กู้ชิงหยิ่งรู้ว่าเฉินตงเป็นคนรวย
ผู้ชายคนนี้ไม่เคยตระหนี่ขี้เหนียวกับเธอและคนรอบข้าง
แต่คนที่พร่ำบอกอยู่ตลอดว่าจะซื้อรถ แต่ก็อาศัยรถคนอื่น และยังไม่ยอมซื้อมันสักที
จู่ๆก็มาซื้อรถบูกัตติเวย์รอน ?
รถคันนี้ ราคาเริ่มต้นก็ไม่ต่ำกว่า 25 ล้าน!
จากที่รู้จักกับเฉินตงมา แม้ว่าเขาจะมีเงิน โดยหลักทั่วไปแล้ว คงไม่ซื้อรถที่มีราคาแพงแบบนี้แน่
เงินสำหรับเฉินตงแล้ว มันมีค่ามาก
ที่เขาทุ่มให้กับคนรอบข้าง เป็นเพราะคนรอบข้างของเขานั้นสำคัญกว่าเงิน
แต่กลับตัวเองแล้ว เฉินตงก็ยังคงขี้เหนียวอยู่
ความสงสัยเพิ่มมากขึ้น ในสมองมีแต่ความไม่เข้าใจและงุนงงมากขึ้นไปอีก
เมื่อกู้ชิงหยิ่งเดินมาถึงชั้นล่างของบริษัท
เสียงแสบแก้วหูที่คำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนน
รถบูกัตติเวย์รอนราวกับสายฟ้าฟาด ถูกมองไปทั่วทั้งถนน และสุดท้ายก็จอดลงตรงหน้าของกู้ชิงหยิ่ง
“ชิงหยิ่ง รถผมเป็นยังไง?”
เฉินตงลงจากรถ เพื่อเปิดประตูให้กับกู้ชิงหยิ่งอย่างที่สุภาพบุรุษควรทำ
“ก็ดีค่ะ”
ดวงตาของกู้ชิงหยิ่งเป็นประกาย แล้วก็ขึ้นไปนั่งในรถ
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ของรถบูกัตติเวย์รอนดังขึ้น กู้ชิงหยิ่งก็เอ่ยถามว่า:“คนขี้เหนียวแบบคุณ คิดยังไงถึงได้ซื้อรถที่ราคาแพงแบบนี้ได้คะ?”
“เงิน หามาได้ก็ต้องใช้มันไป”
เฉินตงที่กำลังขับรถอยู่ ก็พลันหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน
แววตาของกู้ชิงหยิ่งก็เปลี่ยนไป จ้องมองไปที่เฉินตง
ในตอนนี้ เธอเองกลับรู้สึกแปลกประหลาดในใจ
ต่อให้เฉินตงที่อยู่ตรงหน้า กับเฉินตงที่เธอรู้จักจะเหมือนกันมาก
แต่ความผิดปรกติเล็กน้อยนี้ กลับเรียกความสนใจที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
“ทำไมครับ?”
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของกู้ชิงหยิ่ง เฉินตงก็เอ่ยถามไปด้วยความสงสัย
“เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ”
กู้ชิงหยิ่งส่ายหัว หัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย :“เออใช่ ไปเยี่ยมฉินเย่ คุณเตรียมของเยี่ยมไปด้วยหรือเปล่าคะ?”
หลังจากที่ห่างหายไปนาน การไปเยี่ยมฉินเย่อีกครั้ง ยังไงก็ต้องมีของเยี่ยมไปบ้าง มันคือมารยาทและน้ำใจ
“เตรียมแล้วครับ” เฉินตงตอบด้วยรอยยิ้ม
ณ โรงพยาบาลลี่จิง
ฉินเย่ยังคงนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีผ้าพันแผลที่ยังไม่ได้ถูกแกะออก
แต่สภาพในตอนนี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อย่างน้อยก็ยังพอลุกลงจากเตียงแล้วยืดเส้นยืดสายเป็นเวลาสั้นๆได้
นอนอยู่บนเตียง กินแอปเปิลที่จางหยู่หลันปอกให้
ฉินเย่มองไปยังจางหยู่หลันที่อยู่ข้างเตียงอย่างเจ็บปวด ทำให้ไม่รับรู้รสชาติของอาหาร
ช่วงนี้จางหยู่หลันคอยมาอยู่ดูแลฉินเย่ที่โรงพยาบาล และในช่วงที่ดูแลนี้อยากจะพักผ่อนก็เป็นไปได้ยาก
ใบหน้าที่เคยสวยสดงดงาม ตอนนี้ก็อิดโรยและซีดเซียว ขอบตาก็คล้ำดำ
“หยู่หลัน พักสักหน่อยเถอะ” ฉินเย่เอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน
“ฉันไม่เหนื่อยค่ะ” จางหยู่หลันส่ายหัว ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ยากที่จะเก็บซ่อนความอิดโรยนั้นได้
เธอยื่นแอปเปิลที่ปอกเสร็จแล้วให้กับฉินเย่ :“เพิ่มวิตามินซีอีกหน่อยนะคะ มันดีต่อสุขภาพ”
ฉินเย่ไม่ได้รับมันไว้
แต่กลับส่ายหัว ยิ้มอย่างขมขื่น:“อันที่จริงแล้ว ผมไม่มีค่าพอที่คุณจะมาทำดีกับผมแบบนี้”
“เพราะอะไรคะ?”ท่าทีของจางหยู่หลันนิ่งไป
“ไม่มีเหตุผลอะไร ก็แค่ไม่มีค่าพอเท่านั้น”
ฉินเย่ส่ายหัวไปมา ท่าทางจริงจัง :“คุณกลับไปเถอะ ตอนนี้ผมไม่ต้องการให้คุณมาดูแลอีกแล้ว”
“แต่ว่า……”
จางหยู่หลันรู้สึกน้อยใจ ดวงตาเริ่มแดง
ท่าทีของฉินเย่เปลี่ยนไปในทันที มันทำให้เธอปรับตัวไม่ทัน
มองดูฉินเย่ที่มีท่าทีที่เย็นชา เธอรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งทรวงอก
แต่แล้ว
“ในตอนที่ผมยังอารมณ์ดีอยู่ คุณไปเสียเถอะ ไม่งั้นอย่าโทษผมว่าผมไล่คุณละกัน”
ฉินเย่นอนพิงไปข้างหลังมีมือสองข้างหนุนศีรษะ และยิ้มอย่างเย็นชา:“คุณมาดูแลปรนนิบัติเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อตัวเอง แบบนี้ทำไม ?”
“ฉินเย่……” จางหยู่หลันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้ เพื่อดูแลฉินเย่แล้ว เธอเองก็แทบจะไม่ได้นอน ต้องคอยเช็ดร่างกาย คอยให้น้ำเกลือ และแม้กระทั่งช่วยพยุงฉินเย่ตอนเข้าห้องน้ำ เป็นเธอที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นเฉินเย่เองหรือฐานะทางครอบครัวของเธอเอง เป็นเรื่องง่ายที่จะจ้างใครสักคนมาคอยดูแล
แต่ที่จางหยู่หลันกังวลคือกลัวพยาบาลจะไม่สามารถดูแลฉินเย่ได้อย่างดี เพราะฉะนั้นเธอถึงต้องมาดูแลด้วยตัวเอง
ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องมาเหนื่อยแบบนี้
หญิงสาวตระกูลจางที่ถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก กลับต้องมารับหน้าที่ดูแลคนป่วย พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
แต่นี่ จางหยู่หลันก็กำลังทำมันอยู่ !
เพราะคนที่เธอดูแล คือฉินเย่
“ไปให้พ้น!”
สีหน้าเย็นชาของฉินเย่ หยุดคำพูดทุกคำของจางหยู่หลัน
จางหยู่หลันตกใจร่างกายสั่นไหว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
ในที่สุด เธอก็วางแอปเปิลและมีดหั่นผลไม้ในมือลง ฝืนยิ้มที่อ่อนโยนออกมา :“คุณพักผ่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันค่อยมาเยี่ยมคุณใหม่”
มองไปยังจางหยู่หลันที่ค่อยๆเดินออกไป ฉินเย่ที่มีท่าทีเคร่งขรึม แต่ดวงตาของเขากลับสั่นไหว
เมื่อประตูห้องถูกปิดลง
ปัง!
ฉินเย่ก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเอง
“เอาแล้วไง คราวนี้เล่นแรงไปจริงๆ !”
ทางเดินของโรงพยาบาล
หลังจากที่ออกจากห้องคนป่วย อารมณ์ของจางหยู่หลันก็ถูกปลดปล่อยออกมาราวกับเขื่อนแตก
ดวงตาที่แดงก่ำ คลอไปด้วยน้ำตา
เธอก้มหน้าลง ไม่กล้าให้ใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ท่าทีที่เปลี่ยนของฉินเย่ ทำให้เธอรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด
ราวกับมีดคมๆ แทงเข้าไปที่หัวใจของเธอ
พอดีกับจังหวะนี้
“หยู่หลัน เกิดอะไรขึ้น?”
กู้ชิงหยิ่งกับเฉินตงเดินมาทางห้องผู้ป่วย ก็ชนเข้ากับจางหยู่หลันที่กำลังเดินออกมาพอดี
แม้ว่าตระกูลจางกับเฉินตงจะมีความบาดหมางกันอยู่
แต่ในเมื่อฉินเย่ได้เลือกจางหยู่หลันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเฉินตงหรือกู้ชิงหยิ่ง ก็ไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา
จางหยู่หลันที่เสียใจจนร้องไห้ ตัวสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ก็มีท่าทีลนลาน
เธอหันหลังกลับ รีบปาดน้ำตาออก แล้วเอ่ยพูดไปว่า :“ไม่มีค่ะ ไม่มีอะไร ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
กู้ชิงหยิ่งกับเฉินตงได้แต่จ้องมองหน้ากันไปมา
จากนั้น จางหยู่หลันที่มีท่าทีที่อิดโรย ดวงตาแดงก่ำ หันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้
“พวกคุณมาเยี่ยมฉินเย่ใช่ไหมคะ? เขาอยู่ในห้อง ฉันกลับก่อนนะ ขอโทษด้วยค่ะ”
พอพูดจบ ก็เดินผ่านเขาสองคน แล้ววิ่งออกไป
“สงสัยเจ้าฉินเย่ คงรังแกหยู่หลันแน่ๆ”
กู้ชิงหยิ่งย่นจมูกลง รู้สึกไม่พอใจ
“เดี๋ยวลองถามดูก็รู้” เฉินตงยักไหล่
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ฉินเย่เหม่อลอยมองออกไปยังนอกหน้าต่าง โทรศัพท์ในมือกำลังเล่นเพลง 《รักนี้เป็นนิรันดร์》
“ฉินเย่ หยู่หลันถึงกับร้องไห้ นายยังมีอารมณ์มาฟังเพลงอีก ?”
กู้ชิงหยิ่งรู้สึกโกรธเล็กน้อย วางของเยี่ยมลง เอ่ยพูดเสียงต่ำไปว่า :“เขาคอยดูแลนายมานานขนาดนี้ นายยังจะไปรังแกเธออีก?”
“ขนาดพ่อฉันเองฉันยังฆ่ามาแล้วเลย กับแค่คนคนเดียวฉันจะไม่กล้ารังแกเลยเชียวเหรอ?”
ฉินเย่หันมาแล้วชำเลืองมองไปยังกู้ชิงหยิ่ง
เพียงคำพูดเดียว ทำให้กู้ชิงหยิ่งหน้าดำหน้าแดง เงียบเหมือนคนใบ้
แต่เฉินตงกลับวางของเยี่ยมลง แล้วนั่งลง
“ยังไงนายก็เป็นผู้ชาย ยอมผู้หญิงเขานิดหน่อยจะเป็นไรไป? ในเมื่อตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ?”
ตาของฉินเย่เป็นประกาย แล้วเหลือบมองไปที่เฉินตงอย่างประหลาดใจ :“พี่ตง พี่จริงจัง ?”
เฉินตงท่าทีนิ่งไป
จากนั้นก็พยักหน้ารับ :“ไม่อย่างนั้น ?”
ฉินเย่หลุดหัวเราะออกมา นอนหนุนหมอนแล้วพูดไปว่า :“ช่างมันเถอะ ฉันมันเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อตัวเอง จะจริงจังได้ยังไง”
“การฆ่าพ่อแม้มันจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องจะต้องเอามาโยงเข้ากับเรื่องนี้” เฉินตงกล่าวปลอบ
หางตาของฉินเย่ก็กระตุก
เขามองจ้องไปที่เฉินตงอย่างพินิจพิเคราะห์ เอ่ยถามอย่างสงสัยไปว่า :“พี่ตง พี่ไม่น่าจะพูดอะไรแบบนี้ได้ ?”
คำถามง่ายๆ
แต่ทำให้ท่าทีของเฉินตงเปลี่ยนไป
ภายในห้องผู้ป่วย ก็เงียบกริบขึ้นในทันที