บทที่ 156 ถ้าไม่ยอมปิดบังมันเพื่อฉัน ฉันก็จะยอมตาย !
เฉินตงรู้สึกว้าวุ่นใจตลอดทั้งบ่าย
ตอนนี้ในสมองของเขา มีแต่ภาพที่เขากับหวางหนันหนันพบหน้ากันในวันนี้ปรากฏอยู่เต็มไปหมด
เขาเพียงแค่เห็นแก่ความสัมพันธ์เป็นครั้งสุดท้าย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ความรู้สึกดีๆ ครั้งสุดท้ายที่เขามีให้ จะถูกหวางหนันหนันนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์เช่นนี้
นังอสรพิษ
ความโลภของตระกูลหวาง ทำให้เขาตาสว่างอีกครั้ง !
การพบหน้ากันเพื่อกล่าวลาธรรมดาๆ กลับถูกใช้เป็นหลักฐานเพื่อนำมาขู่กรรโชกเขา !
สำหรับเฉินตงแล้ว นี่ถือเป็นความอัปยศอดสูจริงๆ
อารมณ์โกรธของเขาคุกรุ่น จนยากที่จะสงบลงได้
แต่เขาก็กลัวว่าหากเขาตอบโต้คนเลวพวกนี้ จะกระทบกระเทือนถึงคนอื่นไปด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าระบายความแค้นกับตระกูลหวางโดยตรง
ในเมื่อตระกูลหวางกล้าขู่กรรโชกเงินจากเขาหนึ่งร้อยล้าน นั้นหมายความว่าพวกเขาก็กล้าที่จะส่งรูปพวกนี้ไปให้กับกู้ชิงหยิ่งเช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู้ชิงหยิ่ง จะถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ในปลายเดือนนี้แล้ว
ในระหว่างนี้ เขาจะยอมปล่อยให้มีปัญหาเข้ามากระทบไม่ได้เด็ดขาด !
หลังจากเลิกงานในช่วงเย็น
เฉินตงออกจากบริษัทโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่เขานั่งอยู่ในรถแท็กซี่ ก็ต่อสายโทรศัพท์หากู้ชิงหยิ่ง
ไม่ช้า ปลายสายก็รับโทรศัพท์
“คนโง่ ในที่สุดคุณก็รู้จักโทรหาฉันแล้วหรือ ?” ในสายเป็นเสียงบ่นของกู้ชิงหยิ่ง
เฉินตงรู้สึกโล่งใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า : “ในเมื่อคุณไม่หาผม ผมก็จำเป็นจะต้องหาคุณเองแล้ว”
“เชอะ……ฉันก็กำลังรอให้คุณมาขอฉันแต่งงานตอนปลายเดือนอยู่นี่ไง” กู้ชิงหยิ่งพูดพลางหัวเราะ
“วางใจเถอะ ปลายเดือนนี้ผมจะทำให้คุณจำไปจนวันตายเลย !”เฉินตงพูด
“รู้แล้ว คุณรีบพักผ่อนเถอะ อย่าหักโหมเกินไป จุ๊บๆ”
หลังจากพูดจบ กู้ชิงหยิ่งก็วางสายโทรศัพท์
เฉินตงรู้สึกสงบลงเล็กน้อย เขามั่นใจว่ากู้ชิงหยิ่งยังคงไม่รู้เรื่องนี้ ทำให้เขารู้สึกเบาใจไม่น้อย
อย่างน้อย เอาก็สามารถใช้เงินร้อยล้านเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้
อย่างน้อยก็จะไม่มีผลกระทบกับการขอกู้ชิงหยิ่งแต่งงานในช่วงปลายเดือนนี้ !
แต่สิ่งที่เฉินตงไม่รู้ก็คือ
ขณะที่กู้ชิงหยิ่งกำลังคุยโทรศัพท์กับด้วยท่าทีที่มีความสุขอยู่นั้น ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งกลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา และทั้งตัวของเธอก็สั่นเทา
ในสายโทรศัพท์ เธอเพียงแค่บังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นมีความสุขเท่านั้น
หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็ไม่สามารถทนฝืนได้อีกต่อไป ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เธอเอาหัวมุดเข้าไปในผ้าห่ม แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความรู้สึกน้อยใจ
ด้านนอก มีเสียงอันแสนอบอุ่นของผู้เป็นแม่ดังขึ้น
“เสี่ยวหยิ่ง ออกมาทานข้าวเย็นได้แล้วลูก”
“แม่คะ หนูไม่หิว พ่อกับแม่ทานเถอะค่ะ” กูชิงหยิ่งพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วตอบกลับไปหนึ่งประโยค
ด้านนอก
หลี่หวั่นชิงขมวดคิ้วแน่น เธอครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และท้ายที่สุดก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงเดินไปยังห้องอาหาร
กู้โก๋ฮั๋วซึ่งกำลังนั่งรออยู่ เมื่อเห็นด้านหลังของหลี่หวั่นชิงไม่มีกู้ชิงหยิ่งเดินตามมา ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เสี่ยวหยิ่งไม่กินข้าวหรือ ?”
“เธอไม่หิว” ใบหน้าของหลี่หวั่นชิงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ผมจะไปเรียกเอง ถ้าหิวจนเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำยังไง”
กู้โก๋ฮั๋วลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้องอาหารทันที : “เด็กคนนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต เวลามีเรื่องไม่สบายใจก็จะไม่ยอมกินข้าว แล้วยังคิดว่าจะปิดบังพวกเราได้อีก”
“คุณหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ !” หลี่หวั่นชิงกระทืบเท้าแล้วพูดออกมาด้วยความโมโห
“ลูกต้องมีเรื่องปิดบังเราอยู่แน่นอน ถ้าปล่อยให้เธอเก็บงำเอาไว้เช่นนี้ จะต้องสติแตกแน่ๆ” กู้โก๋ฮั๋วรู้สึกไม่เต็มใจนัก
“กินข้าว !” หลี่หวั่นชิงลากกู้โก๋ฮั๋วกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร
เขตวิลล่าเขาเทียนซาน
ภาในห้องรับแขกบรรยากาศเงียบสงัด
ฟ่านลู่ยังคงดูแลหลุนคุนอยู่ที่โรงงพยาบาลลี่จิง
ภายในบ้านมีเพียงท่านหลุนกับหลี่หลาน
ทั้งสองนั่งแยกกันอยู่บนโซฟา ต่างคนต่างก็นิ่งเงียบ
มีเพียงแววตาของท่านหลุนที่เอาแต่จับจ้องอยู่ที่หลี่หลานซึ่งเต็มไปด้วยความซับซ้อน
หลี่หลานมีท่าทีงุนงง เธอก้มหน้าก้มตา ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน
ในที่สุด
หลี่หลายตัดสินใจทำลายบรรยากาศของความเงียบภายในห้องรับแขก : “ท่านหลง เรื่องนี้อย่าบอกให้เฉินตงรู้นะ”
“แต่คุณชายสังเกตเห็นความผิดปกติของคุณผู้หญิงแล้ว อีกทั้งยังกำชับให้กระผมไปตามสืบมาอีกด้วย”
ท่านหลงยิ้มอย่างขมขื่น : “กระผมคิดไม่ถึงเลยว่า หลายวันมานี้คุณผู้หญิงต้องกระวนกระวายใจเพราะเรื่องนี้”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็บอกเฉินตงไปนะว่าไม่สามารถสืบอะไรได้ ฉันไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวลเพราะเรื่องของฉัน”
หลี่หลานเงยหน้าขึ้นจ้องมองท่านหลง แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ : “เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉัน ฉันสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง”
ท่านหลงถอนหายใจ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน : “กระผมเคยเตือนคุณผู้หญิงเอาไว้นานแล้ว กระผมเชื่อว่าคุณผู้หญิงจะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตนเองได้ แต่คุณผู้หญิงครับ แม้แต่ต้นไม่ใหญ่ก็ยังถูกลมพัดให้สั่นไหวได้ ดังนั้นผมจึงคิดวว่าควรที่จะบอกเรื่องนี้แก่คุณชาย อย่างน้อยคุณชายจะได้เตรียมใจเอาไว้ !”
ปัง !
จู่ๆ หลี่หลานก็เอามือตบโต๊ะด้วยความโมโห แรงสั่นสะเทือนทำให้ได้ยินเสียงกระทบของแก้วน้ำชาบนโต๊ะ
ตอนนี้เอง ใบหน้าที่โอบอ้อมอารีของหลี่หลาน ก็กลับกลายเป็นใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง และเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
ถ้าหากเฉินตงมาเห็นเข้าล่ะก็ คงจะต้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
เป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโต น้องครั้งที่เขาจะเห็นแม่มีสีหน้าท่าทางเช่นนี้
“ในเมื่อนายเรียกฉันว่าคุณผู้หญิง แล้วยังคิดที่จะขัดคำสั่งของฉันอีกหรือ ?” หลี่หลานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาดุดัน จ้องเขม็งไปที่ท่านหลง
“ท่าทางของคุณผู้หญิงในตอนนี้ ทำให้กระผมนึกย้อนไปถึงสมัยก่อน”
ท่านหลงอยู่ในท่าทีที่สงบ และไม่คิดที่จะหลบสายตา : “แต่อย่างไรเสีย ทุกสิ่งที่กระผมทำก็เป็นเพราะหวังดีต่อคุณชาย”
เพล้ง !
หลี่หลานหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมา แล้วโยนลงไปบนพื้น จากนั้นจึงก้มลงเก็บเศษแก้วขึ้นมา แล้วจ่อไปที่คอ : “ถ้านายไม่ช่วยฉันปิดบังเรื่องนี้กับตงเอ๋อแล้วล่ะก็ ฉันก็จะขอตายให้ดู !”
“คุณผู้หญิง……” ท่านหลงหน้าถอดสีในทันที เขาตกใจและรีบลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินเข้าไปหา
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ !”
หลี่หลานตะคอก : “ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่ยอมให้เรื่องนี้กระทบตงเอ๋อเป็นอันขาด ฉันสามารถจัดการมันได้แน่นอน !”
ท่านหลงยืนนิ่งไปชั่วขณะ จนในที่สุดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา : “กระผมยอมรับปากแล้วครับ !”
เมื่อได้ยินดังนั้น
หลี่หลานก็มีสีหน้าท่าทีที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย เธอวางเศษแก้วที่อยู่ในมือลง แล้วก้มหน้าพูดอย่างจนใจ : “เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นก็ผ่านไปแล้ว แต่วันนี้มันกำลังจะหวนกลับมา ในเมื่อได้มองสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดมรดกให้แก่ตงเอ๋อแล้ว เช่นนั้นตงเอ๋อก็ควรจะได้ใช้พลังใจพลังกายทั้งหมดที่มี ไปกับการทำหน้าที่ผู้สืบทอดมรดก ไม่ควรจะต้องมาเหนื่อยด้วยเรื่องวุ่นวายพวกนี้”
น้ำเสียงที่ฟังดูแผ่วเบา สะท้อนให้เห็นถึงความโศกเศร้าและความรู้สึกจนใจ
ทำให้ท่านหลงเองก็พลอยหดหู่และว้าวุ่นใจไปด้วย
เรื่องของคุณผู้หญิง ถือเป็นเรื่องซับซ้อนจริงหรือ ?
ถ้าหากสามารถจัดการได้เรียบร้อยจริง แล้วทำไมในตอนนั้นถึงสับสนวุ่นวายนัก ?
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ท่านหลงไม่กล้าพูดออกมา หลี่หลานใช้แผนการขั้นเด็ดขาดในการบังคับให้เขาปิดปากเงียบแล้ว
ตอนนี้เอง ประตูบ้านถูกเปิดออก
เฉินตงเดินเข้ามา เมื่อเห็นแก้วน้ำชาที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่หลาน จากนั้นก็หายวับไปในทันที เธอรีบก้มลงไปเก็บเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“แม่ครับ เดี๋ยวผมเก็บเอง” เฉินตงรีบเดินเข้าไปหา
“ให้แม่เก็บเองเถอะ” หลี่หลานยิ้ม “แม่ไม่ระวังจนทำแก้วน้ำชาหล่นแตก แก้วใบนี้คงจะแพงน่าดู น่าเสียดายจริงๆ”
“ที่ไหนกันครับ” เฉินตงหัวเราะร่า
เมื่อหลี่หลานเก็บเศษแก้วเรียบร้อย ก็ปล่อยให้เฉินตงไปพักผ่อนสักพัก ส่วนตัวเธอเองก็เข้าไปทำอาหารในห้องครัวตามลำพัง
เฉินตงมองตามผู้เป็นแม่เดินเข้าห้องครัวไป จากนั้นจึงได้เอ่ยปากถามท่านหลงว่า : “ท่านหลง เรื่องที่ให่ไปสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง ?”
ท่านหลงรับปากหลี่หลานแล้ว จึงต้องแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง และยิ้มพร้อมกับพูดว่า : “คุณชาย อาจเป็นเพราะพวกเราเข้าใจคุณผู้หญิงผิด เธอออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายเท่านั้นจริงๆ”
“จริงหรือ ?” เฉินตงเลิกคิ้ว จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพึมพำ : “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ดี ฉันกลัวว่าแม่จะมีเรื่องอะไรที่กลัวจะเกี่ยวพันถึงตัวฉันแล้วทำให้ฉันต้องเหนื่อย ดังนั้นถึงได้จงใจที่จะปิดบังเอาไว้”
ริมฝีปากของท่านหลงขยับ แววตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน
แต่ทว่า เฉินตงกลับไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านหลง
เรื่องของหวางหนันหนันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและโมโห จนยากที่จะรู้สึกสงบลงได้
เขาทักทายกับท่านหลงเพียงคำเดียว จากนั้นจึงเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นบน
ตอนนี้ เขาหวังว่าจะใช้เงินจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้ และรีบส่งครอบครัวของหวางหนันหนันให้ออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการจบปัญหาเรื่องนี้
เป็นเพราะถูกขู่กรรโชก ทำให้วันรุ่งขึ้น เฉินตงก็ยังคงรู้สึกหดหู่อยู่ เป็นการยากที่เขาจะสามารถสงบสติอารมณ์และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้
วันที่ดูสับสนหนึ่งวันค่อยๆ ผ่านพ้นไป เมื่อกลับถึงบ้าน เฉินตงก็นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง ยากที่จะข่มตาหลับลงได้
เขาอดหลับอดนอนจนกระทั่งฟ้าสว่าง
เฉินตงลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้า วันนี้……เป็นวันที่ครอบครัวของหวางหนันหนันจะออกไปจากเมืองนี้