ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1079 : คนสวนแสนขยัน

ราชันเร้นลับ 1079 : คนสวนแสนขยัน

เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลโบกมือและเสกไม้กางเขนเจิดจรัส

ไม้กางเขนทองแดงอมสีเขียวกำลังถูกประกบติดกับกระดุมธรรมดาๆ หนึ่งเม็ด บนพื้นผิวของกระดุมมีตะกอนถูกขับออกมาเป็นอนุภาคสีใสคล้ายผลึกแก้ว มอบความรู้สึกกดดันให้แก่ผู้พบเห็น

นี่คือกระดุม ‘ผู้พิพากษา’ ของเฮอร์มิท แคทลียาซึ่งถูกจองซื้อโดยมิสจัดจ์เมนต์ในราคาสามพันห้าร้อยปอนด์ ดังนั้น พลเรือเอกดวงดาวจึงต้องสังเวยให้มิสเตอร์ฟูลล่วงหน้า ตัวตนลึกลับรายนี้จะได้มีเวลาสั่งให้เทวทูตป่นตะกอนพลังและจัดระเบียบใหม่

และในชุมนุมทาโรต์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จัดจ์เมนต์ ซิลยังถามหาซื้อสูตรโอสถผู้พิพากษาในราคาสองพันปอนด์

จากข้อตกลงร่วมกัน ออเดรย์ไม่สามารถแบ่งปันสูตรโอสถทุกชนิดที่ได้รับจากการสำรวจ ‘การเดินทางของกรอซาย’ กับผู้อื่นได้ เพราะนี่คือ ‘ความช่วยเหลือฟรี’ หนึ่งครั้งที่เธอเคยติดค้างกับเดอะเวิร์ล แต่ในกรณีของเลียวนาร์ด มันสามารถขายสูตรโอสถและความรู้ทางประวัติศาสตร์จาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ได้อย่างอิสระ ทว่า ท้ายที่สุดแล้วจัดจ์เมนต์ ซิลก็ยังเชื่อใจเดอะเวิร์ลมากกว่า

ขั้นตอนการขับตะกอนพลังใกล้เสร็จแล้ว หลังจบงานนี้ เราสามารถนำไม้กางเขนเจิดจรัสไปแลกเปลี่ยนกับเดอะซันน้อยได้อย่างสบายใจ… ถ้าในอนาคตมีความต้องการที่คล้ายคลึงกัน สมาชิกคนอื่นคงพุ่งเป้าไปขอความช่วยเหลือจากเดอะซันมากกว่ามิสเตอร์ฟูล เพราะไม่มีใครอยากรบกวนตัวตนลึกลับบ่อยๆ ถ้าไม่จำเป็น…

ในอนาคต เมื่อเดอะซันน้อยใกล้จะเป็นครึ่งเทพ เราคงต้องหาวิธีป่นไม้กางเขนเจิดจรัสให้เป็นตะกอนพลัง… แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล ถึงตอนนั้นเราคงกลายเป็นลำดับ 3 แล้ว สามารถระดมพลังของมิติลึกลับแห่งนี้ได้มากพอที่จะป่นสมบัติปิดผนึกให้แหลกละเอียด…

หลังจากผ่าน ‘การฆ่าเชื้อ’ ของมิติหมอก อาดัมไม่น่าจะใช้ไม้กางเขนเจิดจรัสเพื่อ ‘ล็อกเป้า’ เดอะซันน้อยได้… แต่ต่อให้หาพบ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอามุนด์น้องชายอาดัมรู้มานานแล้วว่าเดอะซันน้อยเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ฟูล…

อา… ดูเหมือนว่าอามุนด์สามารถเข้าออกดินแดนเทพทอดทิ้งได้อย่างอิสระ แต่ไม่รู้ว่าอาดัมทำได้เหมือนกันไหม… ไคลน์จับไม้กางเขนเจิดจรัสแยกออกจากกระดุมผู้พิพากษาซึ่งเริ่มสรรเสริญดวงอาทิตย์ ระหว่างที่รอให้เดอะซันน้อยประกอบพิธีกรรมสังเวย มันเฝ้ามองตะกอนพลังที่ถูกขับออกมาจับตัวกันเป็นก้อนอีกครั้ง

ภายในยอดหอคอยของเมืองเงินพิสุทธิ์

หลังจากจัดเตรียมแท่นบูชาเสร็จ เดอร์ริค·เบเกอร์ยืนจ้องตุ๊กตาดินเหนียวสีดำเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชาโดยถือแท่งไม้ธรรมดาๆ ไว้ในมือ

หลังจากการสวดมนต์ที่สำรวจและดำเนินขั้นตอนที่จำเป็น ประตูแห่งการสังเวยและรับมองก็เปิดออก ไม้เท้าแห่งชีวิตถูกดูดเข้าไปและแทนที่ด้วยไม้กางเขนทองแดงอมเขียวซึ่งมีหนามแหลมล้อมรอบ

ขณะเดียวกัน ชื่อของไม้กางเขนดังขึ้นในหัวเด็กหนุ่มพร้อมกับวิธีการใช้และผลข้างเคียง

มันข่มความตื่นเต้นและรีบขอบคุณมิสเตอร์ฟูล จากนั้นก็สิ้นสุดพิธีกรรมและเดินไปทางด้านหน้าแท่นบูชา หยิบไม้กางเขนเจิดจรัสขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด

เก็บกวาดเสร็จ เดอร์ริคเดินออกจากห้อง ข้ามมายังห้องฝั่งตรงข้ามและเคาะประตู

“เข้ามา” โคลิน·อีเลียดส่งเสียงอนุญาต

เดอร์ริคบิดที่จับและดันประตูเปิด เดินเข้าไปพร้อมกับแสดงไม้กางเขนทองแดง

“ท่านเจ้าเมือง ตามที่เคยกล่าวไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พระองค์เหลือทิ้งไว้… ชื่อของมันคือไม้กางเขนเจิดจรัส ใช้งานโดยการให้หนามที่พันรอบไม้กางเขนสัมผัสกับเลือดของผู้ถือ”

คราวนี้มันจงใจเลี่ยงคำว่า ‘มรดก’ และใช้ ‘สิ่งที่เหลือทิ้งไว้’ แทน

โคลินเจ้าของเส้นผมสีเทาหันมาจ้องตั้งแต่วินาทีที่เดอร์ริคถือไม้กางเขนเข้ามาในห้อง หลังจากฟังคำอธิบายจบ มันเดินไปเข้ามาใกล้ด้วยฝีเท้าหนักแน่น รับไปถือพร้อมกับตรวจสอบอย่างละเอียด

จนกระทั่งโคลิน·อีเลียดกดนิ้วโป้งลงบนหนามแหลม ปล่อยให้เลือดสีแดงไหลซึมออกมา

เมื่อคราบสีเขียวทองแดงลอกออก ไม้กางเขนเจิดจรัสก็เผยร่างจริงซึ่งเป็นแสงสว่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่งผลให้เงาดำทั้งหมดอันตรธานหายไปจากห้อง

จนกระทั่งบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์อันท่วมท้นปกคลุมทุกซอกมุม โคลินปล่อยนิ้วออกจากหนาม ถอนหายใจและกล่าว

“สิ่งนี่เป็นของพระองค์…”

แม้ว่ามันจะเกิดหลังจากเมืองเงินพิสุทธิ์ถูก ‘ทอดทิ้ง’ ถึงสองพันกว่าปีและไม่โอกาสได้สัมผัสถึงออร่าแห่งเทพโดยตรง แต่เมืองแห่งนี้ก็ยังเก็บรักษาวัตถุหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมสังเวยแด่พระผู้สร้าง และพวกมันจะถูกนำออกมาใช้ในยามสังเวยหญ้าผิวดำ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่โคลินจะสามารถระบุที่มาและต้นกำเนิดของไม้กางเขนในมือ

เดิมทีเดอร์ริคต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อได้ยินประโยคที่แฝงความหนักแน่นเมื่อครู่ มันกลับกล่าวสิ่งใดไม่ออก

โคลิน·อีเลียดมิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เพียงยืนถือไม้กางเขนเจิดจรัสอย่างเหม่อลอยเป็นเวลานาน

ผ่านไปหลายสิบวินาที ผู้นำสูงสุดแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ทำลายความเงียบด้วยการกล่าวเสียงต่ำ

“เป็นเรื่องดีที่สิ่งของของพระองค์กลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง นี่คือลางสังหรณ์ว่ารุ่งอรุณกำลังจะมาเยือน… ผมขอยืมไม้กางเขนอันนี้สักครึ่งวันเพื่อแสดงต่อหน้าอาวุโสทุกคน… หึหึ… ถึงแม้จะเป็นผม แต่ก็ใช่ว่าจะแลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษได้ตามใจชอบ… ในเมื่อผมทำไม้เท้าแห่งชีวิตสูญหาย อาวุโสคนอื่นก็ต้องได้ทราบเรื่องนี้และร่วมกันตัดสินบนลงโทษ… คุณต้องจำไว้ในดี ในฐานะหัวหน้า การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวคือสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่กลัวที่จะรับผลกระทบที่ตามมา… ต่อให้ทำไปเพื่อเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะพ้นจากความผิด… บางทีการตัดสินใจในคราวนี้อาจถูกต้อง แต่คุณไม่มีทางเลือกถูกต้องได้ทุกครั้ง… สบายใจได้ ท้ายที่สุดแล้วไม้กางเขนเจิดจรัสอันนี้จะกลับสู่มือคุณ”

คำพูดของท่านเจ้าเมืองช่างซับซ้อน… คงต้องให้มิสเตอร์แฮงแมนช่วยอธิบายในการชุมนุมทาโรต์ครั้งหน้า… เดอร์ริคต้องการยกมือขวาขึ้นมาเกาท้ายทอยตามนิสัย แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตัวเองและเลือกที่จะอธิบายผลข้างเคียงด้านลบของไม้กางเขน

บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน เขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์

ไคลน์สังเวยหุ่นเชิดผู้ชนะ เอ็นยูนเข้าไปในมิติหมอกเพื่อ ‘เก็บรักษา’ จุดประสงค์เพื่อความคล่องตัวในแผนการถัดไป – มันตั้งใจที่จะให้เคาต์แห่งการเสื่อมถอย โจนาส·โคลเกอร์สวมแหวนบุปผาโลหิตพร้อมกับไม้เท้าแห่งชีวิต จากนั้นก็สร้างความสยองขวัญและพิสดารเป็นครั้งคราวในชีวิตประจำวันเพื่อเร่งความเร็วในการย่อยโอสถ ดังนั้น เมื่อเอ็นยูนไม่สามารถซ่อนตัวในท้องของโจนาสด้วยแหวนบุปผาโลหิต มันก็ต้องถูกเก็บแยกไว้ต่างหากอย่างมิดชิด จะได้ไม่เกิดปัญหาที่ยุ่งยากตามมา ไคลน์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากโยนไว้บนมิติหมอก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มันสามารถสร้างหุ่นเชิดตัวใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว

ทำไมเราถึงรู้สึกแปลกๆ กับการนำหุ่นเชิดไปไว้ใน ‘ตู้เก็บ’ … มันดูเหมือนกับ… หนังสยองขวัญ… แต่แบบนี้ก็เหมาะกับชื่อจอมเวทพิสดารดี และนอกจากนั้น ทั้งเทวทูตของตระกูลซาราธและอันทีโกนัสต่างก็เก็บหุ่นโดยการนำไป ‘แขวนตากลม’ เห็นแบบนั้นแล้วของเราดูธรรมดาไปเลย! ไคลน์ลูบคางพลางนำไม้เท้าแห่งชีวิตยัดลงในไม้ค้ำแบบพิเศษที่ฝากมิสจัดจ์เมนต์ซื้อ

ไม้ค้ำอันนี้มีลักษณะกลวง สามารถใส่ดาบที่ไม่ยาวและกว้างจนเกินไป เหมาะแก่การซ่อนไม้เท้าแห่งชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากเสร็จพิธีกรรมสังเวย ไคลน์บังคับให้โจนาสที่อยู่ในร่างเอ็นยูนนำไม้เท้ากลับไปยังห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ติดกัน จากนั้นก็อาบน้ำและแต่งตัวเข้านอน ทิ้งตัวลงบนเตียง

ขณะกำลังนอนหลับอย่างผ่อนคลาย สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้น มันรีบลุกพรวดพร้อมกับมองไปทางระเบียงภายในห้อง

เนื่องจากผ้าม่านมิได้ปิดสนิท จึงสามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านนอก

พืชพรรณด้านนอกหน้าต่างกำลังแผ่กิ่งก้านเติบโตจนเต็มพื้นที่ ดอกไม้ปกคลุมหนาแน่นในลักษณะเบียดเสียดหลายชั้น ไคลน์จึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่ตนเผลอตื่นขึ้นมากลางป่าหรืออย่างไร

“หรือว่า..” หลังจากเดาได้คร่าวๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มุมปากไคลน์กระตุก

มันม้วนตัวลุกจากเตียงและเดินไปที่ระเบียง ดึงผ้าม่านเปิดออกจนสุด

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามิใช่สวนพฤกษาและดอกไม้ในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตสอีกต่อไป หากแต่เป็น ‘ป่าไม้’ อันเขียวชอุ่ม

นี่คือพลังการทำให้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยชีวิตชีวาทั้งพืชและสัตว์… ส่งผลให้เติบโตอย่างเร่งรีบและสืบพันธุ์ได้รวดเร็ว? แต่แบบนี้ไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ? สีหน้าไคลน์พลันบิดเบี้ยว

ย้อนกลับไปในตอนที่ใช้พลังทำนายเมื่อยืนยันผลข้างเคียงที่เกิดจากไม้เท้าแห่งชีวิต ไคลน์ได้เห็นภาพที่คล้ายคลึงกับสิ่งตรงหน้า แต่เนื่องจากวิวรณ์แจ้งว่าสิ่งนี้จะไม่สร้างอันตรายกับสภาพแวดล้อม มันจึงคิดว่ากระบวนการคงใช้เวลานาน ต้องใช้เวลาสักพักกว่าผู้คนรอบตัวจะค้นพบความผิดปรกติ ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องกังวลแต่อย่างใด

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจตรวจสอบด้ายวิญญาณทั้งหมดในละแวกใกล้เคียงและพบว่ามนุษย์ไม่ได้รับผลกระทบ แต่หนูกับแมลงสาบนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก

ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้มันค่อนข้างโล่งใจ สายตามองออกไปยัง ‘ป่า’ ด้านนอกพลางตัดพ้อ

“ถึงจะไม่อันตราย แต่มันก็อลังการเกินไปหน่อย… เวลาปรกติคงต้องเก็บไว้บนมิติหมอก”

ราวสิบวินาทีต่อมา เงาลางกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นภายใน ‘ป่า’ บ้างตัวบางเฉียบ บ้างตัวหนา ทั้งหมดสวมเสื้อกันลมสีดำ ใบหน้าแบนราบโดยปราศจากดวงตา คิว ปาก และจมูก

เงาลางเหล่านี้บ้างก้มบ้างยืน ช่วยกัน ‘เผา’ วัชพืชและกอหญ้าท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด บางส่วนก็คอยตัดเถาวัลย์และดอกไม้ส่วนเกิน

เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งวันที่พ่อบ้านวอลเตอร์ตื่นเช้าและเปิดหน้าต่างชมสวน

สวนดอกไม้ด้านนอกชุ่มฉ่ำไปด้วยสายหมอกยามเช้าและหยดน้ำค้าง กลิ่นหอมอันสดชื่นลอยโชยอย่างผิดปรกติ

“ดีกว่าเมื่อวาน…” วอลเตอร์พยักหน้าพลางชื่นชมคนสวนทั้งสองคน

ทว่า ภาพช่วงเช้าอันสดชื่นกลับทำให้มันรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก อยากกลับบ้านไปหาภรรยาใจจะขาด มันตัดสินใจออกจากห้องและเดินไปทางเรือนคนใช้พร้อมกับจัดแจงสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินมายังห้องอาหาร

เพียงไม่นาน ดอน·ดันเตสและบุรุษรับใช้ เอ็นยูนเดินลงมาจากชั้นสาม

วอลเตอร์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสดงความยินดี ตามด้วยการแจ้งตารางงานของนายจ้าง ปิดท้ายด้วยการสบโอกาสพูด:

“นายท่าน ผมต้องการใช้วันลาหยุดของเดือนนี้หนึ่งวัน”

กล่าวจบ มันหันไปเห็นผิวหนังบริเวณลำคอของบุรุษรับใช้ลูกครึ่งแยกออกจากกัน เผยให้เห็นดวงตาสีดำด้านใน

วอลเตอร์ตกตะลึงสุดขีดจนเกือบผงะถอยหลัง แต่หลังจากกะพริบตาหนึ่งหน มันพบว่าทุกสิ่งกลับเป็นปรกติ ไม่มีดวงตาประหลาดโผล่ขึ้นกลางลำคอของเอ็นยูน

คงเป็นเพราะเมื่อคืนเราฝันแปลกๆ จนนอนไม่หลับ… ทั้งขาดสมาธิและเห็นภาพหลอน… หลังจากกลั่นกรองความคิด วอลเตอร์รีบก้มศีรษะลง

ไคลน์ขอโทษในใจพลางผงกศีรษะ

“ไม่มีปัญหา ขอให้มีความสุขกับครอบครัว”

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท