บทที่ 158 กล้ารังแกลูกสาวฉัน เฉินตง นายสมควรตาย !
หวางหนันหนันยืนอึ้งไป
หวางเต๋อและหวางเห้าเองก็หน้าถอดสี
ต่อให้เป็นพวกเขาสองคน ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่จาวซิ่วจือพูดออกมานั้นเกินไปจริงๆ !
“แม่ ทำไมถึงพูดกับพี่แบบนี้ ?” หวางเห้าพูดเตือนสติ
แต่จางซิ่วจือกลับเงยหน้าแล้วพูดด้วยท่าทีหยิ่งผยองว่า : “หรือแกจะบอกว่าที่ฉันพูดไปทั้งหมดนั้นไม่ถูก ? หลังจากที่เธอแต่งงานกับเฉินตง ได้เงินมาสักเท่าไหร่กัน ? สามารถช่วยเหลือครอบครัวได้มากน้อยแค่ไหนกัน ? แม้แต่เรื่องที่แกจะแต่งงานกับเสว่เอ๋อ เธอยังช่วยไม่ได้เลย พอมาตอนนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นแม่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะคิดหาวิธีให้เธอได้เงินชดเชยในการหย่าร้างกลับมา แต่กลับกลายเป็นความผิดของฉันแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
พูดจบ จางซิ่วจือก็หันไปเหลือบมองหวางหนันหนัน
“อยู่กับสัตว์ร้ายอย่างเฉินตงมันจะมีประโยชน์อะไร ? ไม่สู้อยู่กับเทียนเซิง นอนกับเขาแล้ว อย่างน้อยก็ยังได้ค่าเหนื่อยอีกหลายล้าน !”
“คุณพอได้แล้ว !”
หวางเต๋อตัวสั่น เขายกมือขึ้นแล้วฟาดลงไป
เผียะ !
เขาใช้ฝ่ามือตบลงไปอย่างสุดพลัง
จนเกิดเสียงดังสนั่น
จางซิ่วจือเดินโซเซไปข้างหลัง ใบหน้าซีกหนึ่งของเธอบวมขึ้นในทันที
ผู้หญิงที่มีนิสัยหยิ่งผยองและบ้าอำนาจอย่างเธอ แน่นอนว่าคิดจะด่ากลับในทันที แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาเกรี้ยวกราดราวกับจะกินคนได้ของหวางเต๋อ เธอก็รู้สึกใจเต้นด้วยความตกใจกลัว และพยายามระงับสติอารมณ์เอาไว้
หวางเต๋อยืนตัวสั่น กัดฟันด้วยความโมโหและจ้องมองจาวซิ่วจือตาเขม็ง : “จางซิ่วจือคุณยังมีความเป็นคนอยู่อีกไหม ? คุณพยายามจะฆ่าลูกหรืออย่างไร ? คุณมัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับทรัพย์สินเงินทองจนถึงขั้นที่ไม่สนใจลูกสาวแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
“พ่อ……”
เมื่อได้ยินว่าพ่อปกป้องตนเอง หวางหนันหนันก็ร้องไห้โฮออกมาแล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของหวางเต๋อในทันที
หวางเต๋อตบหลังของหวางหนันหนันเพื่อปลอบใจไปพลาง ก็จ้องมองจาวซิ่วจือด้วยความโมโหไปพลาง : “ผม ผมทนคุณไม่ไหวอีกแล้ว บางครั้งผมถึงขั้นที่คิดจะหย่ากับคุณ ถึงขั้นคิดที่จะฆ่าคุณให้ตายเสียด้วยซ้ำ !”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ฆ่าเลยสิ !” จางซิ่วจือเองก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เธอถือบัตรธนาคารเอาไว้แน่น : “แต่อย่างไรเสียตอนนี้ฉันก็มีเงินแล้ว หากหย่ากันจริงๆ ฉันก็จะพาลูกชายไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม นอกเสียจากว่าคุณจะฆ่าฉัน !”
“คุณ……” หวางเต๋อโกรธจนพูดไม่ออก
“พ่อ อย่าทะเลาะกันอีกเลย ไม่มีประโยชน์หรอก พูดไปแม่ก็ไม่มีวันเข้าใจ”
หวางหนันหนันร้องไห้และเข้าไปขวางผู้เป็นพ่อเอาไว้ เธอรู้ดีว่า ถ้าแม่ของเธอคิดได้จริงๆ เพียงสักนิด ครอบครัวคงไม่ต้องมีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้
ในเมื่อถูกกล่าวหาไปแล้ว ก็ปล่อยให้ถูกกล่าวหาไป !
เธอแค่อยากจะอยู่เงียบๆ เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่
ความคิดเช่นนี้เรียกได้ว่า “ถูกทำให้เจ็บปวดจนกระทั่งรู้สึกชินชา” หรือจะพูดว่าเหมือนแก้วที่หล่นลงไปแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หวางหนันหนันไม่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน : “ไปกันเถอะค่ะ พวกเราไปจากที่นี่กัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเฉินตงอีกแล้ว ปลายเดือนนี้เขาก็จะขอเสี่ยวหยิ่งแต่งงานแล้ว ตระกูลหวางของเรากับเฉินตง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
อย่างไรก็ตาม
จู่ๆ จางซิ่วจือก็หัวเราะเยาะออกมา : “ขอแต่งงานหรือ ? เขาคงฝันไปล่ะสิ !”
หวางหนันหนันตัวสั่นและหยุดเดินอย่างกะทันหัน
หวางเต๋อหันหลังกลับไปในทันที : “คุณ คุณสร้างปัญหาอะไรอีก ?”
“สร้างปัญหาหรือ ? นี่ฉันกำลังช่วยหนันหนันแก้แค้นอยู่ต่างหาก ! คิดว่าลูกสาวของฉันสามารถรังแกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ?”
จางซิ่วจือพูดอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “รูปถ่ายกองโต ฉันได้ส่งไปให้นังเด็กกู้ชิงหยิ่งนั่นแล้ว ตอนนี้ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าในใจของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ปลายเดือนนี้เฉินตงคิดจะขอเธอแต่งงานอย่างนั้นหรือ ? รอดูเฉินตงถูกกู้ชิงหยิ่งสลัดทิ้งก็แล้วกัน !”
เปรี้ยง !
ใบหน้าของหวางหนันหนันซีดเผือดจนมองไม่เห็นเส้นเลือดแม้สักเส้นเดียวในทันที
จนสุดท้าย ร่างกายของเธอก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง ล้มลงไปอยู่ในอ้อมแขนของหวางเต๋อ
ณ ลานป่าไผ่ ในคลับสี่ยิ่น
สองวันมานี้ กู้ชิงหยิ่งเอาแต่นั่งเหม่อลอย ไม่ยอมกินข้าวกินปลา
ในหัวมีแต่เรื่องรูปถ่ายวนเวียนอยู่
เธอพยายามที่จะทำความเข้าใจเฉินตงด้วยตัวของเธอเอง แต่รูปถ่ายกลับเป็นหลักฐานที่แน่นหนา ที่เข้ามาทำลายคำพูดโน้มน้าวจิตใจของตัวเธอเองครั้งแล้วครั้งเล่า
เสียงบรรเลงเปียโนที่ไพเราะดังก้องกังวาน
กู้ชิงหยิ่งนั่งพิงอยู่ที่หน้าต่าง นั่งมองพุ่มดอกไม้และน้ำพุที่อยู่ภายในลานเล็กๆ ดวงตาของเธอแดงก่ำและบวมเล็กน้อย
เธอยังคงตั้งตารอการขอแต่งงานที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนนี้
เธอถึงขั้นมีความปรารถนาที่ไร้เดียงสา ที่จะได้เห็นเฉินตงสวมใส่ชุดเกราะสีทอง เดินผ่านสายรุ้งและก้อนเมฆลงมาจากบนท้องฟ้าเพื่อขอเธอแต่งงาน
แต่ทว่าตอนนี้ ภาพความฝันและความปรารถนาทั้งหมด จู่ๆ เหมือนจะถูกโยนลงไปในถ้ำน้ำแข็ง แปลเปลี่ยนกลายเป็นความหนาวเหน็บและเย็นชา
ก๊อก ก๊อก !
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เสี่ยวหยิ่ง ถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้วลูก” กู้โก๋ฮั๋วยืนตะโกนอยู่ด้านนอก
กู้ชิงหยิ่งเช็ดคราบน้ำตา : “พ่อคะ หนูไม่หิว พ่อกับแม่ทานเถอะค่ะ”
“เจ้าลูกคนนี้ ไม่กินข้าวมาสองวันแล้ว ถ้าหิวจนเป็นลมเป็นแล้งไปจะว่าอย่างไร ?” น้ำเสียงของกู้โก๋ฮั๋วเริ่มแสดงความโมโห แต่นั่นเป็นเพราะความเป็นห่วงที่มีต่อลูกสาว
กูชิงหยิ่งพูดด้วยความรำคาญว่า : “โถ่ พ่อคะ หนูโตแล้วนะ อย่าคิดว่าหนูยังเป็นเด็กอยู่อีกจะได้ไหม ?”
“เสี่ยวหยิ่ง ลูกมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า ? บอกพ่อได้นะ หรือว่าเฉินตงรังแกอะไรลูก ?”
เสียงของกู้โก๋ฮั๋วที่ดังอยู่ด้านนอก ทำให้หัวใจของกู้ชิงหยิ่งเต้นระส่ำ
เธอรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า : “ไม่ค่ะ ไม่ใช่ ! คนโง่อย่างเฉินตงจะรังแกอะไรหนูได้ ? ถ้าเขากล้ารังแกหนู หนูชกเขาทีเดียวเขาก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว”
“อืม……อย่างนั้นก็ดี” กู้โก๋ฮั๋วถอนหยายใจ จากนั้นด้านนอกก็ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
กู้ชิงหยิ่งกำลังกัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเธอเอาไว้แน่น จากนั้นจึงพูดพึมพำว่า : “เป็นเพราะคนโง่คนนั้นรังแกหนู……”
ในห้องอาหาร
กู้โก๋ฮั๋ซเดินมานั่งลงข้างๆ หลี่หวั่นชิงด้วยใบหน้าที่หดหู่ : “ดูๆ ไปแล้วเสี่ยวหยิ่งกับเฉินตงคงจะมีเรื่องทะเลาะกันจริงๆ”
ที่เขาเอ่ยถามไปเมื่อครู่ เพราะต้องการหยั่งเชิงดู
ถึงแม้กู้ชิงหยิ่งจะพยายามปิดบังอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยประสบการณ์ของกู้โก๋ฮั๋วแล้ว เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงก็พอจะฟังออกแล้ว
“เฮ้อ……ไม่ง่ายเลยที่เด็กสองคนนี้จะมาอยู่ด้วยกันได้ ปลายเดือนนี้ก็จะขอแต่งงานแล้ว แล้วยังมีเรื่องทะเลาะอะไรกันอีก ?” หลี่หวั่นชิงถอนหายใจ เธอหันมองกับข้าวที่วางอยู่เต็มโต๊ะ และสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาอีก : “จะไม่เข้าไปยุ่งก็คงไม่ได้แล้ว ถ้าปล่อยให้เสี่ยวหยิ่งกินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นนี้ต่อไป คิดว่าร่างกายคงจะรับไม่ไหวแน่นอน”
เธอพูดกับกู้โก๋ฮั๋วว่า : “ฉันจะเอาข้าวไปให้เสี่ยวหยิ่ง แล้วจะลองเอ่ยถามดู ส่วนคุณก็ทานข้าวของคุณไป ห้ามตามไปแอบฟังที่ประตูเด็ดขาด”
“เชอะ……ผมเป็นถึงประธานของบริษัทชิงหยิ่น มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำไมจะต้องไปคอยแอบฟังคนอื่นด้วย ?” กู้โก๋ฮั๋วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หลี่หวั่นชิงเหลือบมองอย่างตำหนิหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงหยิบจานขึ้นมาแล้วเลือกตักอาหารที่กู้ชิงหยิ่งชอบกิน แล้วเดินตรงไปที่ห้องของกู้ชิงหยิ่ง
หลังจากได้ยินเสียงเรียก ในที่สุดกู้ชิงหยิ่งก็เปิดประตูให้ผู้เป็นแม่เข้าไปในห้อง
เมื่อกู้โก๋ฮั๋วเห็นประตูห้องถูกปิดลงอีกครั้ง เขาก็รู้สึกน้อยใจ : “พอแม่เรียกยอมเปิดประตู แต่พอพ่อเรียกกลับไม่กิน น่าโมโหจริงๆ”
ขณะที่กำลังทานอยู่นั้น กู้โก๋ฮั๋วก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก เขาคีบกับข้าวใส่ลงไปในถ้วย จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องไปที่ประตูห้องของกู้ชิงหยิ่ง แล้วเอาหูแนบที่ประตูเพื่อแอบฟัง
แต่เขายังไม่ทันที่จะฟังรู้เรื่อง ประตูลานก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“คุณกู้ครับ มีจดหมายส่งมาถึงพวกคุณครับ !”
จดหมาย ?
กู้โก๋ฮั๋วขมวดคิ้ว เขาถือถ้วยข้าวและตะเกียบเดินตรงไปที่ลานอย่างรวดเร็ว แล้วรับจดหมายมาจากมือของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ซองจดหมายหนามาก ด้านบนซองระบุชื่อผู้รับว่า : กู้ชิงหยิ่ง
แต่ตอนนี้ภรรยากับลูกสาวกำลังพูดคุยเปิดใจกันอยู่ภายในห้อง
บวกกับท่าทีที่ผิดปกติของลูกสาวตลอดสองวันที่ผ่านมา ทำให้กู้โก๋ฮั๋วฉีกซองจดหมายออกดูด้วยความอยากรู้
เมื่อเห็นรูปถ่ายแต่ละรูปที่อยู่ในซองจดหมาย กู้โก๋ฮั๋วก็อึ้งไปในทันที
เขาจ้องตาเขม็ง และยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งขึ้น
ความโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ถึงขั้นที่เส้นเลือดบริเวณหางตาของเขากระตุกอย่างรวดเร็ว !
เพล้ง !
กู้โก๋ฮั๋วโยนถ้วยข้าวและตะเกียบที่ถืออยู่ในมือลงบนพื้นอย่างแรง เขากัดฟันพูดออกมาด้วยความโกรธ : “เฉินตง นายกล้ารังแกลูกสาวของฉัน นายสมควรตาย”