ภายในเครื่องบินส่วนตัว บรรยากาศเงียบสงัด
เสียงดังอึกทึกของเครื่องบินรบเหมือนกับเสียงสวดมนต์ที่ดังอื้ออึงอยู่ในหู
“คุณปู่……”
ใบหน้าของจางหยู่หลันซีดเผือดจนไม่หลงเหลือสีแดงอยู่เลยแม้แต่น้อย เธอรีบจับแขนของปู่เอาไว้แน่น
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกสับสน และแววตาของเขาก็ดูลนลาน
เขาเป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลจาง ถึงแม้ว่าฐานะของตระกูลจางในเมืองหลวงจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด แต่ก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน
เมื่อมองออกไปที่กระบอกปืนของเครื่องบินรบที่อยู่นอกหน้าต่าง
ดูราวกับปากของสัตว์ร้ายที่ลึกเข้าไป ทำให้ไม่ต้องรู้สึกสงสัยเลยว่า มันจะสามารถกลืนกินเครื่องบินเข้าไปทั้งลำได้หรือไม่
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงกำหมัดทั้งสองข้าง แล้วก้มศีรษะพูดออกมาอย่างเคร่งเครียดว่า : “เลี้ยวหัวกลับแล้วลงจอด !”
เครื่องบินรบทั้งสองลำขนาบเครื่องบินส่วนตัวไปตลอดทางจนกระทั่งลงจอด จากนั้นจึงบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วหายลับไปในกลีบเมฆ
ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
แต่กลับทำให้หลังของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาหัวเราะเยาะตัวเอง : “คิดไม่ถึงเลยว่า ชาตินี้ฉันจะได้ลิ้มรสชาติของการที่มีเครื่องบินรบ คอยบินขนาบข้างมาเช่นนี้”
จางหยู่หลันพูดอย่างหวาดกลัว : “คุณปู่ พวกเรา พวกเราจะทำเช่นไรดีคะ ?”
“ในเมื่อเรื่องนี้พวกเราไม่ได้เป็นคนก่อ เมื่อความจริงทุกอย่างกระจ่างแล้ว พวกเราก็จะสามารถกลับไปได้”
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางอยู่ในท่าทีสงบ : “หยู่หลันไม่ต้องเป็นห่วง มือของหลานที่ผลักเขาออกไป อย่างมากก็แค่ทำให้ความสัมพันธ์ของตระกูลจางของพวกเรากับเฉินตงจบสิ้นลงก็เท่านั้น เพียงแค่ชดเชยให้นิดหน่อยก็คงเพียงพอ แต่คนที่เขาต้องการจะเอาชีวิตจริงๆ ในครั้งนี้ก็คือคนที่ลอบสังหาร !”
หลังจากที่ได้ยิน
จางหยู่หลันก็รู้สึกใจชื้น
แต่เมื่อนึกถึงท่าทีที่ตัวเธอเองแสดงออกเมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมา : “ขอโทษด้วยค่ะคุณปู่ เป็นความผิดของหนูเอง”
หลังจากที่ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น
ตระกูลจางเป็นตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลแรกในเมืองหลวง ที่ตัดสินใจเดินทางมาหาเฉินตง
ทั้งๆ ที่มีไพ่ใบงามถืออยู่ในมือแล้วแท้ๆ แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า
อีกทั้งเรื่องนี้ จางหยู่หลันก็มีส่วนอย่างมาก
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกหดหู่ในใจ แต่ก็ยังส่ายหัวเพื่อแสดงออกว่าไม่เป็นไร
ประตูเครื่องบินเปิดออก
“ไปกันเถอะ”
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางลุกขึ้น
ขณะที่ทั้งสองปู่หลานกำลังเดินลงมาจากเครื่องบิน
ท่านหลงก็ยืนรออยู่ด้านล่างด้วยตัวคนเดียวนานแล้ว
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับทั้งสองท่านกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง”
ท่านหลงก้าวขึ้นไปข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะพลางพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า : “ท่านหลง หากคุณต้องการให้พวกเราอยู่ต่อ ทำเพียงแค่บอกกล่าวกันดีๆ ก็พอแล้ว ถึงขั้นต้องใช้เครื่องบินรบเลยหรือ ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านหลงจางหายไปในทันที : “ถ้าไม่ใช่เพราะส่งเครื่องบินรบไปรับ ป่านนี้เครื่องบินคงจะบินไปถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางมีท่าทีอึดอัด
“ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะกระจ่าง กระผมหวังว่าคุณท่านใหญ่ตระกูลจาง จะพาหลานสาวที่น่ารักของท่าน กลับไปพักอยู่ที่หมู่ตึกยู่ฉวนตามเดิม”
เสียงของท่านหลงฟังดูจริงจัง : “มิเช่นนั้น เมื่อครู่ที่เครื่องบินรบแสดงความเคารพนั้น แต่ทหารที่อยู่ด้านหลัง กระผมเองก็ไม่กล้ารับประกัน”
น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง
“แต่ถึงอย่างไร ฉันเองก็เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลจาง ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ ?” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางทำสีหน้าเศร้าหมอง
แต่ท่านหลงกลับยิ้มอย่างเย้อหยัน : “ตระกูลจางแห่งเมืองหลวง ตระกูลที่เติบโตมาได้เพราะอาศัยพวกเต้นกินรำกิน ถือว่ามีหน้ามีตามากนักหรือ ?”
“แก……” คุณท่านใหญ่ตระกูลจางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ในสมัยโบราณ อาชีพนักแสดงถือเป็นอาชีพชั้นต่ำ
คำพูดของท่านหลง เป็นการดูถูกตระกูลจางที่สง่างามของเขาว่าเป็นพวกชั้นต่ำ
“กลับหมู่ตึกยู่ฉวน !”
เสียงเคร่งขรึมของท่านหลงดังขึ้น
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก : “รบกวนท่านหลงแล้ว”
หลังจากมองดูสองปู่หลานตระกูลจางเดินทางออกจากสนามบินไปแล้ว
สีหน้าของท่านหลงก็ดูเคร่งเครียดขึ้น : “ทุกคนคิดว่าคุณชายเป็นผู้สืบทอดมรดกที่เติบโตอยู่ด้านนอก ทำให้ถูกมองว่าต่ำชั้นกว่าผู้สืบทอดมรดกที่เติบโตภายในบ้านพวกนั้นอย่างนั้นหรือ ? มีดที่แทงคุณชายในครั้งนี้ หากไม่มีใครออกมาชดใช้แล้วล่ะก็ เลือดก็จะต้องล้างด้วยเลือด !”
คำพูดเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
ตามความเห็นของท่านหลงแล้ว การที่เฉินตงถูกลอบสังหารในครั้งนี้ ถึงแม้จะตกอยู่ในอันตรายไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองที่หาได้ยากยิ่ง !
อาศัยเหตุการณ์ในครั้งนี้ แสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่า ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเฉินของเฉินตงในบ้านตระกูลเฉินนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร
เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตระกูลหลี่ ทำให้เฉินตงเป็นที่จับตามองของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงไม่น้อย
มีทั้งคนที่รู้สึกหวาดกลัวและคนที่ต้องการจะผูกมิตร……ทำให้ตระกูลใหญ่ต่างมีลับลมคมใน
เป็นเพราะตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งรู้ดีว่า ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เป็นเรื่องยากที่จะใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ได้
อีกทั้งผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” ของตระกูลเฉินคนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางตระกูลใหญ่ที่มีลับลมคมในเหล่านั้น จึงเห็นได้ชัดว่าสามารถ “ประสบความสำเร็จ” ได้ง่ายยิ่งกว่าผู้สืบทอดมรดกจริงของตระกูลเฉินเสียอีก
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางมาของตระกูลจางและตระกูลฉู่ ซึ่งส่งผลให้เกิดการลอบฆ่าครั้งนี้ขึ้น
ไม่เพียงแต่ท่านหลงที่รู้สึกเช่นนี้เท่านั้น แม้แต่เฉินเต้าหลินเองก็ออกคำสั่งมาแล้วด้วยตนเองตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
ให้ใช้โอกาสในครั้งนี้ ประกาศให้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้รู้ว่า ต่อให้เป็นผู้สืบทอดมรดก “นอกคอก” ของตระกูลเฉิน ก็ไม่ใช่คนที่พวกปลายแถวอย่างพวกเขาจะเข้ามาแตะต้องได้ตามอำเภอใจ !
หากการลอบฆ่า ไม่สามารถสืบหาความจริงให้กระจ่างได้
เช่นนั้น เลือดก็ต้องล้างด้วยเลือด !
ให้คนเหล่านั้นได้รู้ว่า ในฐานะที่เฉินตงเป็นผู้สืบทอดมรดก เพียงแค่มีดเล่มเดียวที่ทำร้ายเขา ก็สามารถทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องชดใช้ด้วยชีวิต !
ให้คนเหล่านั้นหวั่นเกรง หวาดกลัว และไม่กล้ากระทำการโดยประมาทกับเฉินตงอีก !
หมู่ตึกยู่ฉวน
โจวเย่นชิวรีบร้อนจนกระทั่งศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และหายใจเหนื่อยหอบ
เขาดูรายงานที่ทยอยส่งเข้ามาทีละฉบับและโกรธจนกัดฟันแน่น
“ไอ้พวกขยะ ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง !”
ปัง !
โจวเย่นชิวตะโกนด่าทอออกมา จากนั้นจึงโยนข้อมูลทั้งหมดลงถังขยะ
“เวลาหนึ่งคืน หนึ่งคืนเต็มๆ ยังหาเงื่อนงำอะไรไม่เจออีก แล้วจะให้ฉันเลือกขยะอย่างพวกแกเอาไว้ทำไมกัน ?”
ด้วยนิสัยและอารมณ์โดยปกติของโจวเย่นชิวแล้ว เป็นการยากที่จะเห็นเขาตะโกนด่าทอในลักษณะเช่นนี้
แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้เขารู้สึกร้อนใจเหมือนถูกไฟลนก้นแล้วจริงๆ
เป็นเพราะโจวเย่นชิวรู้ดีว่า คำพูดที่ท่านหลงพูดว่า “ฆ่าให้หมด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว” หมายรวมถึงตัวเขาด้วย !
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผู้บงการในการลอบสังหารครั้งนี้ ได้มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี นักฆ่าทั้งสิบกว่าคน เป็นนักฆ่ากล้าตายทั้งหมด เมื่อนักฆ่าสิบกว่าคนตายไป เบาะแสทั้งหมดก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย
ก๊อกๆ !
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใคร ?”
โจวเย่นชิวตะโกนด้วยความรำคาญ
“ประธานโจว ฉัน ฉู่เจียนเจียเองค่ะ”
โจวเย่นชิวมีท่าทีอ่อนโยนลงเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดว่า : “คุณหนูฉู่ เชิญเข้ามาครับ”
ฉู่เจียนเจียผลักประตูเดินเข้ามา
“ได้เบาะแสบ้างหรือยังคะ ?”
โจวเย่นชิวชี้ไปยังกองข้อมูลที่กองอยู่บนพื้น : “เมื่อนักฆ่ากล้าตายสิบกว่าคนนั้นตายไปหมด เบาะแสก็ไม่หลงเหลืออีก สิ่งที่หน่วยข่าวกรองของผมสืบหามาได้ ก็เป็นข้อมูลเพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่สามารถสาวไปถึงตัวผู้บงการได้”
ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแน่น จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา : “วางใจเถอะค่ะ ฉันติดต่อกลับไปที่ตระกูลแล้ว และสั่งให้หน่วยข่าวกรองของตระกูลฉู่ช่วยสืบหาอีกแรงแล้ว”
“เกรงว่าคงจะยากสักหน่อย”
โจวเย่นชิวถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ : “อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เรามีโอกาสสืบหาความจริงให้กระจ่างได้ คุณเชื่อหรือไม่ว่า นักฆ่ากล้าตายสิบกว่าคนเหล่านั้น ไม่ว่าสุดท้ายการลอบสังหารจะทำได้สำเร็จหรือไม่ พวกเขาก็จะกัดยาพิษในปากแล้วกลืนลงท้องเพื่อฆ่าตัวตายอยู่ดี ?”
ฉู่เจียนเจียพยักหน้าแล้วยิ้มเบาๆ : “ประธานโจวพูดถูกต้อง แต่ใครล่ะที่สามารถรวบรวมนักฆ่ากล้าตายจำนวนสิบกว่าคนได้ อีกทั้งยังกล้าเสียสละชีวิตคนนับสิบ และกล้าที่จะลองดีกับผลที่ตามมาจากการท้าทายตระกูลเฉิน ? อย่างน้อยตระกูลฉู่ของเราก็คงไม่กล้า”
โจวเย่นชิวผงะไปชั่วครู่ รู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน
“ขอบคุณคุณหนูฉู่มากที่เตือนสติ ตอนนี้ผมพอจะรู้ทิศทางแล้ว การสืบหาน่าจะง่ายขึ้นมาก”
ฉู่เจียนเจียพยักหน้า : “ตอนนี้พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ตระกูลจางเองก็คงกำลังใช้หน่วยข่าวกรองด้วยเช่นกัน”
โจวเย่นชิวมีท่าทีตื่นเต้น……
เวลาบ่าย
ในที่สุดเฉินตงก็ฟื้นขึ้นมา
เมื่อเขาหันมองกู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย : “คุณรู้เรื่องแล้ว ?”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร ?”
ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เธอหยิกแขนของเฉินตงแรงๆ หนึ่งครั้งด้วยความโกรธ : “คนโง่ ทำไมถึงทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้นะ ? ตอนนี้คุณไม่รู้หรืออย่างไรว่า ไม่ได้มีแม่ของคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นนะที่เป็นห่วงคุณ ?”
คิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ !
เฉินตงรู้สึกจนใจ ใครจะไปรู้ล่ะว่า งานเลี้ยงจะกลายเป็นการลอบสังหารไปได้ ?
เพียงแต่ว่า เมื่อมองดูกู้ชิงหยิ่งที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง จู่ๆ เฉินตงก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป
เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อคืนกับฉู่เจียนเจีย……หรือว่า……
จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที