ดูเหมือนว่าคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจะร่วมมือกับตระกูลฉิน
สิ่งนี้ทำให้เฉินตงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกำลังแบกรับความรู้สึกร้อนใจเอาไว้
การที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินพยายามหาทางเลี่ยงตระกูลเฉินและพ่อ แล้วไปร่วมมือกับตระกูลฉิน ทำให้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินยิ่งสามารถทำทุกอย่างได้สะดวกขึ้น
อีกทั้งตระกูลฉินเองก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่
และตอนนี้ฉินเย่เอง ก็เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นศัตรูกับตระกูลฉินไปแล้ว
หากทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันลงมือแล้วละก็ เกรงว่าคงจะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน
หลังจากที่วิตกกังวลกับเรื่องนี้มาหลายวัน เฉินตงก็ยอมที่จะปล่อยวาง
เรื่องที่ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วจะมัวเก็บเอามาคิดอยู่ทำไม ?
ไม่ช้าเขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำงานอีกครั้ง
แน่นอนว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่เขากำลังเตรียมการก็คือเรื่องงานแต่งระหว่างเขากับกู้ชิงหยิ่ง
เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน สำหรับการเตรียมงานแต่งงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดนั้น ถือว่าเป็นเวลาที่กระชั้นชิดพอดู
แต่ทว่า ไม่เมื่อกำหนดฤกษ์แต่งงานเอาไว้แล้ว ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
ยังดีที่มีท่านหลงและแม่คอยช่วยเหลือเรื่องการจัดหาโรงแรมและจัดการรายละเอียดยิบย่อยในงานแต่งงาน
ส่วนเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งมีหน้าที่เพียงแค่เลือกชุดแต่งงานและถ่ายภาพแต่งงานเท่านั้น
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
เพื่อที่จะเก็บภาพความทรงจำในชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้แก่กู้ชิงหยิ่ง
เฉินตงจึงนึกถึงฉู่เจียนเจีย ซึ่งมีทีมช่างภาพระดับแนวหน้าของวงการบันเทิงอยู่ในมือ
หลังจากฉู่เจียนเจียทราบเรื่อง ก็รีบแนะนำทีมช่างภาพระดับแนวหน้าทีมหนึ่งให้แก่เฉินตงด้วยความยินดี
ส่วนสถานที่สำหรับถ่ายภาพแต่งงาน เนื่องด้วยเวลากระชั้นชิดเป็นอย่างมาก บวกกับขั้นตอนในการตกแต่งภาพหลังการถ่ายต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นในที่สุดพวกเขาจึงเลือกไห่ย่า
เวลากลางคืน อากาศเย็นเล็กน้อย
“คุณชายครับ พรุ่งนี้ไปถ่ายภาพแต่งงานที่ไห่ย่า กระผมแนะนำว่าควรจะพาคุนหลุนกับกูหลังไปด้วยนะครับ” ท่านหลงกล่าว
หลังจากการพักรักษาตัวช่วงหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายของคุนหลุนและกูหลังจะไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เกือบหายเป็นปกติแล้ว
ส่วนอาการบาดเจ็บของเฉินตงนั้นหายดีแล้ว
ที่ท่านหลงแนะนำเช่นนี้
ก็เป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินและตระกูลฉิน
เฉินตงพยักหน้า และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “พ่อยังไม่ส่งข่าวอะไรมาอีกหรือ ?”
“ครับ”
ท่านหลงขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า : “ท่านเจ้าบ้านกล่าวว่า ช่วงนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเอาแต่กินเจและสวดมนต์อยู่ในห้องพระไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในบ้าน”
เฉินตงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าตลก
มือถือสาก ปากถือศีล ?
จะไม่นึกถึงความรู้สึกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หน่อยหรือ ?
“แต่ก็หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนงานแต่งงานระหว่างฉันกับเสี่ยวหยิ่งนะ”
เฉินตงบิดขี้เกียจแล้วพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ท่านหลงยิ้มพลางพูดว่า : “พรุ่งนี้ขอให้คุณชายเดินทางอย่างสบายใจเถอะครับ ส่วนเรื่องพิธีแต่งงานภายในบ้าน กระผมจะดูแลจัดการให้เป็นอย่างดี”
“อย่าลืมช่วยบอกเจ้าหมอนั่นแทนผมด้วยว่า ให้เขารีบหายให้ทันเวลา จะได้มาร่วมงานแต่งงานของผม และมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้แก่ผม”
เฉินตงยิ้มไปพลางพูดไปพลาง
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เครื่องบินส่วนตัวบินขึ้นจากสนามบินชานเมือง มุ่งหน้าสู่ไห่ย่า
บนเครื่องบินมีเพียงเฉินตง กู้ชิงหยิ่ง คุนหลุนและกูหลัง รวมสี่คนเท่านั้น
ส่วนทีมช่างภาพจะบินตรงจากเมืองหลวงสู่ไห่ย่า
เฉินตงนั่งมองก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่นอกหน้าต่างพลางขมวดคิ้วแน่น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่วินาทีที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เฉินตงก็รู้สึกกระสับกระส่าย
รู้สึกราวกับว่า การไปไห่ย่าในครั้งนี้ จะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ ?” กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม
เฉินตงส่ายหัว
กู้ชิงหยิ่งพูดอย่างโกรธเคือง : “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”
ขณะที่พูด เธอก็ยื่นแก้วน้ำร้อนให้แก่เฉินตง : “ดื่มน้ำสักหน่อยนะคะ อย่าคิดมากเลย”
เฉินตงรับแก้วน้ำมา ริมฝีปากของเขาเพิ่งจะสัมผัสลงบนแก้ว
เปรี๊ยะ !
มีเสียงดังเบาๆ เกิดขึ้น แก้วที่อยู่ในมือของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วร่วงลงสู่พื้น
น้ำเปียกชุ่มไปทั่วตัวของเขา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เฉินตงสะดุ้งและขมวดคิ้วแน่น
ถึงขั้นลืมที่จะเช็ดน้ำที่เปียกชุ่มอยู่บนตัว กลับกลายเป็นกู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นคนเช็ดให้แทน
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?”
หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งเช็ดน้ำที่เปียกชุ่มอยู่บนตัวของเฉินตงเรียบร้อยแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองเฉินตง และเห็นสีหน้าของเขาที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“คุณว่า ที่แก้วใบนี้แตก จะเป็นลางบอกเหตุอะไรไหม ?”
แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง น้ำเสียงเคร่งเครียด
“ก็เป็นลางบอกว่าน้ำที่รินเมื่อกี้ร้อนเกินไป ร้อนจนกระทั่งทำให้แก้วแตก ตอนที่คุณเพิ่งจะหยิบขึ้นมา บังเอิญว่าแก้วก็แตกพอดี”
กู้ชิงหยิ่งทำสีหน้าเบื่อหน่าย และพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ : “คนโง่ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณมัวแต่นั่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ? คุณกำลังกลัวอะไรกันแน่ ?
เฉินตงหัวเราะเยาะตัวเอง
อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉันรู้สึกกังวลเกินไปจริงๆ
“อารมณ์ดีหน่อยสิคะ ครั้งนี้เราไปถ่ายภาพแต่งงานกันนะ” กู้ชิงหยิ่งโอบเฉินตงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดปลอบโยนว่า “ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีแล้วละก็ ภาพที่ถ่ายออกมาจะต้องขี้เหร่แน่นอน”
เฉินตงหัวเราะออกมาทันที
เวลาสิบโมงเช้า
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติไห่ย่า
มีท่านหลงคอยช่วยจัดการตารางเวลาต่างๆ ของตระกูลเฉิน ทำให้ทุกอย่างถูกตระเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ
หลังจากพวกของเฉินตงทั้งสี่คนเดินออกจากสนามบิน ก็ขึ้นนั่งบนรถของตระกูลเฉิน แล้วมุ่งหน้าเพื่อไปเข้าพักที่โรงแรมไห่หลงวานทันที
ภายในห้องพักชั้นพิเศษ จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลสีฟ้าและชายหาดได้พอดี
เป็นบรรยากาศแบบเมืองร้อนและเป็นธรรมชาติ
ในฐานะที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ทำให้ไห่ย่าไม่เคยขาดแคลนนักท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะช่วงไหนฤดูไหน บนชายหาดก็จะมีคนนอนอาบแดดอยู่เสมอ
เมื่อมองดูวิวทิวทัศน์อยู่สักพัก
เฉินตงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากวางกระเป๋าเดินทางลงเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตั้งใจที่จะออกไปเดินเล่นริมชายหาดกับกู้ชิงหยิ่ง
อีกสักพักกว่าที่ทีมช่างภาพจะมาถึง หลังจากมาถึงแล้ว ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องวางแผนและจัดการ
ดังนั้นวันนี้คงจะยังไม่ได้เริ่มถ่าย
หลายปีมานี้ เขาไม่มีเวลาที่จะผ่อนคลายตนเองจริงๆ เลยสักครั้ง
ตอนนี้จึงควรจะใช้โอกาสนี้ พักผ่อนให้เต็มที่ นั่งดูวิวทิวทัศน์และสนุกกับชีวิตให้เต็มที่
ห้องพักของกู้ชิงหยิ่งอยู่ติดกับห้องพักของเฉินตง เป็นห้องพักชั้นพิเศษเช่นเดียวกัน
ก๊อกๆ !
เฉินตงเคาะประตู
รออยู่สักพักประตูก็ยังไม่เปิด
เฉินตงขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาเข้าห้องพร้อมๆ กับกู้ชิงหยิ่ง
ทำไมเธอถึงยังเก็บสัมภาระไม่เสร็จอีก ?
เขาเคาะประตูอีกครั้ง รออยู่สักพักประตูก็ยังไม่เปิดออกเช่นเคย
เฉินตงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหากู้ชิงหยิ่ง
เสียงเรียกสายโทรศัพท์เพิ่งจะดังได้หนึ่งครั้งก็มีคนกดรับสาย
“ที่รัก ผมเคาะประตูนานแล้วนะ”
“หา ? ฉันไม่ได้อยู่ในห้องเสียหน่อย !”
กู้ชิงหยิ่งอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นจึงพูดคำพูดแปลกๆ ออกมา : “เดี๋ยวก่อนนะ แล้วทำไมคุณถึงอยู่ที่หน้าห้องของฉันได้ ? คุณไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ ?”
เปรี้ยง !
เฉินตงรู้สึกตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า
“ตายแล้ว จำคนผิดแล้ว จำคนผิดแล้ว ที่รัก คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
เสียงของกู้ชิงหยิ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ จากนั้นจึงกดวางสายไป
เฉินตงยืนตะลึงอยู่ที่เดิม
แม้แต่สามีของตนเอง ก็จำผิดอย่างนั้นหรือ ?
ผ่านไปห้านาที
กู้ชิงหยิ่งทำปากจู๋ เอามือสองข้างประสานกัน ท่าทางเหมือนกับเด็กที่ทำความผิด แล้วเดินออกมาจากลิฟต์
เฉินตงมองกู้ชิงหยิ่งด้วยท่าทีเฉยเมย
กู้ชิงหยิ่งแลบลิ้นออกมา แล้วเขย่าแขนของเฉินตง : “อย่าโกรธเลยนะคะ ฉันจำคนผิดจริงๆ”
“สามีตัวเองคุณยังจำผิดได้อีกหรือ ?”
เฉินตงแสร้งทำเป็นโกรธ
“ฉันจำคนผิดจริงๆ”
กู้ชิงหยิ่งอธิบายว่า : “เมื่อครู่พอฉันจัดเก็บสัมภาระเสร็จก็ออกมาจากห้องพัก แล้วบังเอิญเห็นคนที่มีลักษณะท่าทางคล้ายกับคุณเดินเข้าลิฟต์ไปพอดี ฉันยังคิดเลยว่าคุณไม่ยอมรอฉัน ฉันก็เลยรีบเดินตามไป หลังจากที่ตามขึ้นลิฟต์ไปไม่ทัน เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ฉันก็เลยรีบตามหาคุณ”
“ฉันยังตะโกนเรียกคุณไปสองครั้ง เมื่อครู่ยังนึกสงสัยเลยว่าทำไมคุณถึงยิ่งเดินยิ่งเร็ว”
“แล้วยังไงต่อ ?” เฉินตงเลิกคิ้ว
“เขาไว้เครา ไม่หล่อเหมือนสามีของฉัน”
กู้ชิงหยิ่งเอาหัวมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินตง ราวกับลูกแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังออดอ้อน : “เลิกโกรธได้แล้ว ฉันจะเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่คุณเอง”
เฉินตงไม่อาจเสแสร้งได้อีกต่อไปแล้ว เขาหลุดขำออกมา
จากนั้นจึงลูบหัวของกู้ชิงหยิ่งด้วยความเอ็นดู : “คุณชนะแล้ว ไปกันเถอะ ไปกินอาหารมื้อใหญ่กัน”