ราชันเร้นลับ 884 : การเผชิญหน้าที่มิอาจเลี่ยง
ครึ่งเทพดวงตาสีทองของกองทัพโลเอ็นพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“นั่นสินะ มีส่วนเหมือนกับสไตล์ของใครบางคนในหน่วยข่าวกรองอินทิส… แต่น่าแปลก มัมมี่ตูตันส์ที่สองหายไปหลังจากชายคนนั้นหยิบโคลนไปแค่ไม่กี่วินาที เร็วเกินไปสำหรับการประกอบพิธีกรรม”
สตรีในชุดราตรีก้มมองมงกุฎหนามที่คอ ตอบอย่างเชื่องช้า
“บางที เขาหรือพวกเขา อาจประกอบพิธีกรรมเตรียมรอไว้แล้ว เพียงเทเลพอร์ตกลับไปและโยนโคลนใส่แท่นบูชา ขั้นตอนทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จสิ้น… แน่นอน ไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรมเสมอไป ยังสามารถเป็นสมบัติวิเศษที่บรรลุผลลัพธ์ได้ด้วยการสัมผัสกับเลือดของเป้าหมาย… สำหรับเรื่องนี้ ความเป็นไปได้มีมากจนยากจะคาดเดา”
แม้พลังและผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึกส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับยี่สิบสองเส้นทางผู้วิเศษ ช่วยให้นักวิจัยสามารถคาดเดาธรรมชาติของสมบัติปิดผนึกชิ้นนั้นๆ ได้เบื้องต้น ทว่า เฉกเช่นมนุษย์ที่มีบุคลิกแตกต่างกัน สมบัติปิดผนึกก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัตถุที่ผสมผสาน รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างออร่าของครึ่งเทพ หรือคำสาปจากเจ้าของเดิม ส่งผลให้สมบัติปิดผนึกแต่ละชนิดมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป หากไม่ได้ทดสอบอย่างจริงจังมาก่อน ยากจะมีใครค้นพบรายละเอียดล่วงหน้า
ครึ่งเทพเจ้าของดวงตาสีทองดึงเก้าอี้ออกมาวาง นั่งลงและพูด
“รายละเอียดในส่วนนี้ยากจะตรวจสอบ พวกเราจึงยังไม่ควรเปลืองสมองคิด… แต่ว่า คุณกำลังสืบสวนไปผิดทาง… ยังจำพายุทอร์นาโดนั่นได้ไหม? มันพัดโลงศพของตูตันส์ที่สองขึ้นฟ้าจนมัมมี่ วัตถุดิบพิธีกรรม และของเหลวภายในโลงทองคำกระจัดกระจาย แถมยังเป็นต้นเหตุให้มัมมี่หลุดออกมา… สรุปโดยสั้น พายุลูกนั้นคือการปูทางสำหรับแผนการขั้นถัดไป จึงเป็นที่แน่ชัดว่าพายุลูกดังกล่าวคือฝีมือของชายคนนั้น หรือไม่ก็ผู้ช่วย”
ความขุ่นมัวในดวงตาหญิงสาวจางลงเล็กน้อย เธอค่อยๆ ถอดมงกุฎหนามพลางกล่าว
“คุณกำลังจะบอกว่า ในเมื่อโบสถ์วายุสลาตันผูกขาดสูตรโอสถลำดับสูง รวมถึงตะกอนพลังส่วนใหญ่ของเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ เอาไว้อย่างเข้มงวด สมบัติวิเศษหรือผู้วิเศษที่สามารถสร้างพายุระดับนั้นได้ย่อมมีจำนวนไม่มาก ให้พวกเราเริ่มสืบจากตรงนี้?”
ครึ่งเทพดวงตาสีทองพยักหน้าเล็กๆ
“และผมยังจำได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้ในเขตตะวันออก มิสเตอร์ X แห่งชุมนุมแสงเหนือถูกสังหารในชุมนุมลับที่มันจัดขึ้นเอง โดยช่วงเวลาดังกล่าวก็มีพายุสายฟ้าและพายุทอร์นาโดโผล่ขึ้นในจุดเกิดเหตุ… เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของโบสถ์วายุสลาตันอย่างมาก พวกเขาพยายามตามหาเบาะแสอย่างเอาเป็นเอาตาย… ในเมื่อพายุทอร์นาโดเกิดขึ้นสองครั้งติดๆ กันในจุดที่ไม่ห่างกันมาก แถมยังไม่ใช่ฝีมือของทางการ หมายความว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งสองเหตุการณ์น่าจะเกี่ยวข้องกัน และกลุ่มที่ลงมือสังหารมิสเตอร์ X กับกลุ่มที่ขโมยมัมมี่ก็น่ามาจากองค์กรเดียวกัน… ดังนั้น พวกเราต้องร่วมมือกับโบสถ์วายุสลาตันเพื่อสืบคดีนี้”
สุภาพสตรีในชุดราตรีวางมงกุฎหนามลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“เป็นแนวทางการสืบสวนที่ดี… นอกจากนั้น เรายังสามารถวิเคราะห์ได้จากแรงจูงใจและเป้าหมายของคนร้าย หากอีกฝ่ายหวังใช้มัมมี่ไปทำเป็นซอมบี้ทั่วไป คงไม่กล้าเสี่ยงขโมยท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ ฉันจึงสงสัยว่า ทางนั้นคงมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในการขโมยมัมมี่ตูตันส์ที่สอง”
“หรือจะเป็นกุญแจสำคัญในพิธีกรรม?” ชายดวงตาสีทองตอบคลุมเครือ “ในจุดเกิดเหตุ ผู้ที่ถือวัตถุสำหรับหลอกล่อมัมมี่น่าจะเป็นวิญญาณอาฆาต หรือไม่ก็เป็นพลังจากสมบัติวิเศษในเส้นทางดังกล่าว… เมื่อนำมาพิจารณากับแรงจูงใจ ผมมีข้อสันนิษฐาน”
หญิงสาวในชุดราตรีโพล่งขึ้นทันที
“สมาชิกนิกาย ‘ระงับแรงปรารถนา’ ที่หลบหนีออกจากโรงเรียนกุหลาบ?”
“ถูกต้อง” ชายดวงตาสีทองพยักหน้ารับ “แม้การสร้างมัมมี่จะได้รับอิทธิพลจากการบูชาเทพมรณาและดวงอาทิตย์ แต่หลังจากโรงเรียนกุหลาบกุมอำนาจใหญ่ในเขตที่ราบสูง หุบเขา และบริเวณใกล้เคียง พวกมันกลับมิได้ล้มเลิกประเพณีดังกล่าว หมายความว่ามัมมี่ยังมีประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น อาจเป็นกุญแจสำหรับเลื่อนลำดับในบางเส้นทาง”
กล่าวถึงตรงนี้ มันหัวเราะเชิงตำหนิตัวเอง
“แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้… เพื่อการโอ้อวดฝีมือ… กลุ่มคนร้ายอาจไม่ได้ต้องการมัมมี่มากนัก แต่เพราะสบโอกาสเข้าพอดี ประจวบกับบางเงื่อนไขลงล็อก จึงทำการขโมยอย่างอุกอาจและเอิกเกริก… สำหรับบางลำดับในบางเส้นทาง สิ่งนี้คือกุญแจสำคัญในการย่อยโอสถ”
ในฐานะครึ่งเทพ มันย่อมผ่านโลกมามาก และทราบถึงความเป็นไปได้ต่างๆ มากมาย
หญิงสาวในชุดราตรีไตร่ตรองสักพัก
“ฉันมองว่า จุดประสงค์ของคนร้ายอาจไม่ได้มีเพียงข้อเดียว แต่เป็นส่วนผสมของหลายปัจจัย… เราจะใช้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการสืบสวน”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด ใกล้กับแม่น้ำทัสซอค
‘ผู้เงียบขรึม’ มาฮามูซีนั่งอยู่ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ถูกคลุมด้วยผ้าปู สายตาจ้องไปยังหมุดสีทองที่วางไว้ ก่อนจะเปิดปากพูด
“ซัตทเวน เจ้าคิดว่าใครขโมยมัมมี่คาร์ดิฟไป?”
ด้านหลังไม่ไกล บนเก้าอี้เปียโน ร่างหนึ่งเริ่มก่อตัว
บุคคลดังกล่าวสวมชุดคลุมสีดำคล้ายนักบวช มือซ้ายสวมถุงมือสีดำ ใบหน้าเรียว ผิวสีน้ำตาล ดวงตาจมลึกเหมือนซากศพ รากของเคราะเป็นสีดำ แต่ส่วนปลายเป็นสีขาว เคราหร็อมแหร็มกระจายจากรอบปากจนถึงหู ไม่เกาะกลุ่มเป็นพุ่ม แถมยังค่อนข้างสั้น
ดวงตาของซัตทเวนมีสีน้ำตาลอ่อนใกล้เคียงกับผิว บรรยากาศรอบตัวอาจดูคล้ายนักบวช แต่เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัวมากกว่า ประหนึ่งพร้อมอาละวาดได้ทุกเมื่อแม้ มันครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“บุคคลที่ปรารถนามัมมี่คาร์ดิฟ แถมยังกล้าเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับครึ่งเทพ ทั่วโลกสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว และจากบรรดาทั้งหมด คนที่อยู่ในเบ็คลันด์มีเพียงชารอน… เธอน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ ไม่อย่างนั้นคงยากจะประสบความสำเร็จ”
มาฮามูซีเอื้อมไปหยิบหมุดที่เต็มไปด้วยลวดลาย กล่าวหลังจากเงียบงันสองสามวินาที
“แล้วคนที่ใช้พลังท่องเที่ยวเป็นใคร? ดูไม่เหมือนเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ผู้ช่วยคนอื่นของชารอน?”
“อาจจะ” ซัตทเวนไอแห้งสองครั้ง กล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว “ข้าคิดว่าพวกเราควรหาวิธีสวดวิงวอนถึงพระมารดา สิ่งนี้อาจช่วยให้ได้รับวิวรณ์บางอย่าง”
มาฮามูซีพยักหน้าเล็กน้อย นำหมุดสีทองเจาะผ่านริมฝีปากบนและล่าง
ซัตทเวนเห็นดังนั้นจึงปิดปากตัวเอง ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินลงไปยังชั้นล่างอย่างยากลำบาก เตรียมออกจากที่นี่และกลับไปยังแหล่งกบดาน
ลงมาถึงชั้นหนึ่ง มันได้พบกับบรรยากาศสลัวๆ ซึ่งมีแสงเทียนคอยมอบความสว่าง กลิ่นอาหารลอยมาจากทุกทิศ อากาศถ่ายเทได้ค่อนข้างดี – อาคารรอบข้างทั้งหมดเป็นบ้านแถว ชั้นหนึ่งของที่นี่เป็นร้านอาหารที่หันหน้าเข้าหาถนน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จุดรวมตัวของสมาชิกโรงเรียนกุหลาบตั้งอยู่ที่ร้านซึ่งขายอาหารของทวีปใต้
เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนักในการต่อสู้ก่อนหน้า ซัตทเวนจึงไม่อยากอยู่ในร่างวิญญาณมารนานนัก เพราะสำหรับมัน ร่างกายจะรับภาระหนักเกินไป ส่งผลให้ต้องเดินไปทีละก้าวด้วยชุดคลุมนักบวชสีดำ
ทันใดนั้น ลูกค้าคนหนึ่งหยุดยืนหน้าประตูร้าน
ลูกค้ารายนี้สวมสูทสีดำ กางเกงสีดำ และรองเท้าสีดำ มีดวงตาสีดำ ใบหน้าผอมเพรียว
หน้าผากค่อนข้างกว้าง สวมแว่นตาขาเดียวและหมวกทรงสูง กวาดสายตาสุ่มๆ ไปรอบห้องจนกระทั่งหยุดที่ซัตทเวน
หลังจากมองไปยังถุงมือสีดำในมือซ้ายของซัตทเวน มุมปากลูกค้ารายนี้ยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
ถัดมา ลูกค้าเดินเข้าไปในร้าน ย่างกรายผ่านซัตทเวนที่กำลังจ้องอย่างไม่เป็นมิตร
ซัตทเวนเลิกสนใจ เดินออกไปยังถนนนอกร้าน
ท่ามกลางโคมไฟแก๊สที่คอยมอบแสงสว่าง สายลมเห็นพัดผ่านครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจนร่างกายสั่นสะท้าน
ซัตทเวนตระหนักว่านี่คืออาการสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว มันรีบก้มมองมือซ้ายและพบว่า ถุงมือสีดำของตนได้หายไป!
หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ทั้งที่เป็นครึ่งเทพ แต่ซัตทเวนกลับไม่ทราบว่าสมบัติปิดผนึกที่ตนสวมอยู่หายไปตอนไหน!
มันรีบหันกลับเข้าไปในร้านอาหาร ภาพของชายคนเมื่อครู่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ
เพียงไม่นาน มันตรวจจับออร่าของเป้าหมายและพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในร้าน แถมยังขอเมนูจากพนักงานอย่างสบายใจ
เดิมที ซัตทเวนต้องการใช้พลังกระโดดกระจกเพื่อเข้าไปสิงร่างโดยตรง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ฝ่ามือของมันเกิดสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม สัมผัสได้ว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งมากกำลังซ่อนตัวอยู่!
เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นไปทั่วสมอง ซัตทเวนขยับขาเดินตรงไปตามถนนโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
…
เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง
ขณะฟอร์สกำลังอ่าน ‘งามอย่างกุลสตรี’ ฉบับล่าสุด เธอได้ยินเสียงบิดกุญแจและเปิดประตู
“ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกนัก?” หญิงสาวเงยหน้ามองซิลที่ประตู
ซิลลูบผมสีทองสั้นพลางตอบ
“ในตอนที่เดินทางกลับบ้าน ฉันเห็นสัญลักษณ์นัดหมายของ MI9… เป็นการนัดประชุมแบบเร่งด่วน”
“คราวนี้มีอะไรอีก?” ฟอร์สวางนิตยสารในมือลงด้วยความสนใจ
“ความคืบหน้าของคดีฆาตกรรมมิสเตอร์ X” ซิลก้มลงใส่รองเท้าแตะ กล่าวโดยไม่มองหน้า
สีหน้าของฟอร์สชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกลอกตาถาม
“มีเบาะแสเพิ่มเติม?”
“น่าจะยังเรียกว่าเบาะแสไม่ได้… ยังจำได้ไหม? ในตอนนั้นมีพายุทอร์นาโดระดับครึ่งเทพโผล่ขึ้นในจุดเกิดเหตุ ไม่ใช่เรื่องปรกติที่คนนอกโบสถ์วายุสลาตันจะใช้พลังแบบนี้… และเมื่อคืนที่ผ่านมา พายุทอร์นาโดคล้ายเดิมแต่ขนาดเล็กลง โผล่ขึ้นในเขตท่าเทียบเรือของท่าเรือพริสต์ มัมมี่ฟาโรห์ถูกขโมยไปท่ามกลางความวุ่นวาย” ซิลอธิบายอย่างกระชับ “MI9 สงสัยว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน จึงขอให้ฉันพยายามรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น”
ในบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ของเรายังมี ‘พายุทอร์นาโด’ ถูกบันทึกไว้อยู่… มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์? เขาขโมยมัมมี่ฟาโรห์ไปเพื่ออะไร? ฟอร์สยิ้มแห้ง
“อาจเป็นฝีมือของโบสถ์วายุสลาตันก็ได้นี่?”
ซิลกลอกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อมองหาของกิน
…
เช้าตรู่ บ้านเลขที่ 160 ถนนเบ็คลันด์
หลังจากไคลน์ล้างหน้าเสร็จและเตรียมเปิดประตูให้ริชาร์ดสันเข้ามา สัมผัสวิญญาณของมันพลันถูกกระตุ้น จากนั้นก็เห็นร่างไร้ศีรษะของมิสผู้ส่งสารโผล่ออกจากความว่างเปล่า หัวทั้งสี่ถูกมือสองข้างหิ้วไว้
หนึ่งในศีรษะกำลังคาบซองจดหมายที่ค่อนข้างหนา ก่อนจะอ้าปากและคายเหรียญทองกองใหญ่
ได้จ่ายหนี้สักที… ไคลน์หันไปมองศีรษะของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่ไม่ได้เชื่อมกับลำคอด้วยความโล่งใจ
“ผมยังติดหนี้คุณอีก 3,413 เหรียญทอง… ถึงเวลาชำระส่วนสุดท้ายแล้ว”
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มผมว่ากองเหรียญทองเหล่านี้ช่างดูคุ้นตา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะสำหรับไคลน์ เหรียญทองทั้งหมดดูคุ้นตาเสมอ