“เฉินเต้าหลิน ในฐานะที่นายเป็นเจ้าบ้าน นอกจากจะไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ยังจะทำผิดกฎระเบียบเสียเองอีก เช่นนี้จะเป็นที่เคารพของคนอื่นได้อย่างไร?”
เฉินตงเพิ่งจะเข็นเฉินเต้าหลินไปถึงที่นั่งของเจ้าบ้าน เฉินเต้าชินก็พูดโจมตีขึ้นมาทันที
“เป็นที่เคารพขอคนอื่นหรือ?”
เฉินเต้าหลินหัวเราะเยาะออกมา “หากต้องการเป็นที่เคารพของคนอื่น นาย เฉินเต้าชินควรจะพิจารณาก่อนเลยว่าจะทำให้คนเคารพได้อย่างไร?”
“นายหมายความว่าอย่างไร?” เฉินเต้าชินโกรธจนพูดไม่ออก
การแสดงออกอันน่าเกรงขามของเฉินเต้าหลิน สามารถสยบทุกคนเอาได้
เขาพูดขึ้นอย่างไร้เยื่อใย “ตอนนั้นนายและฉันต่างก็เป็นผู้สืบทอดมรดก และที่นี่เองก็มีผู้สืบทอดมรดกอยู่หลายคน แล้วตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกเพียงหนึ่งเดียวของนาย มาได้อย่างไรกัน?”
“ฉันมาจากการสืบทอดตำแหน่ง ถ้าหากตอนนั้น ไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่เต้าจูนไม่สนใจธุระของตระกูลเฉิน นายจะมีสิทธิ์ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดนี้หรือ จะได้นั่งอยู่ข้างๆ คุณหญิงใหญ่หรือ?”
“อีกอย่าง นายยังพึ่งพาฉันในฐานะที่เป็นพี่น้องร่วมบิดา เมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทำให้นายเป็นเหมือนคางคกขึ้นวอโดยปริยาย ไหนนายลองบอกมาซิว่า นายทำให้คนอื่นเคารพได้อย่างไร?”
คำพูดเชือดเฉือน เหมือนดาบที่แหลมคม
ทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างก็ใบหน้าถอดสีทันที
แต่เฉินตงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเฉินเต้าหลิน กลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากที่พ่อกล่าวคำพูดนี้ออกไป มีหลายคนที่แสดงรอยยิ้มและความขุ่นเคืองออกมา
เห็นได้ชัดว่า พ่อกำลังพูดแทงใจดำทุกคน
ปัง!
เฉินเต้าชินโกรธจนหน้าเขียว และเด้งตัวขึ้นมายืนอยู่ด้วยความโมโห
“เฉินเต้าหลิน นายกำลังพูดไร้สาระอะไร! นายใส่ร้ายฉันแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไร?”
เฉินเต้าชินเถียงคอเป็นเอ็น “คางคกขึ้นวอหรือ ถึงนายจะเป็นเจ้าบ้านผู้สูงส่ง แต่ฉัน เฉินเต้าชิน ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้นายมาดูถูกว่าเป็นคางคกได้ง่ายๆ!”
การประชุมของสมาชิกตระกูล
ยังไม่ทันจะได้เริ่มต้น ก็เกิดความตึงเครียดขึ้นเสียแล้ว
เฉินเต้าหลินเหลือบมองเฉินเต้าชิน และแสดงสีหน้าดูถูกออกมา “คนเราเมื่อไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง ก็ไม่ต่างกับคางคก นายจะมาหงุดหงิดใส่ฉันทำไม?”
“นาย……”
เฉินเต้าชินกัดฟัน แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดโต้แย้งเช่นไร
เขากวาดตามองทุกคนโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคิดที่จะช่วยเหลือ จึงรู้สึกโกรธเคืองขึ้นเล็กน้อยทันที
อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เฉินเต้าหลินพูดนั้นเป็นความจริง
แต่ที่สำคัญก็คือ ในการประชุมสมาชิกตระกูลในครั้งนี้ ทุกคนตกลงกันเป็นอย่างดีแล้วไม่ใช่หรือว่า ล้วนมีศัตรูคนเดียวกัน?
ตึงตึง!
เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้น
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินดึงเฉินเต้าชิน “เต้าชิน นั่งลงเถอะ”
เฉินเต้าหลินหัวเราะ “เห็นไหม คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอุตส่าห์ใจดี หาทางลงให้นาย นายก็รีบลงเร็วเข้าสิ ไม่อย่างนั้น หากหาทางลงไม่ได้อีก ก็อย่ามาโทษว่าพี่ชายอย่างฉัน ไม่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องก็แล้วกัน”
“เฉินเต้าหลิน……”
เฉินเต้าชินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ดวงตาของเขาแดงก่ำ
“เฉินเต้าชิน นั่งลง!” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินขึ้นเสียง
สีหน้าของเฉินเต้าชินเปลี่ยนไปทันที เขากัดฟันด้วยความโมโหอย่างสุดขีด แต่ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะนั่งลง
“ตอนนี้ ยังมีใครคัดค้านที่ลูกชายฉันของฉันเข้ามาในห้องอภิปรายอีกไหม?”
ภายในห้องอภิปราย
บรรยากาศเงียบสงัด
บรรดาสมาชิกระดับสูงของตระกูลเฉินต่างอยู่ในความเงียบ
ทุกคนไม่ได้โง่ เมื่อเจ้าบ้านมีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม และฉีกหน้าของเฉินเต้าชินอย่างไม่เหลือชื้นดีต่อหน้าทุกคน เห็นได้ชัดว่าต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อข่มขวัญทุกคน
หากเอ่ยปากพูดอะไรตอนนี้ ไม่เท่ากับพาตัวเองวิ่งเข้าหากระบอกปืนหรอกหรือ?
หากเรื่องน่าอับอายที่พยายามปิดบังเอาไว้ ถูกเจ้าบ้านเปิดเผยต่อหน้าทุกคนแล้วล่ะก็ คงต้องเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสูอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ละคนล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม อย่างไรเสียก็ไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่ตนเองเด็ดขาด
ผ่านไปครู่หนึ่ง
เฉินเต้าหลินก็เคาะโต๊ะ “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน เช่นนั้นก็เชิญคุณน้าสามเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้เถอะ”
“เป็นประธาน?”
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าบ้านล้อเล่นแล้ว โดยปกติแล้ว การประชุมสมาชิกตระกูล จะต้องให้เจ้าบ้านเป็นประธาน หากให้ฉันเป็นประธาน ก็เท่ากับว่าเข้าไปก้าวก่ายหน้าที่”
“ในเมื่อคุณเรียกประชุมสมาชิกตระกูลแทนผมแล้ว จะก้าวก่ายหน้าที่อีกสักครั้ง จะเป็นไรไป?”
เฉินเต้าหลินจ้องตาคุณหญิงใหญ่ตาเขม็ง ด้วยสายตาที่เฉียบคม “ในเมื่อคุณน้าสามเป็นคนเรียกประชุม ก็ควรจะให้น้าสามเป็นประธานถึงจะถูก”
“นาย……” คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินแสดงสีหน้าตกใจ ในใจรู้สึกตกตะลึง
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เฉินเต้าหลินจะใช้วิธีการเช่นนี้
ส่วนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ ต่างก็มีแววตาที่ลึกซึ้ง ราวกับกำลังใช้ความคิด
ในประวัติศาสตร์ของตระกูลเฉิน การประชุมสมาชิกตระกูล ถือเป็นหัวใจหลักในการควบคุมดูแลความเป็นอยู่ของตระกูลเฉิน และต้องให้เจ้าบ้านเป็นประธานในการเรียกประชุมด้วยตัวเอง
การที่คุณหญิงใหญ่ออกคำสั่งในนามของเจ้าบ้าน ถือเป็นการก้าวก่ายหน้าที่อย่างแท้จริง
ทว่าตอนนี้เฉินเต้าหลินกลับไม่ไว้หน้าคุณหญิงใหญ่เลยแม้แต่น้อย!
วันนี้เจ้าบ้าน……เด็ดขาดเกินไปจริงๆ!
นี่คือความคิดที่อยู่ในใจของทุกคน
ตอนนี้ บางคนก็อดไม่ได้ที่จะลังเลใจ ในสิ่งที่พูดคุยกันไว้กับคุณหญิงใหญ่
เฉินตงมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง
พ่อเด็ดขาดก็จริง แต่ด้วยประสบการณ์ของเขา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า หากพ่อไม่ใช้ความเด็ดขาดเข้ามาจัดการ ก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างไร
คนที่นั่งอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูล และมีอำนาจมหาศาล
หรือจะพูดอีกอย่างว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ ก็คงยากที่จะควบคุมได้อีกต่อไป
อีกทั้งตอนนี้ พ่อเองก็กำลังกลายเป็นผู้นำอย่างลับๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทุกสิ่งหยุดชะงัก
การแสดงออกของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย คำพูดของเฉินเต้าหลิน เหมือนส่งเธอขึ้นไปอยู่บนเตาไฟ
ถึงแม้เธอจะเป็นคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน แต่ก็เป็นคนที่แต่งเข้ามาในตระกูลเฉิน
กฎระเบียบของตระกูลเฉิน ข้อที่เคร่งครัดที่สุดข้อหนึ่งก็คือ อำนาจในการปกครองตระกูลเฉิน ไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนที่ใช้นามสกุลอื่นได้
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าการแข่งขันขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉินของผู้สืบทอดมรดก จะเข้มข้นเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้ว การแข่งขันต้องเป็นการแข่งของคนสกุลเฉินเท่านั้น
เธอซึ่งเป็นคุณหญิงใหญ่ ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ ก็เป็นเพราะความกตัญญูกตเวที
แต่ถ้าหากตอนนี้ เธอยังยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องการประชุมของสมาชิกตระกูลอีก ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจโดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งนี่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบสูงสุดของตระกูล
หากถูกตราหน้าเช่นนี้ ต่อไปหากเฉินเต้าหลินต้องการจัดการกับเธอ ก็ถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
“เจ้าบ้าน อันที่จริงแล้ว การเรียกประชุมสมาชิกตระกูลในครั้งนี้ ก็ลูกลูกชายของนาย เฉินตง”
จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งยืนขึ้นมา แล้วเอ่ยปากพูดด้วยท่าทีที่สงบ
เฉินตงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายวัยกลางคนคนนั้นด้วยความประหลาดใจ
เป็นเสียงของคนที่สวมใส่ชุดสูท และรองเท้าหนังแวววับ ท่าทางดูโดดเด่น แม้กระทั่งเส้นผมก็จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คือ ใช่ว่าจะเป็นท่าทีที่ดูสูงส่งและรูปลักษณ์อันงดงามที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นเพราะร่องรอยบนตาข้างซ้ายของเขา
หากพูดให้ชัดเจนก็คือ ดวงตาด้านซ้ายของเขาดูขุ่นมัว รูม่านตาหดแคบ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนตาบอด!
“เฉินเต้าผิง นายนี่ช่างรู้จักหาทางลงให้แม่ตัวเองจริงๆ เลยนะ” เฉินเต้าหลินยิ้มเยาะ
แม่ลูกกัน?!
เฉินตงตกตะลึงในทันที ไม่แปลกเลยที่ลุกขึ้นมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
เฉินเต้าผิงลูบจมูก “เจ้าบ้านล้อเล่นแล้ว ในฐานะที่ฉันเป็นลูก ถ้าหากเห็นแม่ของตัวเองกำลังถูกต้อนให้จนมุม ถ้าไม่ลุกขึ้น ไม่เท่ากับว่าเป็นการอกตัญญูหรอกหรือ?”
ขณะที่พูด ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของเขา ก็ฉายแววของความชั่วร้ายออกมา
“ลูกของนายเป็นพวกป่าเถื่อน ดุร้าย เมื่อครู่ตอนอยู่ในเรือนจิ้งซิน กล้าพูดจาสามหาว บอกว่าจะฆ่าคุณหญิงใหญ่ เรื่องนี้ ในฐานะที่นายเป็นเจ้าบ้าน ไม่คิดที่จะสอบสวนหน่อยหรือ?”
“เมื่อครู่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมาเทียนเซิงและเทียนฟ่างอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้แม่ของฉันคงไปนอนจมกองเลือด สิ้นลมหายใจอยู่แล้วก็เป็นได้!”
“เฉินตงมาตระกูลเฉิน ฉันไม่ขัดขวาง เขาทำร้ายเทีนยเซิงและเทียนหย่างสองพี่น้อง ฉันก็ไม่ขัดขวาง แต่สิ่งมี่ไม่ควรเกิดขึ้นก็คือ เขาเขวี้ยงมีดใส่แม่ของฉัน คนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ แตกต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานกัน?”
คำพูดที่ออกมาเป็นชุด ฟังดูมีเหตุผลและน่าทึ่ง
เฉินตงหรี่ตาลงจนเป็นเส้นตรง เส้นเลือดที่หางตาของเขากระตุกอย่างรุนแรง
เฉินเต้าผิงคนนี้ ฉลาดกว่าเฉินเต้าชินหลายเท่านัก!
แทบจะในทันที
เฉินเต้าผิงหันกลับไป และกวาดสายตามองทุกคน “ทุกท่าน แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลเฉินให้ความสำคัญกับความกตัญญู เรื่องที่โหดร้ายและป่าเถื่อนเช่นนี้ ทุกท่านคิดจะช่วยกันปกปิดอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากพูดจบ
ทุกคนก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“เจ้าบ้าน……”
“เจ้าบ้าน……”
“เจ้าบ้าน……”
……
เสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องมาเป็นชุด อาจไม่สามารถระบุถึงผลที่จะตามมาอย่างชัดเจนได้ แต่เพียงเสียงเรียกเจ้าบ้านที่ดังต่อกันขึ้นมาเป็นชุดนี้ ถือเป็นการแสดงจุดยืนของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว
เฉินตงหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก
นี่กำลังจะร่วมมือกันบีบบังคับใช่หรือไม่?