ต้องลองดูสักตั้งในขณะที่ยังมีโอกาส
หากไม่ขึ้นฮึดสู้ ถ้าตกอยู่ในมือของตระกูลฉินแล้ว ก็คงไม่ต้องคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอีกต่อไป
ในพจนานุกรมของเฉินตง ไม่เคยมีคำว่า “รอความตาย” บัญญัติเอาไว้
ต่อให้ต้องตาย เขาก็ขอต่อสู้จนตัวตาย
ทันทีที่เขาตัดสินใจเช่นนี้
เจตนาฆ่าในแววตาของเขาก็ทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด
ทันใดนั้น
ตัวเขาก็สั่นเทา
“ฮ่าๆ” เฉินตงหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะทำให้ตำรวจที่นั่งขนาบอยู่สองข้างตกตะลึง
ส่วนตำรวจวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับก็รู้สึกตกใจจนต้องหันมามอง จากนั้นจึงโยนก้นบุหรี่ที่อยู่ในมือใส่เฉินตง
“แกหัวเราะอะไรของแก ?”
รอยยิ้มของเฉินตงยิ่งดูสดใสยิ่งขึ้น เขามองตรงไปยังตำรวจวัยกลางคนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
“ของปลอม ยังไงก็เป็นของจริงไปไม่ได้ !”
แววตาของตำรวจวัยกลางคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาขมวดคิ้วทันที
ตำรวจที่เป็นคนขับรถเองก็เหยียบเบรกอย่างกะทันหัน จนรถสั่นไปมา
“ไอ้บ้าเอ๋ย แกขับให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ?”
หัวของตำรวจวัยกลางคนเกือบกระแทก เขาจึงหันไปต่อยไหล่ของตำรวจคนที่ทำหน้าที่ขับรถด้วยความโกรธ
จากนั้น เขาก็หันกลับไปมองเฉินตงด้วยความโมโห : “แกพูดบ้าอะไรกัน ?”
แน่ใจแล้ว !
ตัวปลอมแน่นอน !
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฉินตงยิ่งชัดเจนขึ้น เขาค่อยๆ หรี่ตาลง
เขาทำเช่นนี้เพราะเกรงว่าการสันนิษฐานของตนเองนั้นจะผิดพลาด จึงได้แสร้งทดสอบดู
ตำรวจอาจจะวางตัวไม่ดี หรืออาจจะไม่สนใจเกียรติยศศักดิ์ศรีได้
แต่ในเมื่อเป็นตำรวจเหมือนกัน ต่อให้เป็นหัวหน้ากับลูกน้อง นำเสียงและคำพูดที่ใช้ก็คงไม่หยาบคายถึงขนาดนี้ !
พวกนักเลงเท่านั้น ที่จะแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา
ตุ๊บ !
ทันใดนั้นเอง เฉินตงก็โค้งตัวลงเหมือนคันธนู แล้วดีดตัวกลับ ใช้หัวกระแทกเข้าที่ใบหน้าของตำรวจคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย
“โอ๊ย !”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ดังก้องอยู่ในรถตำรวจ
เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้นทันที
ตำรวจที่ทำหน้าที่ขับรถตกใจจนมือไม้สั่น
รถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วก็เริ่มวิ่งคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย
แต่ทว่า นี่คือสิ่งที่เฉินตงต้องการให้เกิดขึ้น
ยิ่งชุลมุนยิ่งดี
“ไอ้บ้าเอ๋ย นี่แกกล้าขัดขืนหรือ ?”
สีหน้าของตำรวจวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที เขายื่นมือเข้าไปคว้ากระบองที่เหน็บอยู่บนตัวออกมา จากนั้นจึงฟาดไปที่เฉินตง
เฉินตงไม่อาจหลบไปไหนได้ เขาจึงรีบหันหลังให้ทันที “เผียะ” เสียงตีดังขึ้น หลังของเขาถูกตีเข้าอย่างแรงจนแทบรู้สึกหายใจไม่ออก
ในขณะนี้ ตำรวจมือขวาก็ตกตะลึงตื่นขึ้นมา พุ่งเข้าไปหาตัวเขาโซซัดโซเซ
เฉินตงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงใช้หัวพุ่งชนเข้าใส่ตำรวจด้วยความโมโห
ตุ๊บ !
เพล้ง……
ตำรวจถูกพุ่งชนจนตัวเอียง หัวของเขากระแทกกับกระจกรถจนแตก
จากนั้น เขาก็ใช้เท้าเตะไปยังตำรวจคนที่ถูกเขาโจมตีในตอนแรก
ในช่วงคับขัน เขาพุ่งเข้าจู่โจมอย่างต่อเนื่อง
เขาหวดไม้กระบองใส่ตำรวจวัยกลางคนด้วยความโมโหสองสามครั้ง และตะโกนออกมาอย่างดุร้ายราวกับสัตว์ป่า จากนั้นเขาจึงกัดเข้าที่ใบหูของตำรวจที่ทำหน้าที่ขับรถ
“โอ๊ย !”
เสียงกรีดร้องดังตามมาทันที คนขับรถที่ได้รับบาดเจ็บรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
มือของเขาตบลงบนพวงมาลัยสองครั้งด้วยสัญชาตญาณ
เอี๊ยด……
รถวิ่งคนเคี้ยวราวกับงูเลื้อย รถลอยขึ้นเหนือพื้นดินแล้วพุ่งไกลออกไปอีกสิบกว่าเมตร จากนั้นก็พลิกคว่ำและกลิ้งต่อไปอีกสิบกว่าเมตร แล้วจึงหยุดนิ่ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้รถตำรวจอีกสองสามคันที่ขับตามหลังมาไม่ทันได้ตั้งตัว
เสียงเบรกรถอย่างกะทันหันดังขึ้นต่อเนื่อง รถตำรวจจอดห่างออกไปสิบกว่าเมตร
ตุ๊บ !
เฉินตงใช้เท้าเตะประตูรถออกมา
เขาออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล แล้วลุกยืนขึ้น บนตัวของเขาเต็มไปด้วยเศษกระจกที่แตกละเอียด บนหัวของเขามีเลือดสดที่ค่อยๆ ไหลอาบแก้มลงมา
ในช่วงชุลมุนเช่นนี้ เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า แผลนี้เกิดขึ้นจากการที่ถูกตำรวจวัยกลางคนตีด้วยกระบอง หรือเกิดจากการกระแทกขณะที่รถพลิกคว่ำกันแน่
เลือดสีแดงสดทำให้ตาพร่ามัว เฉินตงพยายามกะพริบตาถี่ๆ สองครั้ง จากนั้นจึงวิ่งหนีเข้าไปในเขตทุรกันดารข้างถนนโดยไม่ได้สนใจเส้นทาง
หากเขาหนีรอด ก็อาจจะยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่ถ้าหากหนีไม่รอด เขาคงจะต้องตายอย่างแน่นอน !
แต่ทว่า การที่มือทั้งสองข้างของเขาถูกใส่กุญแจมืออยู่ ทำให้ความเร็วในการวิ่งของเขาลดลงไปมาก
ด้านหลังมีเสียงตะโกนด้วยความโมโหดังตามมา
หลังจากที่ตำรวจวัยกลางคนปีนออกมาจากในรถได้สำเร็จ เขาก็รีบตะโกนเรียกเหล่าตำรวจปลอมที่อยู่ในรถคันที่เหลือ ให้รีบวิ่งตามเฉินตงไปทันที
“โธ่เว้ย แกหนีไม่รอดหรอก แกหนีไม่รอดหรอก !”
เฉินตงไม่ได้สนใจ ใบหน้าของเขาเย็นชา แววตาของเขามั่นคง
วิ่ง !
รีบวิ่ง !
“จะต้องหนีรอดให้ได้ !” เสี่ยวหยิ่งยังรอให้ฉันกลับไปถ่ายภาพแต่งงานกับเธออยู่นะ และยังรอให่กลับไปจัดงานแต่งงานกับเธออยู่นะ”
“คุนหลุน ฉินเย่ กูหลัง ท่านหลง พวกเขาเองก็ยังรอที่จะมาร่วมงานแต่งงานของฉันอยู่”
“แม่เองก็ยังรอฉันอยู่ที่บ้าน และยังรอที่จะได้อุ้มหลานอยู่”
ภาพของทุกคนปรากฏขึ้นในหัวของเฉินตง ทำให้เขาเกิดความคิดที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ที่จะหนีไปให้ได้
ในครอบครัวยังมีอีกหลายคนที่ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่
ครอบครัวของเขาในตอนนี้ เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันมาแสนนาน
จะถูกจับไม่ได้ และจะตายไม่ได้ด้วย
เพราะฉะนั้นจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ !
เลือดบนศีรษะไหลอาบลงมา จนใบหน้าว๊กหนึ่งของเขาถูกย้อมเป็นสีแดงสด ทำให้เขามองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก ทำให้การก้าวเดินของเขายิ่งยากลำบากมากขึ้น
เฉินตงในตอนนี้ ดูเย็นชาและสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ
แต่ใบหน้าที่โชกไปด้วยเลือดของเขา ดูแล้วช่างรู้สึกน่ากลัวเสียจริงๆ
สัตว์ร้ายนั้นไม่น่ากลัว แต่สัตว์ร้ายที่ยังคงทำตัวให้นิ่งสงบได้แม้ในเวลาที่คับขันและต้องเผชิญกับความตายต่างหากที่น่ากลัว
ในเขตทุรกันดาร ท้องฟ้ามืดมิด เส้นทางเต็มไปด้วยความขรุขระ
ด้านหลังมีเสียงตะโกนด้วยความโกรธและเสียงก่นด่าดังไล่หลังมาราวกับกระแสคลื่น
เสียงฝีเท้าที่กระชั้นชิดเข้ามา ดังอื้ออึงอยู่ในหู
ตุ๊บ !
เฉินตงเดินโซเซแล้วล้มลงกับพื้น
ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยโคลน
“ลุกขึ้น รีลุกขึ้นเร็ว……”
เฉินตงพยายามออกแรงอย่างหนัก เขาใช้ศีรษะที่มีเลือดไหลอาบอยู่ดันลงไปที่พื้น เพื่อพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
ดวงตาของเขาขุ่นมัวเพราะเลือด
บวกกับท้องฟ้าที่มืดมิด ทำให้เฉินตงมองไม่เห็นอะไรเลย
เขาวิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ที่กำลังจะตาย
ขาของเขาอ่อนแรง ทำให้เขาล้มติดต่อกันหลายครั้ง
แต่เขาเองก็พยายามพยุงตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมาใหม่
ตอนที่เขาล้มลงไปเป็นครั้งที่สี่
เฉินตงกัดฟัน แล้วใช้หัวดันไปที่พื้นอีกครั้ง เขากัดฟันแล้วพยายามประคองตนเองให้ลุกยืนขึ้นมาใหม่
แต่ด้านหลังกลับมีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมา
ทันใดนั้น เฉินตงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“ไอ้บ้าเอ๋ย ฉันจะดูซิว่าแกจะหนีไปไหนได้”
ตุ๊บ !
แทบจะในเวลาเดียวกัน เฉินตงรู้สึกเหมือนมีไม้กระบองฟาดลงมาที่ท้ายทอยของเขาอย่างแรงอีกครั้ง
ร่างกายของเขาฟุบลงไปที่พื้นทันที
สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ ลดถอยลง
จนในที่สุด ก่อนที่ความทรงจำของเขาจะเลือนหายไป
เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่น แล้วพึมพำออกมาว่า : “เสี่ยวหยิ่ง……ผม ดูเหมือนว่า……จะต้องผิดคำสัญญาแล้ว……”
……
ภายในโรงแรม
บรรยากาศราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่
พวกของกู้ชิงหยิ่งทั้งสามคนนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ และกระสับกระส่าย
พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการนั่งรออย่างเงียบๆ
สิ่งนี้ทำให้ความกังวลและความกลัวของทั้งสามคนค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
กู้ชิงหยิ่งร้องออกมาจนสิ้นเสียงหลายต่อหลายครั้ง
คุนหลุนกับกูหลังเองก็นั่งกำหมัดแน่น ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
คุนหลุนเอาแต่เหลือบมองโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
แต่ทว่าจอมือถือกลับมืดสนิทอยู่ตลอดเวลา
เขารู้ดีว่า ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด คือช่วงเวลาที่เฉินตงเพิ่งจะถูกจับตัวไปได้เพียงไม่นาน
อาจจะภายในครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง
แต่ไม่ควรที่จะนานเกินไป
แต่ทว่าตอนนี้……เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว !
ตระกูลเฉินเองก็ยังไม่ส่งข่าวกลับมา
ก๊อกๆๆ !
จู่ๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
คนทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างก็สะดุ้งพร้อมกันทันที
ใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งเต็มไปด้วยความตกตะลึง
แต่คุนหลุนกลับแสดงท่าทีสงสัยออกมา เขาส่งสัญญาณให้กู้ชิงหยิ่งยืนอยู่ที่เดิม และให้กูหลังคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ กู้ชิงหยิ่ง
ตระกูลฉินลงมือกับเฉินตงที่ไห่ย่า
ตอนนี้พวกเขาจึงต้องอยู่ในไห่ย่าด้วยความระมัดระวัง
จากนั้น เขาก็ค่อยๆ เดินตรงไปที่ประตู
“ใคร ?”
“ฉันเอง !”
เสียงที่ดังมาจากด้านนอกประตู เป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นเคยแต่เต็มไปด้วยความอ่อนแรง
ทำให้คนทั้งสามที่อยู่ในห้องรู้สึกตื่นเต้นดีใจและดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
กู้ชิงหยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เธอไม่สนใจการส่งสัญญาณจากคุนหลุนเมื่อครู่ รีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปนอกห้องทันที