น้ำตาไหลออกมาโดยไร้เสียง
หยาดน้ำตาไหลรินลงมาราวกับสร้อยมุกที่ขาดออก ผ่านหางตาที่ซีดเผือดของกู้ชิงหยิ่ง
ท่านหลงกับกู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยาเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
“เสี่ยวหยิ่ง……”
หลี่หวั่นชิงซบลงไปบนอกของกู้ชิงหยิ่ง แล้วกอดลูกสาวเอาไว้แน่น
กู้โก๋ฮั๋วเองก็ยากที่จะปิดบัง เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่หยุด
สองสามีภรรยาเห็นความทรุดโทรมของกู้ชิงหยิ่งเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ
ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ต้องทนทุกข์ทรมานและปวดใจอยู่ตลอดเวลา
แต่ความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ !
ท่านหลงร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารจับใจ
ตุ้บ !
เขาคุกเข่าลงบนพื้น และอ้อนวอน : “คุณนายน้อย ร่างกายสำคัญที่สุด กระผมมาแล้ว กระผมจะหาทางตามหาคุณชายให้เจอได้แน่นอน”
ตุ้บ !
พูดจบ เขาก็โขกหัวลงบนพื้นอย่างแรง
“ท่านหลง !”
กู้โก๋ฮั๋วตกใจและรีบเข้าไปห้าม
แต่ท่านหลงกลับไม่สนใจ
เขาเงยหน้าขึ้น พร้อมน้ำตาที่ไหลเต็มใบหน้า
“นายท่านหายตัวไป กระผมได้รับคำสั่งให้ดูแลคุณชายและคุณนายน้อยด้วยชีวิต มาบัดนี้คุณชายหายตัวไป ส่วนคุณนายน้อยก็มีสภาพเช่นนี้ ถือเป็นความผิดของกระผมเอง”
ตุ้บ !
โขกหัวลงบนพื้นอีกครั้ง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หน้าผากก็เขียวช้ำ และมีเลือดซึม
กู้โก๋ฮั๋วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก โดยไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป
“คุณนายน้อยจะต้องดีขึ้น กระผมรับรู้ถึงความรู้สึกที่คุณนายน้อยมีต่อคุณชายดี แต่กระผมขอใช้หัวเป็นประกัน เรื่องระหว่างคุณชายกับผู้หญิงคนนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด ถ้าหากคุณนายน้อยไม่รีบดูแลรักษาตัวเองให้ดี แล้วจะไปตามหาคุณชายได้อย่างไร ?”
ตุ้บ !
โขกหัวลงบนพื้นอีกครั้ง
เพียงแต่การโขกหัวครั้งนี้ กลับทำให้กู้โก๋ฮั๋วรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
ส่วนกู้ชิงหยิ่งที่ร้องไห้อย่างไร้เสียง แววตาที่ดูมืดมน กลับเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง
ท่านหลงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไม่สนใจเลือดที่อาบอยู่บนหน้าผาก ฝืนกลั้นน้ำตาและพูดออกมาอย่างเจ็บปวด
“คุณนายน้อยทรมานตนเองเช่นนี้ กระผมไม่อาจทนดูได้ ต่อให้คุณชายจะตายไป แต่ลูกในท้องของคุณนายน้อยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของคุณชาย……”
พูดจบ ท่านหลงก็ไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป
เขายกมือที่เหี่ยวย่นขึ้นมาปิดบังใบหน้าแล้วร้องไห้
เสียงร้องไห้ดังก้องอยู่ภายในห้องเป็นเวลานาน
จู่ๆ เสียงที่อ่อนแรงก็ดังขึ้นเบาๆ
“แม่คะ หนู……หิวแล้ว”
เปรี้ยง !
เสียงที่เบาเหมือนเสียงยุง แต่เมื่ออยู่ในห้อง กลับดังราวกับเสียงฟ้าผ่า กลบเสียงร้องของท่านหลง
กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความตื่นเต้นยินดีพร้อมกัน
แม้แต่ท่านหลงเอง ก็ปาดน้ำตาแล้วหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความยินดีเช่นกัน
กู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย ถึงแม้จะอ่อนแออย่างมาก แต่ก็ต่างจากท่าทีหมองหม่นก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับดิน
ใบหน้าซูบซีดของเธอ แสดงความมุ่งมั่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของพ่อแม่และท่านหลง
เธอก็ก้มหน้าก้มตาลงลูบท้องเบาๆ
“ลูกรัก……ก็หิวแล้วเช่นกัน……”
“เร็ว รีบไปทำเร็วเข้า ทำของอร่อยมา ทำของที่เสี่ยวหยิ่งชอบมาทั้งหมด !”
กู้โก๋ฮั๋วดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะราวกับเด็ก
“ได้ได้ได้ เสี่ยวหยิ่งรอเดี๋ยวนะแม่จะรีบไปทำให้ลูกเดี๋ยวนี้
ใบหน้าของหลี่หวั่นชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นี่คือรอยยิ้มที่สดใสที่สุดของเธอในระยะนี้
เธอเช็ดน้ำตาบนหน้า ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก แต่เป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ทำให้เดินโซเซเล็กน้อย
ท่านหลงเองก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ความทุกข์ในใจ ไม่มียารักษา
แต่ร่างกาย ขอเพียงแค่สามารถกินได้ ก็จะค่อยๆ ฟื้นคืนกลับเป็นปกติ
ความโศกเศร้าน่ากลัวยิ่งกว่าการอกหัก
กู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ ในที่สุดก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“ท่านหลง……”
กู้ชิงหลิงมองท่านหลงด้วยความอ่อนแรง : “เป็นเรื่องเข้าใจผิด……จริงๆ หรือ ?”
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ครับ !”
ท่านหลงพยักหน้าจริงจัง : “กระผมขอเอาหัวเป็นประกัน วันนั้น……”
กู้ชิงหยิ่งกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วส่ายหัวเบาๆ
“ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันก็จะรอให้เขามาอธิบายด้วยตัวเอง มาคุกเข่าต่อหน้าฉันและลูก แล้วขอโทษ”
“ครับ !”
ท่านหลงดีใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม : “ถึงตอนนั้นหากคุณชายไม่ยอมคุกเข่าลงที่พื้นเพื่อขอโทษ กระผมจะเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ ต่อให้ต้องใช้แรงกายทั้งหมดที่มี ผมก็จะต้องกดเขาลงไปที่พื้นเพื่อขอโทษคุณนายน้อยให้ได้ !”
กู้ชิงหยิ่งหัวเราะ และมีท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ตระกูลกู้ในเวลากลางดึก ตกอยู่ในบรรยากาศหมองเศร้ามากว่าครึ่งเดือน มาบัดนี้ ในที่สุดก็เกิดความสุขขึ้นแล้ว
ไม่ช้า หลี่หวั่นชิงก็ไปทำอาหารที่ห้องครัวด้วยตัวเอง และเตรียมอาหารมาเต็มโต๊ะ
สั่งให้คนรับใช้ทั้งหมดยกเข้าไปในห้องนอนของกู้ชิงหยิ่ง
เพียงแต่ สุดท้ายกู้ชิงหยิ่งก็เลือกกินเพียงข้าวต้มและผักดอง เธอเริ่มกินอย่างเงียบๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนในตระกูลกู้และท่านหลง ก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
นี่เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือน ที่กู้ชิงหยิ่งกินอาหารด้วยตัวเอง ไม่ต้องไม่มีใครเตือน แต่กลับกินจนหมดเกลี้ยง
หลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่หวั่นชิงก็อยู่ดูแลกู้ชิงหยิ่ง
ส่วนกู้โก๋ฮั๋วและท่านหลง เดินเข้าไปในห้องหนังสือ
“ขอบคุณมากท่านหลง ขอบคุณมากท่านหลง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมกับหวั่นชิงสองสามีภรรยา คงจะต้องแย่แน่ๆ”
ทันทีที่เข้าไปในห้อง กู้โก๋ฮั๋วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น จับมือของท่านหลงแล้วพูดด้วยความตื้นตัน
“เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเอง ไม่ควรได้รับคำขอบคุณ”
ท่านหลงโบกมืออย่างรู้สึกผิด จากนั้นจึงถามว่า : “ช่วงนี้สืบหาไปถึงไหนแล้ว ?”
“ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย”
ท่าทีของกู้โก๋ฮั๋วหมองหม่นลง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกจนใจ : “อีกฝ่ายมีอิทธิพลอย่างมาก ใช้มือข้างเดียวก็ปิดทั้งผืนฟ้าได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีเพียงตระกูลเฉินเท่านั้นที่พอจะสืบหาออกมาได้”
“ตระกูลเฉิน ?”
ท่านหลงส่ายหัว : “ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย ผมไม่อยากให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของตระกูลเฉิน ตอนนี้นายท่านหายตัวไป หากเรื่องที่คุณชายเกิดเรื่องขึ้นแพร่งพรายออกไป ในตระกูลเฉินน่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี”
กู้โก๋ฮั๋วพยักหน้า แล้วพูดอย่างหดหู่ : “แต่ถ้าอาศัยเพียงแค่คนของเรา สืบหามานานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไรเลย”
“ผมมีวิธี”
คำพูดของท่านหลง ทำให้ดวงตาของกู้โก๋ฮั๋วเป็นประกาย
ยังไม่ทันที่กู้โก๋ฮั๋วจะถามต่อ ท่านหลงก็พูดขึ้นว่า : “เพียงแต่ ผมต้องการเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจากรู้ที่มาที่ไปแล้ว วิธีนี้จึงจะสามารถใช้การได้”
“ไม่มีปัญหา !”
กู้โก๋ฮั๋วพยักหน้า แล้วชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ : “ในคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการสืบหาของหน่วยข่าวกรองของบริษัทชิงหยิ่งและพันธมิตรทางธุรกิจของผม ส่วนอีกคนเป็นหลานสาวของผมเอง เธอเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานตำรวจสากล เธอเองก็สามารถให้ความช่วยเหลือท่านหลงได้ ผมนี้ผมจะรีบตามเธอมา”
“ดี !” ท่านหงพยักหน้า
……
ตะวันส่องแสง
เฉินตงที่หมดสติไปจากการกระอักเลือด ฟื้นคืนสติขึ้นมา
สิ่งที่เห็นก็คือ เย่หลิงหลงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า และขอบตาดำคล้ำ
ถึงแม้จะเหนื่อยล้าไม่น้อย แต่เย่หลิงหลงก็ยังฝืนตัวเองไม่ให้ปิดตาลง
“เธอ……ไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนเลยหรือ ?”
เฉินตงถามอย่างอ่อนแรง
มือทั้งสองข้างของเย่หลิงหลงกุมอยู่ที่ค้าง แล้วจ้องมองเฉินตง : “ขอบตาดำของฉัน ยังตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจนอีกหรือ ?”
เฉินตงเบ้ปากแล้วหัวเราะ
หดหู่ สิ้นหวัง หม่นหมอง……
เย่หลิงหลงมองดูจนรู้สึกปวดใจ
เธอไม่เห็นอารมณ์โกรธบนใบหน้าของเฉินตงอีกต่อไป ราวกับว่าคนที่ตกลงไปอยู่ในขุมนรกอันมืดมิด มีเพียงความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากและสิ้นหวังอย่างรุนแรง
เมื่อก่อน ตัวเขาเต็มไปด้วนรัศมีที่เปล่งประกาย !
เย่หลิงหลงบิดขี้เกียจ แล้วข่มความรู้สึกที่ซับซ้อนเอาไว้
หันหน้าไปมองด้านนอก แล้วพูดว่า : “พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว รุ่งสางอากาศดี ฉันจะพาคุณออกไปเดินเล่นนะ”
เฉินตงพูดออกมาอย่างเฉยเมย : “ต้องนั่งรถเข็นบ้านั่นใช่ไหม ?”
เย่หลิงหลงยักไหล่ กะพริบตา แล้วยิ้มออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ : “ถ้าไม่นั่ง จะให้ฉันอุ้มหรือแบกคุณไปก็ได้นะ”