ตระกูลฉิน มีเพียงฉินเห้อเหนียนเท่านั้นที่มาถึงก่อน
ฉินเห้อเหนียนสวมชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ ตาแดงก่ำบวมช้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือทนายความคนหนึ่ง ที่ทำงานรับใช้ตระกูลฉินมาเป็นเวลานานหลายปี
เมื่อพวกเฉินตงมาถึง ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามขั้นตอนที่จัดเตรียมไว้ทั้งหมด
ด้วยการจัดการของเฉินตง สัญญาทั้งหมด ก็พร้อมรับการลงนามอย่างไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก
ตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของซีสู่มีธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย ที่อยู่ภายใต้ชื่อของตระกูลจนนับไม่ถ้วน
แม้ว่าสัญญาจะลงนามทีละฉบับ แต่ปริมาณของงานก็ไม่น้อยเลย
รอจนเซ็นสัญญาหุ้นส่วนร่วมลงทุนทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็ปาเข้าไปจนสายตะวันโด่งแล้ว
ฉินเห้อเหนียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วโค้งคำนับให้เฉินตงด้วยท่าทางอกสั่นขวัญหาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“คุณเฉิน นับจากนี้ไป คุณสามารถวางใจได้เลยว่า ตระกูลฉินจะไม่มีใจคิดเป็นอื่นกับคุณอีกอย่างแน่นอนครับ”
นี่เป็นคำกำชับหนักแน่นของคุณท่านใหญ่ฉิน ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ไม่ว่าในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจสักแค่ไหน แต่ฉินเห้อเหนียนก็ไม่ใช่คนโง่!
ต้องไปพึ่งพาอาศัยคนอื่น ก็ยังดีกว่าต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
ต่อให้ความรุ่งโรจน์ที่เคยมีต้องหดหาย แต่ถ้าฝืนยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกไปได้ ตระกูลฉินก็จะยังคงอยู่
“อื้ม”
เฉินตงตอบรับเรียบ ๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอกลับตระกูลฉินก่อนนะครับ ยังมีงานศพของคุณพ่อที่ต้องจัดการอีก”
ฉินเห้อเหนียนรีบเก็บสัญญา แล้วพาทนายความจากไปทันที
“จริงสิ!”
ทันใดนั้น เฉินตงก็ส่งเสียงขึ้นมาหยุดฉินเห้อเหนียนไว้อย่างกะทันหัน: “นับตั้งแต่วันนี้ไป บริษัทการเงินของตระกูลฉิน มอบให้ฉินเย่เป็นคนบริหารจัดการ นายไปย้ายคนตระกูลฉินของนาย ออกจากบริษัทไปให้หมดภายในหนึ่งวันซะ”
ฉินเห้อเหนียนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ฝีเท้าชะงักไปชั่วขณะ
กระทั่งตัวฉินเย่เอง ก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้
“เข้าใจแล้วครับ คุณเฉิน” ฉินเห้อเหนียนกัดฟันกรอด ตอบรับด้วยแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น
การที่ตระกูลฉิน สามารถนั่งในตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับท็อปได้ เหตุผลที่จริงนั้น
ก็คือการพึ่งพาบริษัททางการเงิน หรือพูดแบบตรง ๆ ก็คืออาศัยการเทรดเดอร์ระดับเทพเซียนของฉินเย่ในเวลานั้น จนสามารถสร้างผลกำไรนับหมื่นล้านได้นั่นเอง
ธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถือเป็นกิ่งก้านสาขาย่อยของตระกูล ในขณะที่บริษัทการเงินต่างหาก ที่เป็นกระดูกสันหลังที่แท้จริงของตระกูลฉิน
ฉินเห้อเหนียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้อง บังเกิดความเงียบงันขึ้นมาทันที
ฉินเย่ถามเฉินตงด้วยความตื่นตะลึง : “พี่ตง บริษัทการเงินของตระกูลฉิน เป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ด้านการเงิน คุณจะให้ผมเป็นคนบริหารจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“มีปัญหาอะไรล่ะ? เดิมทีบริษัทการเงินตระกูลฉิน ก็เพราะตอนนั้น นายเป็นคนไปดิ้นรนต่อสู้จนสามารถขึ้นไปยืนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จตอนนี้ให้ไปอยู่ภายใต้การบริหารของนาย ก็นับได้ว่าเป็นการคืนสู่เจ้าของเดิมไม่ใช่รึไง?”
เฉินตงยิ้ม หันไปมองเฉินทง: “เฉินทง ช่วยเตรียมเครื่องบินให้ฉันด้วย เราจะกลับกันเลย”
“หา?!”
เฉินทงรู้สึกเหนือคาดไปมาก: “คุณชาย นี่คุณจะไปจากซีสู่เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ? จูเก่อชิงเพิ่งโทรมาเมื่อครู่ อยากจะเชิญคุณไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลจูเก่อในคืนนี้น่ะครับ”
“ไม่ไปแล้วดีกว่า อาหารในงานเลี้ยงตระกูลเขา จะไปอร่อยกว่าอาหารที่ภรรยาฉันทำให้กินได้ยังไงกันล่ะ?”
เฉินตงลุกขึ้น แล้วเดินจากไปทันที
เฉินทงตกตะลึงจนพูดไม่ออก คุณชายนี่…. เข้าใจอะไรผิดกับงานเลี้ยงของตระกูลหรือเปล่า?
งานเลี้ยงตระกูล ไม่ใช่แค่การมากินข้าวร่วมกันง่าย ๆ แล้วจบกันไปแค่นั้นหรอกนะ!
สัญชาตญาณหนึ่งที่อยู่ลึกๆ สั่งการให้เฉินทงมีความคิดจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเขาอีกสักครั้ง
ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะโยนโอกาสสานสัมพันธ์กับตระกูลจูเก่อ ซึ่งตอนนี้อยู่ในตำแหน่งผู้ที่ร่ำรวยที่สุดทิ้งไป
ในฐานะหัวหน้าผู้ดูแลจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ภายในตระกูลเฉินแห่งซีสู่ เฉินทงย่อมรู้ดีว่า การที่ตระกูลจูเก่อจัดงานเลี้ยง แล้วเชิญเฉินตงไปร่วมงานด้วยแบบนี้ มันมีความหมายว่าอะไร
อีกทั้งด้วยความเย่อหยิ่งของตระกูลจูเก่อ แม้แต่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจในซีสู่ ก็ยังยากจะได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลนี้
นี่นับเป็น “การแสดงมารยาท” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลจูเก่อแล้ว!
แต่แล้ว ก็มีมือใหญ่ ๆ ข้างหนึ่ง มาวางลงบนไหล่ของเฉินทงอย่างกะทันหัน
คุนหลุนยิ้มพลางพูดว่า “ในสายตาของคุณชาย งานเลี้ยงอันหรูหราของตระกูลจูเก่อ ยังสู้บะหมี่น้ำจืดที่ภรรยาทำไม่ได้เลย ไปเตรียมเครื่องบินเถอะ”
เฉินทงแอบเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็รีบไปจัดเตรียมแผนการเดินทางอย่างรวดเร็ว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเฉินตงก็ไปที่สนามบิน แล้วขึ้นเครื่องบินพิเศษเพื่อเดินทางกลับ
ที่วิลล่าเขาเทียนซาน
ในห้องครัว ไฟเตาลุกโชนอยู่อย่างเต็มกำลัง
ท่านหลง ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการเรื่องต่าง ๆ ในบริษัทไท่ติ่ง
เมื่อรู้ว่าเฉินตงกำลังเดินทางกลับบ้าน กู้ชิงหยิ่งจึงคิดจะทำอาหารเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเฉินตงสักโต๊ะหนึ่งเต็ม ๆ
“เสี่ยวหยิ่ง ให้ฉันทำเองดีกว่านะ”
ฟ่านลู่เห็นกู้ชิงหยิ่งที่ยุ่งจนมือเป็นระวิง จึงคิดอยากจะช่วย
ในสายตาของเธอ กู้ชิงหยิ่งผู้ซึ่งใช้ชีวิตเป็นคุณหนูที่อยู่ดีกินดีมาตั้งแต่ยังเด็ก หากต้องมาทำอาหารขึ้นโต๊ะใหญ่ ๆ สักโต๊ะนึงด้วยตัวเอง ดูจะเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเพื่อการต้อนรับ ก็เป็นงานของเธออยู่แล้ว
นับตั้งแต่หลี่หลานถึงแก่กรรมไป สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ที่บ้านหลังนี้ ก็คือบรรดางานบ้านและอาหารสามมื้อต่อวันเท่านั้นแล้ว
ถ้ากระทั่งงานเหล่านี้เธอก็ยังทำไม่ได้ ฟ่านลู่ก็รู้สึกว่า การที่ตัวเธอยังอยู่ในบ้านหลังนี้ ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกพี่เสี่ยวลู่ ฉันทำได้ดีไม่มีปัญหาแน่นอน”
กู้ชิงหยิ่งเหงื่อไหลท่วมตัว แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็น เธอผัดอาหารในหม้อไปพลาง ก็ยิ้มไปพลางพูดว่า “ช่วงนี้ตาทึ่มนั่นเหนื่อยเกินไปหน่อยแล้ว ฉันอยากจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขา ฉันเป็นภรรยาเขา มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของฉัน ที่จะทำให้เขากินอิ่มท้อง”
“กินอิ่มท้อง?”
ฟ่านลู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
กู้ชิงหยิ่งที่กำลังสาละวนอยู่หน้าหม้อ พลันตัวสั่นสะท้าน สังเกตขึ้นมาได้ในทันทีว่า มีตรงไหนสักแห่งในคำพูดเหล่านั้น ที่มันไม่ถูกต้อง
ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ ช้อนตามองฟ่านลู่อย่างเขินอาย: “อั๋ยหยา พี่เสี่ยวลู่ พี่คิดอะไรของพี่เนี่ย?”
ฟ่านลู่ปิดปากพลางแอบหัวเราะขำ: “จ้า! สมควรแล้วล่ะ สมควรแล้ว”
ยิ่งพูดแบบนั้นออกไป กู้ชิงหยิ่งก็ยิ่งเขินอายขึ้นเรื่อย ๆ จนใบหน้าแสนสวยของเธอแดงก่ำ จนเหมือนเลือดจะไหลออกมาได้อยู่แล้ว
แต่แล้วกู้ชิงหยิ่ง ก็พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว: “จะว่าไป พี่กับคุนหลุนไปถึงขั้นไหนกันแล้วเหรอ?”
ฟ่านลู่ลังเลไปครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นแตะที่คางพลางพูดว่า “ ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไงพี่คุนหลุนก็ยังไม่ยอมให้ฉันทำอาหารให้เขากินน่ะนะ”
กู้ชิงหยิ่ง: “…..”
เธอทนไม่ไหวจริง ๆ ทั้งที่เธออุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วแท้ ๆ ทำไมพี่เสี่ยวลู่ยังกลับมาเล่นเรื่องนี้ไม่เลิกสักทีล่ะเนี่ย?
แคร้ง ๆ ๆ…..
เสียงไม้พายเคาะรัว ๆ ที่ด้านข้างหม้อ กู้ชิงหยิ่งพูดขึ้นว่า: “พี่เสี่ยวลู่ มาช่วยฉันคนที่หม้อนี้หน่อย ฉันจะไปหั่นมันฝรั่งเพิ่มอีกหัว”
“ในที่สุดก็ยอมให้ฉันช่วยแล้วเหรอ?” ฟ่านลู่ยิ้มแซว ๆ แล้วเดินไปที่หม้อ จากนั้นก็เริ่มผัดอย่างคล่องแคล่ว
กู้ชิงหยิ่งหันไปยุ่งอยู่กับการหั่นมันฝรั่ง เมื่อนึกถึงบทสนทนากับฟ่านลู่เมื่อครู่ รอยยิ้มอันแสนหวานก็ปรากฏบนใบหน้าอันงดงาม แต่แดงก่ำของเธอทันที
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องที่ดีที่สุดของพวกเธอ ไม่ใช่การดูแลให้สามีของตัวเองได้กินจนอิ่มท้องหรอกรึ?
หลังจากเหม่อลอยฟุ้งซ่านไปเพียงชั่วขณะ ความเจ็บปวดที่แทงทะลุหัวใจ ก็แล่นปราดมาจากส่วนปลายนิ้ว
กู้ชิงหยิ่งตกใจจนส่งเสียงร้องขึ้นมาเสียงหนึ่ง ที่นิ้วชี้มือซ้ายอาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
“เสี่ยวหยิ่ง!”
ฟ่านลู่ตกใจมาก รีบหยุดเรื่องที่ทำอยู่ แล้วเข้าไปช่วยทำแผลให้กู้ชิงหยิ่ง
หลังจากยุ่งกันอยู่นาน กู้ชิงหยิ่งกับฟ่านลู่ ก็เตรียมอาหารรสเลิศไว้จนเต็มโต๊ะ
ดูเวลาแล้ว กู้ชิงหยิ่งคำนวณคร่าว ๆ ว่า เครื่องบินของพวกเฉินตงน่าจะกำลังเตรียมลงจอดแล้ว
เธอรีบพูดกับฟานลู่ว่า “พี่เสี่ยวลู่ พี่อย่าบอกตาทึ่มเรื่องที่มีดบาดมือฉันนะ ไม่งั้นเขาจะต้องหัวเราะเยาะฉันอีกแน่เลย”
“คุณเฉินอาจจะรู้สึกเจ็บปวดใจที่มาสายเกินไปก็ได้นะ” ฟ่านลู่พยักหน้า
ในเวลานั้นเอง
โทรศัพท์มือถือของกู้ชิงหยิงก็ดังสนั่นขึ้นทันที
เป็นสายที่มาจาก ผอ. หลิว แห่งโรงพยาบาลลี่จิง
กู้ชิงหยิ่งถึงกับตกใจไปครู่หนึ่ง ค่อยกดรับสาย: “สวัสดีค่ะลุงหลิว เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
เสียงในสายของ ผอ. หลิว กดต่ำอย่างน่าใจหาย
“เสี่ยวหยิ่ง เฉินตงอยู่รึเปล่า? ฉันติดต่อเขาไม่ได้ พวกเธอรีบมาที่โรงพยาบาลให้เร็วเลยดีกว่านะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” การแสดงออกของกู้ชิงหยิ่งเกร็งจนผิดธรรมชาติ
“ท่านหลงถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
เปรี้ยง!
กู้ชิงหยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตกลงไปอยู่ในภวังค์หนึ่ง ทั้งร่างชาหนึบราวกับถูกฟ้าผ่า
ท่านหลง….ไม่ใช่ว่าเขาจัดการงานอยู่ที่บริษัทไท่ติ่งหรอกเหรอ?
เขาจะได้รับบาดเจ็บได้ยังไงกัน?
อีกทั้ง ในบริษัทก็ยังมีกูหลังอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ?!
“ได้ค่ะ หนูจะรีบไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” กู่ชิงหยิ่งตอบรับ แล้ววางสายทันที