The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา – บทที่ 286 อารมณ์อันวุ่นวายสับสน

บทที่ 286 อารมณ์อันวุ่นวายสับสน

ยามพลบค่ำ

เฉินตงพากูหลังมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ตกลงกันไว้กับเฉินหยู่เฟย

นี่เป็นห้องอาหารแบบส่วนตัวระดับไฮเอนด์ ซึ่งหรูหราดูมีระดับอย่างยิ่ง

ดนตรีไพเราะ แสงไฟงามระยับจับตา

การเล่นเฉดสีรอบ ๆ ห้อง ช่วยขับเน้นบรรยากาศให้โดดเด่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

แต่ภายในร้านอาหาร ณ เวลานี้กลับเงียบสงบ เสียงดนตรีบรรเลงซ้ำวนไปมา ทว่ากลับไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว

“คุณเฉิน โปรดตามผมมาทางนี้ครับ”

พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเขา

“นายรู้จักฉันด้วยเหรอ?” เฉินตงถามด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

พนักงานต้อนรับยกยิ้มเล็กน้อย: “คืนนี้ คุณหนูเฉินได้จองร้านอาหารแห่งนี้ไว้ทั้งร้านแล้วครับ คนเดียวที่สามารถเข้ามาในร้านได้ จะต้องเป็นคุณเฉินอย่างแน่นอน”

ขณะที่พูด เขาก็มองไปที่กูหลัง: “ขออภัยครับคุณผู้ชายท่านนี้ คุณหนูเฉินเชิญคุณเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น รบกวนคุณไปรออยู่ด้านนอกนะครับ”

กูหลังพยักหน้ารับรู้ หันหลังแล้วเดินไปที่เก้าอี้ซึ่งอยู่หน้าประตูเพื่อนั่งรอ

เดิมทีเขามีหน้าที่มาคุ้มครองเฉินตง ดังนั้นจึงไม่สำคัญ ว่าเขาจะเข้าไปในร้านอาหารได้หรือไม่

“เตรียมอาหารเย็นให้เพื่อนของฉันชุดหนึ่ง รหัสคือเลข 6 หกตัว”

เฉินตงยื่นบัตรธนาคารไปให้พนักงาน แล้วจึงเดินเข้าไปในร้านอาหาร

ร้านอาหารอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ

เฉินหยู่เฟยที่อยู่ในชุดราตรียาวสีแดงสดนั่งอยู่ที่โต๊ะ ด้านหลังของเธอ เผยช่วงเอวทรงS-curveอันงดงามสมบูรณ์แบบ

คิ้วตางดงาม เผยความสง่ามีราศีอย่างถึงที่สุด

เปรียบเสมือนดั่งนกยูงผู้สูงศักดิ์อย่างไรอย่างนั้น

นิ้วเรียวงามขาวละเอียดดังหยกค่อย ๆ ลูบที่ขอบแก้วไวน์แดงอย่างเชื่องช้า

ภาพฉากนี้ ภายใต้การเสริมของแสงและดนตรีที่คลออยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างดูงดงามลงตัวดุจดั่งภาพวาดของจิตรกรเอกชั้นหนึ่ง

ไม่เว้นแม้แต่เฉินตง ที่แค่ได้เห็นเพียงแวบแรก ก็ยังอดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้

ต้องบอกตรง ๆ ว่า ต่อให้ไม่มีผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างตระกูลเฉิน แต่ถ้าเฉินหยู่เฟยอยากจะเข้าสู่วงการบันเทิงจริง ๆ ด้วยความงดงามของเธอ ก็เพียงพอที่จะเป็นอาวุธที่จะช่วยให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว

“พี่ตง”

เมื่อเฉินหยู่เฟยเห็นเฉินตง คิ้วของเธอก็ยกสูง เผยรอยยิ้มกว้างทันที

ในดวงตาที่มืดสลัวและลึกล้ำ พลันปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมาในพริบตา

ทุกการกระทำช่างดูเหมือนว่า เธอเป็นเพียงสาวน้อยที่แสนจะไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น

แต่ในสายตาของเฉินตงแล้ว ในใจของเขากลับนึกเย้ยหยันไม่หยุด

เขาเดินไปที่โต๊ะอย่างเฉยเมย หลังจากนั่งลง เขาก็ถามออกไปตรง ๆ ว่า “ที่เธอนัดฉันออกมากินข้าว สรุปว่าต้องการอะไรกันแน่?”

“ทำไมล่ะ? มีคนมาที่บ้านของพี่ แล้วเชิญพี่กินข้าวด้วยกันสักมื้อ จำเป็นต้องมีจุดประสงค์อะไรด้วยเหรอ?”

เฉินหยู่เฟยยิ้มอย่างไม่พอใจนัก ชี้ไปที่แก้วไวน์ที่อยู่ข้างหน้าเฉินตง แล้วพูดว่า : “นี่เป็นไวน์แดงเกรดพรีเมียมที่บ่มมานานหลายปีจนได้ที่ ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่สุดที่จะนำมาดื่ม หวังว่าพี่ตงคงจะไม่รังเกียจ ”

เฉินตงมองไปที่ไวน์แดงในแก้ว นิ่งสนิทไม่มีการแตะต้อง

“กลัวฉันจะวางยางั้นเหรอ?”

เฉินหยู่เฟยคล้ายจะมองความคิดของเฉินตงออก จึงยิ้มพลางหยิบแก้วไวน์ของเฉินตงขึ้นมา แล้วดื่มไวน์แดงในแก้วนั้นจนหมด

จากนั้น เธอก็ดื่มไวน์แดงในแก้วของตัวเองจนหมดไปอีกแก้วหนึ่ง

หลังจากเทไวน์ลงในแก้วเปล่าสองใบอีกครั้ง เธอก็กะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้พี่จะเชื่อได้รึยัง?”

เฉินตงนิ่งเงียบไม่ตอบ แต่ดวงตาของเขา กลับจับจ้องไปที่ขวดไวน์แดง

“พี่นี่ช่างสงสัยซะจริงน้า!”

เฉินหยู่เฟยถอนหายใจด้วยท่าทีจนใจ หยิบขวดไวน์ขึ้นมา แล้วยกกระดกเข้าปากไปตรง ๆ แบบอึกใหญ่ ๆ

การดื่มไวน์แดงในลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นการดื่มที่หยาบคายมากอย่างเห็นได้ชัด

แต่เฉินหยู่เฟยที่ทำเรื่องนี้ออกมา กลับกลายเป็นการแสดงเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปในอีกรูปแบบหนึ่งแทน

เธอวางขวดไวน์ลง หยดไวน์แดงเป็นประกายค่อย ๆ ไหลหยดลงมาจากมุมปากของเธอ ด้วยฤทธิ์ของไวน์แดง เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น สร้างความรู้สึกว่าดูน่าสงสาร น่าเห็นใจให้แก่คนที่ได้พบเห็น

“ตอนนี้โอเคแล้วสินะ”

เฉินตงหยิบขวดไวน์ขึ้นมาอย่างใจเย็น เทไวน์แดงลงในแก้วของเขาไปแก้วหนึ่ง แกว่งแก้วสองสามครั้ง แล้วดื่มจนหมดในคราวเดียว

หลังจากได้ลิ้มรสชาติของไวน์แดงเข้าไปไม่กี่วินาที เขาก็พูดขึ้นช้า ๆ ว่า “เป็นไวน์แดงระดับยอดเยี่ยมจริง ๆ ”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว นี่เป็นระดับของสะสมเชียวนะ ฉันเอามันออกมาจากห้องเก็บไวน์ตระกูลเฉินเลยด้วย”

เฉินหยู่เฟยทำท่าทางเหมือนเด็กที่ทำความผิด ขยับเข้าไปจนใกล้เฉินตงด้วยอาการลับ ๆ ล่อ ๆ กระซิบพูดเสียงเบาว่า “ไวน์ขวดนี้ราคาหลายแสนเลยนะ ถ้าคุณย่ารู้เข้า ฉันคงโดนดุยกใหญ่เลยเชียวล่ะ”

เฉินตงแค่นเสียงเย็นชา: “ตอนนี้จะคุยธุระได้รึยัง?”

“ไม่มีธุระอะไรจริง ๆ”

เฉินหยู่เฟยมองเฉินตงอย่างไม่สบอารมณ์ รินไวน์แดงให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นจึงหั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเริ่มกิน

ผู้หญิงแบบนี้ จะแค่ชวนฉันออกมากินข้าวเฉย ๆ จริงน่ะเหรอ?

เฉินตงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่เริ่มดื่มและกินสเต๊กบ้าง

ในภัตตาคาร

เสียงเพลงไพเราะก้องกังวาน

แต่บนโต๊ะอาหาร กลับเงียบกริบไร้เสียงเจรจาพาที

มีเพียงเสียงมีดและส้อมกระทบจานอาหารเบา ๆ และเสียงคนทั้งสองกระทบโดนแก้วเป็นครั้งคราว

ในไม่ช้า ใบหน้างดงามของเฉินหยู่เฟย ก็เริ่มแดงเรื่อทั้งสองข้างแก้ม มีท่าทางคล้ายจะเริ่มเมานิดหน่อยแล้ว

“พี่ตง ฉันคิดว่าพี่หล่อมาก ๆ เลยนะ” เฉินหยู่เฟยเหมือนอาศัยช่วงที่ตัวเองเมา เปิดบทสนทนาขึ้นมาเองดื้อๆ

มือขาวดั่งหยกท้าวที่คาง มองหน้าเฉินตงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดวงตายิบหยีหรี่ลงจนเป็นรูปจันทร์โค้งสองเสี้ยว

“ดังนั้นเธอจะบอกว่า เธอชอบฉันว่างั้น?” เฉินตงตอบรับอย่างเฉยเมย

เฉินหยู่เฟยหัวเราะคิกคัก รินไวน์ให้ตัวเองอีกแก้ว แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด: “พี่พูดถูกจริง ๆ นั่นแหละ”

เคร้ง!

เฉินตงวางมีดและส้อมลง ขมวดคิ้วมองเฉินหยู่เฟยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา

ต่อให้เป็นประสบการณ์อ่านใจคน หรือการสังเกตนิสัยที่เขามี แต่ ณ เวลานี้ เขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจในตัวเฉินหยู่เฟยได้

ผู้หญิงคนนี้ แผนการลึกล้ำจนสุดจะหยั่งถึงจริงๆ!

เรียกว่าฉลาดกว่าเฉินเทียนหย่าง ไม่สิ ! ฉลาดกว่าเฉินเทียนเซิงเลยด้วยซ้ำ !

เฉินหยู่เฟยกำลังละเลียดไวน์แดง แกว่งแก้วไวน์ในมือไปมา คล้ายว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง ในลักษณะของคนที่พอเมาแล้ว จะพึมพำกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย

“ที่จริงแล้วน่ะนะ แม้ว่าฉันจะมีสถานะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฉิน แต่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีความหวังที่จะได้เป็นผู้นำตระกูล เหตุผลที่ฉันมีสถานะของผู้สืบทอดได้ อาจเป็นเพราะฉันเป็นที่รักใคร่ของคุณย่า ท่านเลยฝืนเอาสถานะนี้มาให้ฉันก็ได้ล่ะมั้ง ”

“ถึงขั้นที่ว่า ฉันเองยังรู้สึกเลยว่า คุณสมบัติของการเป็นผู้สืบทอดของฉัน ยังไม่ดีเท่าพี่เลยด้วยซ้ำ.… ฮะ ๆ ๆ ขอโทษที ฉันต้องขอพูดตรง ๆ เลยนะ พี่ที่ใครต่อใครในตระกูลเรียกกันว่าเป็นลูกสวะที่มีสิทธิ์สืบทอดตระกูล ฉันก็ยังสู้พี่ไม่ได้อยู่ดี ”

เฉินตงขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกอัดอั้น

คำว่าลูกสวะสองคำนี้ เขาไม่สนใจมันนักหรอก

เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เขาถูกด่า ถูกเหยียดหยามด้วยคำพูดแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว

แต่การได้ยินคำพูดนี้จากปากของเฉินหยู่เฟย มักทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ

เฉินหยู่เฟยเหมือนจะไม่รู้ถึงความไม่พอใจของเฉินตง ยังคงพร่ำพูดกับตัวเองต่อไป

“ในชีวิตนี้ของฉันนะ ความปรารถนาสูงสุดของฉัน ก็คือการได้เป็นดาราดังในวงการบันเทิง แค่นั้นฉันก็พอใจมากแล้ว มีคนตั้งนับหมื่นนับพันมาชื่นชม มันดีจะตายไปไม่ใช่เหรอ”

“นอกจากนี้ ตอนที่ฉันอยู่บ้านแล้วได้ยินพวกเขาพูดถึงพี่ตง ฉันก็รู้สึกว่าพี่ตงไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้สืบทอดได้หรอก แต่เมื่อฉันเจอพี่ตง ความคิดของฉันก็เปลี่ยนไปเลย”

ขณะที่พูด มือขวาของเฉินหยู่เฟยก็ดูคล้ายจะร่วงตกลงไปแบบไม่ตั้งใจ แต่มือนั้นกลับร่วงตกลงไปบนหลังมือของเฉินตงอย่างพอดิบพอดี

นิ้วหยกลูบไล้ที่หลังมือของเฉินตงเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันคิดว่า พวกทายาทที่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดในตระกูลพวกนั้น ก็ยังสู้พี่ตงไม่ได้เลยสักคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถหรือรูปลักษณ์ จะยังไงฉันกับพี่ตงต่างก็เป็นคนตระกูลเฉินทั้งคู่ แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเรา ก็ยังนับว่าห่างกันไกลโขอยู่ เพราะงั้นถ้าฉันจะชอบพี่ตง ก็ไม่น่าจะเป็นไรหรอกใช่มั้ยล่ะ?”

เพี๊ยะ!

เฉินตงใช้มือข้างหนึ่ง ปัดมือของเฉินหยู่เฟยออกไปทันที

เขายืนขึ้น จ้องเขม็งด้วยสายตาโกรธเคือง : “ฉันเคยเตือนเธอแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นศัตรูกับฉัน ก็อยู่ให้ห่าง ๆ ฉันไว้”

พูดจบ เฉินตงก็หันหลัง เตรียมจะเดินจากไป

แต่ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ความรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง ก็พุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างกะทันหัน

เขาตัวสั่นไหวโอนเอน รีบยื่นมือขวาไปจับเก้าอี้พยุงตัวไว้อย่างเร่งรีบ จ้องไปที่เฉินหยู่เฟยอย่างโกรธเกรี้ยว : “ไวน์นี่….. ”

เฉินหยู่เฟยแย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ชี้มือไปที่แก้วไวน์: “ฉันไม่ทำให้ไวน์แดงเสียหายสิ้นเปลืองไปเปล่า ๆ หรอกนะ แต่ว่าลิปสติกของฉันนี่ ก็ไม่แน่…… ”

ขณะที่พูด เธอก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินไปข้าง ๆ เฉินตง แล้วเป่าลมร้อนใส่หูของเขา: “พี่ตง ยกโทษให้ฉันด้วยนะ ฉันชอบพี่มากเลยล่ะ เพราะงั้นคืนนี้ ฉันจะกินพี่ให้เกลี้ยงเลย”

“ไร้ยางอาย!”

เฉินตงกัดฟัน ปากก็หลุดคำด่าออกมาคำหนึ่ง

เขาอยากไปจากที่นี่ แต่อาการเวียนหัวกลับเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่าประตูระบายน้ำที่ถูกเปิดออก ไร้หนทางหยุดยั้งต้านทาน

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือคลื่นความร้อนบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในท้องของเขา

ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าโลกกำลังหมุน แสงไฟในร้านอาหารที่สะท้อนประกายแสงออกมา ยิ่งดูมีเสน่ห์ พราวระยับจับตามากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินหยู่เฟยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ่งดูงดงามดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ได้พบเห็นรู้สึก…..ตะลึงงันลุ่มหลง เกิดอารมณ์สับสนว้าวุ่นไม่หยุด

“อยู่ค้างด้วยกันเถอะนะ”

เฉินหยู่เฟยยิ้มหวาน ยื่นมือออกไปโอบเอวของเฉินตงไว้อย่างนุ่มนวล แล้วดึงเข้ามาเบา ๆ

เฉินตงแขนขาอ่อนแรง เสียการทรงตัวในทันที ทรุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินหยู่เฟย วิสัยทัศน์ตรงหน้าก็ค่อย ๆ เลือนรางลงไปทุกที ๆ …..

The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา

The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา

เฉินตงกับหวางหนันหนันแต่งงานกัน3ปี ถูกภรรยาที่ยกน้องชายเป็นหัวแก้วหัวแหวนบีบคั้น แล้วยังถูกดูถูกเหยียดหยาม วันหนึ่งได้กลับตระกูลมหาเศรษฐี เขาสาบานว่าต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ต้องทำให้คนที่ดูถูกเขาเสียใจกับสิ่งที่ทำ ให้คนที่เหยียดหยามเขาต้องชดใช้อย่างสาสม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท