เสียงหัวเราะอย่าดูถูก ดังก้องไปทั่วห้องนั่งเล่น
ใบหน้าของเย่หยวนชิวยังคงเป็นปกติ
แต่ใบหน้าของเย่หลิงหลงกลับแดงก่ำและพูดอะไรไม่ออก
เธอ ไม่เคยเห็นใครที่กล้าเสียมารยาทกับคุณปู่เช่นนี้มาก่อนเลย!
แม้กระทั่งเจ้าบ้านของตระกูลมั่งคั่งที่ประวัติยาวนานมาเป็นร้อยปีในต่างประเทศเหล่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับคุณปู่ยังต้องให้ความเคารพ!
แต่วันนี้เมื่อกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน กลับถูกคนหนึ่งของเมืองเล็กๆ แห่งนี้เรียกขานว่าเป็น……ชายชราข้างถนน?
“หลิงหลง ถอยไป!”
เย่หยวนชิวเอ่ยปากขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดของห้องนั่งเล่น “คุณเฉินพูดมีเหตุผล”
เย่หลิงหลงหันมองคุณปู่ด้วยท่าทีเหลือเชื่อ
วันนี้คุณปู่……ใจดีเกินไปหรือเปล่า?
นี่ยังถือว่ามีเหตุผลอีกหรือ?
แต่เมื่อเห็นสายตาของเย่หยวนชิว เย่หลิงหลงก็ไม่กล้าโต้เถียงอีก จึงจำใจหันหลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
ภายในห้องนั่งเล่น เหลือเพียงแค่เฉินตงและเย่หยวนชิวสองคน
เฉินตงพูดว่า “คุณเย่พูดมาตรงๆ เถอะ หากยื้อเวลาต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าผมคงจะหมดความอดทน ผมยังต้องกลับบ้านไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนภรรยาอีกนะ”
“ได้ได้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็จะไม่อ้อมค้อม”
เย่หยวนชิวพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแล้วที่ผมมาครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะเชิญคุณเฉินเข้าร่วมหงหุ้ย”
เข้าร่วมหงหุ้ย?
เฉินตงนั่งนิ่ง
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่ถูกเล่นงานในครั้งนี้ เขาคงไม่มีทางรู้จักหงหุ้ย
เขาซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับหงหุ้ยเลย แต่จู่ๆ ผู้อาวุโสรุ่นจู่เหลาของหงหุ้ยกลับมาเชื้อเชิญเขา ให้เข้าร่วมหงหุ้ยด้วยตัวเอง
นี่มัน……เรื่องล้อเล่นหรือเปล่า?
เย่หยนชิวเห็นเฉินตงนั่งนิ่งไป ก็หัวเราะร่าออกมา ราวกับคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จากนั้นจึงพูดต่อว่า
“ผมรู้ดีว่าคุณเฉินคงรู้สึกสงสัยในใจ คงกำลังสงสัยว่าตนเองนั้นไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับหงหุ้ยมาก่อน ทำไมจู่ๆ หงหุ้ยเชื้อเชิญคุณเฉินให้ไปเข้าร่วม?”
เฉินตงตั้งสติกลับมาได้ จึงพยักหน้า
“สิ่งที่เป็นความลับ ผมก็ไม่สะดวกที่จะพูดมากนัก แต่นี่ถือเป็นเจตนารมณ์ของหลงโถวหงหุ้ย”
เย่หยวนชิวยิ้มอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของเขาดูใจดีและมีเมตตา ทำให้รู้สึกเข้าถึงง่าย
แต่เฉินตงได้ฟังรากฐานของหงหุ้ยมาจากปากของท่านหลงเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
ถ้าหากมองว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้านั้น เป็นคนที่เข้าถึงง่ายแล้วล่ะก็ นั่นคงจะเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี
“ขอแค่คุณเฉินพยักหน้า หงหุ้ยจะไม่มีวันละเลยคุณเฉินเด็ดขาด ผมพอจะรู้ถึงฐานะและภูมิหลังของคุณเฉินมาบ้าง ในฐานะที่เป็นลูกชายของเจ้าบ้านตระกูลเฉิน หากเข้าร่วมในหงหุ้ย และต้องอยู่ในรุ่นที่ไม่สูงนัก อาจถือเป็นการดูหมิ่นคุณเฉิน”
เย่หยวนชิวพูดอย่างฉะฉาน เมื่อพูดถึงตอนนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ดังนั้นผมและหลงโถวได้ปรึกษากันแล้ว ถ้าหากคุณเฉินรับปากจะเข้าร่วมหงหุ้ย คุณเฉินจะถูกจัดอันดับอยู่ในรุ่น “หยวน” เช่นเดียวกันกับผม และอยู่เหนือหลงโถว”
เปรี้ยง
เฉินตงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
รุ่นหยวน!
จากที่เย่หลิงหลงพูดมาเมื่อครู่นี้ นี่ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความเคารพอย่าสูงสุดในหงหุ้ย!
เป็นรุ่นที่อยู่เหนือหลงโถวของหงหุ้ย อยู่ในรุ่นเดียวกับเย่หยวนชิว นี่คือผู้มีอำนาจสูงส่งชัดๆ!
ต่อให้เป็นเฉินตง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในใจ
เย่หยวนชิวเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน และรู้สึกเกิดความมั่นใจขึ้นเต็มเปี่ยม
ข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ อย่าว่าแต่คนรุ่นหลังคนหนึ่งของตระกูลเฉินเลย
แม้กระทั่งทั่วโลก ก็ไม่อาจมีใครต้านทานได้
ในฐานะที่เป็นคนรุ่นจู่เหลาของหงหุ้ย เขารู้ดีว่า รุ่นของตนเองนั้น น่ากลัวเพียงใด
หลงโถวของหงหุ้ยผลัดเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น แต่เขานั้นยังคงนั่งอยู่ในฐานะเดิมอย่างมั่นคง แต่คอยรับความเคารพจากหลงโถวรุ่นหลังอยู่ตลอดเวลา
รุ่น “หยวน” ในหงหุ้ยนั้น ต่อให้เป็นคำสั่งของหลงโถว หากไม่เต็มใจทำ ก็สามารถโต้เถียงได้ตามอำเภอใจ!
เย่หยวนชิวรีบพูดต่อว่า “หากคุณเฉินยอมเข้าร่วม ก็จะถือจู่เหลาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของหงหุ้ย!”
ทว่า
“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ?” จู่ๆ เฉินตงก็เลิกคิ้วถาม
เย่หยวนชิวผงะไป แววตาเผยความตกตะลึงที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ออกมา
สงบสติอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่มีจิตใจแบบไหนกัน?
ตอนนี้ เขาและเฉินตง ได้แลกเปลี่ยนความตกตะลึงและความสงบเมื่อครู่กันแล้ว
ใบหน้าของเฉินตง ไม่มีความตกตะลึงเมื่อครู่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว เหลืออยู่เพียงแค่ความสงบนิ่งที่ยากจะอธิบาย แววตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นก็สงบลงเช่นกัน
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” เย่หยวนชิวตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ยื่นสิทธิพิเศษให้ผมมากมายเช่นนี้ จะให้ผมขึ้นเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงส่ง คงจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสินะ?”
เฉินตงยักไหล่ แล้วนั่งพิงลงไปบนโซฟา “แม่ของผมสอนผมตั้งแต่ยังเด็ก ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ลงทุนไปเท่าไหร่ ก็จะได้รับกลับมาเท่านั้น จู่เหลารุ่นหยวน ค่าตอบแทนที่หงหุ้ยของพวกคุณต้องการจะให้ผมจ่าย เกรงว่าคงจะสูงเสียดฟ้าสินะ?”
ให้ฐานะรุ่นหยวน เป็นการเชิญผู้อาวุโสท่านหนึ่งในหงหุ้ยอย่างไม่ต้องสงสัย
ค่าตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากไม่มีข้อแลกเปลี่ยน เฉินตงก็ไม่อาจเชื่อได้เลยว่าหงหุ้ยจะมีอายุยืนยาวมากว่าสองร้อยปี
แววตาที่เย่หยวนชิวมองเฉินตงเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
มีทั้งความตกตะลึง มีทั้งความยินดี มีทั้งความชื่นชม……ไม่ใช่สีหน้าที่ใจดีมีเมตตาอย่างเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ภาพนี้ ถ้าหากให้เย่หลิงหลงที่ออกไปแล้วมาเห็นเข้า คงจะทำให้เย่หลิงหลงต้องตกตะลึงจนอุทานออกมาแน่นอน
ในหงหุ้ย เย่ชิวไม่เคยปรากฏสีหน้าเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว!
ส่วนเฉินตงเอง เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเย่หยวนชิวที่เปลี่ยนไป ก็รู้สึกมั่นใจขึ้น
เย่หยวนชิวก่อนหน้านี้ สวมหน้ากากเข้าหาเขาจนทำให้เขารู้สึกลังเล
ทว่าตอนนี้ เขาเริ่มเห็นเล็กน้อยแล้ว!
พักใหญ่
ในที่สุดเย่หยวนชิวก็กลับมาเป็นปกติ เขายิ้มเล็กน้อย “ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน!”
“คุณคิดว่าผมโง่หรือ?” เฉินตงหลุดขำออกมา “หากหงหุ้ยของพวกคุณโง่เขลาจริง จะสามารถรุ่งเรืองมาได้ยาวนานกว่าสองร้อยปีได้อย่างไร”
พูดจบ
เฉินตงก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปด้านนอก “ขออภัยด้วย นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมต้องกลับบ้านไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนภรรยาแล้ว”
“รอก่อน คุณเฉิน!”
เย่หยวนชิวตกตะลึง เขารีบลุกขึ้น แล้วเรียกเฉินตงไว้
“หากคุณเฉินจากไปเช่นนี้ คุณจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน!”
“เสียใจเรื่องอะไร?” เฉินตงพูดออกมาอย่างเย็นชา โดยไม่หันกลับไปมอง
เย่หยวนชิวยิ้มเล็กน้อย “เข้าร่วมหงหุ้ย ได้เป็นผู้มีอำนาจสูงส่งโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน แต่ถ้าหากคุณไม่เข้าร่วม ก็คงจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแล้ว”
“บริษัทการเงินหรือ?”
เฉินตงหันไปมองเย่หยวนชิวด้วยใบหน้าเย็นชา ตอนนี้แววตาของเขาเฉียบแหลมราวกับเหยี่ยว
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาข้องเกี่ยวกับหงหุ้ยก็คือ บริษัททางการเงินของฉินเย่
สิ่งที่เรียกว่าค่าตอบแทน……คงไม่ยากเกินคาดเดา!
เย่หยวนชิวยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมใช้ชีวิตที่ผ่านมาโดยเปล่าประโยชน์ โชคดีที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ ให้เขาได้ใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ขอบคุณคุณเฉิน ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงแสงสว่างก่อนที่ผมจะตายไป”
“แต่ก็อยากจะให้คุณเฉินเชื่อมั่นในความสามารถของหงหุ้ยเรา ถ้าหากเราต้องการโจมตีจริงๆ ทรัพย์สินมูลค่าหมื่นล้าน หงหุ้ยของเราสามารถกลืนเข้าไปได้อย่างง่ายดายในคราวเดียว”
นี่ถือเป็นทั้งคำชม และการข่มขู่
ใช้ทั้งไม่อ่อนและไม้แข็ง
แต่กลับทำให้เฉินตงเริ่มตกอยู่ในความลังเล
เขาไม่สงสัยเลยว่าหงหุ้ยจะสามารถกลืนกินทรัพย์สินนับหมื่นล้านของฉินเย่ได้หรือไม่
หากเป็นก่อนหน้านี้ มาหอำนาจทั้งห้าเข้าโจมตีฉินเย่โดยพร้อมเพรียงกัน เขายังเชื่อว่าฉินเย่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้
แต่ตอนนี้ เย่หยวนชิวพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ถ้าหากหงหุ้ยโจมตีฉินเย่อย่างสุดความสามารถ ถึงตอนนี้ท้องฟ้าคงจะถล่มลงมาจริงๆ
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างการถูกตัดสินประหารชีวิตกับการช่วยชีวิตตัวเอง!
และคำพูดของเยาหยวนชิวนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่า กำลัง “ตัดสินโทษประหาร” ให้กับฉินเย่
หากรับปากเข้าร่วมหงหุ้ย ทุกอย่างก็จะสงบสุข ถึงขั้นที่ว่าฉินเย่จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างได้ด้วยดี
แต่ถ้าหากไม่รับปาก ดาบของหงหุ้ย ก็จะฟันลงที่คอของฉินเย่ทันที
“คุณเฉิน ด้านหนึ่งคือฐานะที่มีอำนาจสูงส่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งการยอมตัดแขนเพื่อมีชีวิตรอด ด้วยสติปัญญาที่คุณมี คงเลือกได้ไม่ยากหรอกใช่ไหม?”
เย่หยวนชิวหันหมองเฉินตง เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ในขณะที่พูด แววตาที่เป็นประกายของเขาก็ค่อยๆ ดุดันขึ้นมา
ทำให้เฉินตงรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง