้นเลย
ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้ถูกส่งต่อไปในหมู่ประชาชนของเมืองนี้ แต่ … เพราะมันไม่สามารถสร้างความคิดเห็นในสื่อสาธารณะได้
ในเวลาสามวัน การรายงานข่าวของสื่อสำนักใหญ่ๆแต่ละสำนักในเมืองนี้ มุ่งเน้นไปที่การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของ บริษัทชิงหยิ่นและยี่เคอกรุ๊ป
สำหรับราคาบ้านฝั่งตะวันตกของไท่ติ่ง นั้นรายงานน้อยมาก!
คืนนี้
เฉินตงเลิกงานแต่เช้า
เมื่อเดินไปถึงใต้ตึกบริษัทนั้น รถโรลส์-รอยซ์ก็ได้จอดรถอยู่ที่ข้างทางแล้ว
เมื่อขึ้นรถ เฉินตงก็ถาม ท่านหลง “ของขวัญเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“ตามที่คุณชายสั่ง ได้จัดการเรียบร้อยแล้วครับ” ท่านหลงยิ้มๆ
คนที่ขับรถคือคุนหลุนก็พูดติดตลก “คุณชาย ของขวัญที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ ไปสู่ขอสาวเหรอ?”
“พูดให้น้อยๆหน่อย”
เฉินตงยิ้มๆ กล่าว “ครั้งนี้พ่อของเสี่ยวหยิ่งช่วยฉันมากขนาดนี้ ไม่น้อยไปกว่าการช่วยชีวิตเลย ของขวัญแค่นี้จะแค่ไหนเชียว?”
คืนนี้ เป็นงานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นเพื่อขอบคุณบุญคุณของกู้โก๋ฮั้วที่ช่วยชีวิต
วิกฤตครั้งนี้ของไท่ติ่ง เหมือนตึกที่กำลังจะถล่ม
ต่อให้สุดท้ายพ่อของเขาจะเอาคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอยู่หมัด แล้วให้ยี่เคอกรุ๊ปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้
แต่กู้โก๋ฮั้วสามารถช่วยเขาในขณะที่เขากำลังจะหมดลมหายใจ ในสถานการณ์ที่กำลังจะตายไม่ตายแบบนี้ ยื่นมือมาช่วยเขา บุญคุณนี้ จำเป็นต้องตอบแทน บุญคุณแม้เพียงน้ำหยด ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร
ยิ่งไปกว่านั้นมันคือบุญคุณการช่วยชีวิต!
จากนั้น
ท่านหลงยิ้มๆ กล่าวด้วยสายตาที่ลึกๆ “เพียงแต่ หากคุณชายจะไปขอสาวจริง กระผมสามารถช่วยคุณชายเตรียมของขวัญอย่างดี อีกอย่างของขวัญที่กระผมเตรียมนั้นต้องทำให้ตระกูลกู้ชอบใจอย่างแน่นอน”
“ของขวัญอะไร?” เฉินตงสงสัย
ท่านหลงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ หันไปพูดกับคุนหลุน “คุณหลุน ยังไม่ขับรถอีก? ดูเหมือนคุณชายมีความคิดที่อยากจะสู่ขอลูกสาวของตระกูลกู้แล้ว?”
คำพูดเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เฉินหน้าแดง
คุนหลุนที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะขึ้นมา
คลับสี่ยิ่น
ในลานป่าไผ่ สว่างไสวด้วยแสงไฟ
เสียงเปียโนดังก้อง ไม้จันทน์หอมระเหย
ในห้องอาหาร ครอบครัวของกู้ชิงหยิ่งกับท่านเมิ่ง เจิ้งโก๋โส่วได้นั่งประจำที่แล้ว
กู้ชิงหยิ่งมองออกไปด้านนอกเป็นระยะ ตั้งหน้าตั้งตารอ
หลี่หวั่นชิงที่อยู่ข้างกายเธอ จับมือเธอเอาไว้ นั่งฟังกู้โก๋ฮั้วกับเพื่อนที่คุยกันอย่างเงียบๆ
“ไอ้เมิ่ง ฉัน ฉันต้องก้มหัวขอโทษจริงๆเหรอ?” เจิ้งโก๋โส่วที่มีสีหน้าลังเล ยังคงมีความไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย
เขาเป็นปรมาจารย์จิตรกรรมจีน มีชื่อเสียงในระดับสากล และสถานะที่โดดเด่น
โดยปกติ ต่อให้ไปงานเลี้ยงของครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจ เจ้าภาพยังต้องให้ความเคารพ เชิดชูให้อยู่ในที่สูง เพลิดเพลินกับคำเยินยอของผู้คนรอบข้าง
ให้เขาก้มหัวขอโทษ ยังต้องขอโทษเด็กที่อายุยี่สิบกว่าคนหนึ่ง ในใจเขานั้นยังคงทำใจไม่ได้
แม้ว่า รู้ว่าตัวเองนั้นผิดก็ตาม
ได้ยินเช่นนี้
กู้โก๋ฮั้วก็ขมวดคิ้วมองท่านเมิ่ง ไอ้เมิ่ง “คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นมั้ง? ไม่อย่างนั้นก็ให้ฉันกับเสี่ยวหยิ่งพูดแทนไอ้เจิ่ง”
กู้ชิ่งหยิ่งที่ได้สติ ก็พยักหน้ากล่าว “ใช่ค่ะคุณอาเมิ่ง เฉินตงเป็นคนใจกว้างมากค่ะ”
เธอนั้นรู้ฐานะอายุของเจิ่งโก๋โส่ว ให้เขาขอโทษเฉินตง มันเป็นการฝืนใจจริงๆ
ท่านเมิ่งนั่งอย่างสง่าผ่าเผย ยิ้มๆ “สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว ไอ้เจิ้ง ฉันหวังดีกับนาย นายก็ชั่งใจเองละกัน ภาพ《ภาพการท่องเที่ยวแม่น้ำเฉียนถัง》ด้วยสถานะของเฉินตงนั้นสามารถมอบของขวัญแบบนี้จริงๆ เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง สิ่งที่นายเห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง”
ใบหน้าของเจิ้งโก๋โส่วแดงก่ำ ก้มหน้าครุ่นคิด
กู้โก๋ฮั้วที่ท่าทีแปลกๆ ก็กล่าวขึ้น “ไอ้เมิ่ง นายกับไอ้หลิวเป็นอะไรกันแน่? แต่ละคนท่าทางแปลกๆมีอะไรซ่อนอยู่ มีอะไรที่ไม่สามารถพูดกันต่อหน้าเหรอ?”
ท่านเมิ่งเหลือบตามองกู้โก๋ฮั้วแวบหนึ่ง ยิ้มแบบไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ
พูดกันต่อหน้า?
พูดกันต่อหน้า ฉันกล้าพูด พวกนายจะกล้าเชื่อมั้ย?
หากไม่ใช่เห็นกับตา เขาก็ไม่กล้าเชื่อชาติตระกูลของเฉินตง
ในความเป็นจริง ด้วยกำลังของท่านเมิ่ง หากอยากจะตรวจสอบ มันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
แต่ในเอกสารเห็นได้ชัด เฉินตงตั้งแต่เกิดมานั้นเป็นเด็กกำพร้า ใช้ชีวิตกับแม่สองคน ฐานะยากจน ก้าวเดินมาทีละก้าวจนมาถึงวันนี้
การแต่งงานที่โชคร้าย เกือบจะทำให้แม่ของเฉินตงเสียชีวิต
จากนั้นก็การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่ประสบมาในช่วงระยะเวลานี้ ทำให้ท่านเมิ่งนั้นประหลาดใจอย่างมาก
ไม่รอให้กู้โก๋ฮั้วถามต่อ เจิ้งโก๋โส่วก็ถอนหายใจไปหนึ่งที “ฉัน ฉันลองดูละกัน”
พอดีในเวลานี้
ด้านนอกประตู ก็มีเสียงๆหนึ่งดังเข้ามาข้างใน
“เจ้านาย เฉินตงมาถึงแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้
ท่านเมิ่งก็ลุกขึ้นมากะทันหัน ราวกับโดยไฟฟ้าช็อต
ภาพนี้ ทำให้คนที่อยู่ในนี้ล้วนตกใจ
ปฏิกิริยาแบบนี้……โอเวอร์ไปหรือเปล่า?