ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1246 : ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง

ราชันเร้นลับ 1246 : ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง

คล้ายกับหมาป่าอสูรทมิฬที่กำลังกระหน่ำโจมตีใส่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์สัมผัสถึงบางสิ่ง มันชะลอความเร็วลงพลางหันไปจ้องวิญญาณอาฆาตที่เพิ่งปรากฏตัว

รูม่านตาที่กินพื้นที่กว่าสองในสามของดวงตาอยู่แล้วยิ่งขยายกว้างมากกว่าเก่า ประหนึ่งได้กลิ่นออร่าอันตรายที่คุ้นเคย

วิญญาณอาฆาตยกแขนขึ้นในพริบตา

‘พลังปรารถนา’ ที่ปกคลุมพื้นที่เริ่มสลายตัวด้วยอัตราเร่ง ออร่าเทพทยอยคืนกลับมาถึงลำดับ 4 ทันใดนั้นเอง บึงใต้ฝ่าเท้าหมาป่าอสูรทมิฬพลันผุดท่อนแขนมายาสีซีดเป็นจำนวนมาก พวกมันเบียดเสียดราวกับป่า จับคว้าขาตั้งแปดข้างของโคทาร์ไว้จนมันเกิดความรู้สึกเย็นเยียบและเงียบเชียบโดยมิอาจสลัดหลุดได้ชั่วขณะ

ฉวยโอกาสดังกล่าว ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่เคยเคลื่อนไหวร่างกายได้เชื่องช้าเนื่องจากถูกควบคุมด้ายวิญญาณ รีบเปลี่ยนเป็นร่างมายาและเลือนหายไปในทันที

บนกระจกตาสีดำของหมาป่าอสูรทมิฬ มิสผู้ส่งสารผมสีทองดวงตาสีแดงที่แต่งกายในเดรสโกธิกซับซ้อนและมีเถาวัลย์รายล้อม ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันและประสบความสำเร็จในการสิงร่าง

พฤติกรรมของเทพแห่งความปรารถนาโคทาร์เชื่องช้าลงทันที ราวกับถดถอยจากสิ่งมีชีวิตกลายเป็นเพียงหุ่นเชิด

มันพยายามดิ้นรนขัดขืนไปพร้อมกับตอบโต้ด้วยการควบคุมด้ายวิญญาณของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ แต่ทุกครั้งก็จะถูกก่อกวนโดยฝ่ามือสีซีดที่เกิดจากฝีมือวิญญาณอาฆาตหญิงอีกตนขยับตัวไม่สะดวก

ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์ที่พยายามคงสภาพด้ายวิญญาณเป็นวงกลมบรรจงยกไม้เท้าดวงดาวขึ้นมาชี้ไปทางม่านกำมะหยี่สีดำที่อยู่ในรูปลักษณ์ผ้าคลุม

จากนั้นก็ร่างฉากหนึ่งภายในใจ

ความมืดรอบตัวเริ่มไหลเวียนราวกับอัดแน่นไปด้วยความลับมหาศาล แสงเทียนดวงเล็กจำนวนมากทยอยสว่างขึ้นท่ามกลางความมืดจนเผยให้เห็นโต๊ะยาวที่มีเลือดเนื้อวางอยู่เต็ม

สองฝั่งของโต๊ะยาวมีร่างที่พร่ามัวจำนวนสามร่างกำลังหยิบเลือดเนื้อขึ้นมากัดกินอย่างหิวโหย

วินาทีถัดมา ร่างทั้งสามเงยหน้าและหันไปมอง ‘ม่าน’ กำมะหยี่สีดำใสเป็นตาเดียว

แรงดึงดูดปริมาณมหาศาลที่มีศูนย์กลางมาจาก ‘ม่าน’ เกิดหยุดลงกะทันหัน ม่านผืนดังกล่าวทำเพียงลอยกลางอากาศแน่นิ่งในสภาพคล้ายเสื้อคลุม ประหนึ่งกำลังหลงลืมชั่วขณะว่าตนเป็นใคร อยู่ฝ่ายใด และควรทำสิ่งใดต่อ

งานเลี้ยงแห่งการทรยศ!

งานเลี้ยงแห่งการทรยศจากเวทมนตร์นิทานปรัมปรา!

เมื่อครู่ไคลน์ทำการเลียนแบบเวทมนตร์ที่เฮอร์มิทแคทลียาเคยใช้งาน ความสามารถคือการทำให้วัตถุในมือเป้าหมายมีสติปัญญาขึ้นมาและตัดสินใจทรยศต่อเจ้าของ!

นี่คือพลังในขอบเขตลำดับ 4 ก่อนหน้านี้ไคลน์จึงมิอาจใช้งานได้เพราะติดเงื่อนไข ‘พลังปรารถนา’ ของโคทาร์

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเลียนแบบของไม้เท้าดวงดาวจะทำให้ประสิทธิภาพของพลังด้อยลงจากต้นฉบับมาก ผลลัพธ์จึงออกมาแค่ทำให้ ‘ม่าน’ เหม่อลอยไปชั่วขณะโดยไม่ได้โจมตีใส่เจ้าของ

และทันทีที่หลุดพ้นจากอิทธิพลของม่าน ไคลน์รีบดีดนิ้วเพื่อเสกเปลวไฟสีแดงเข้มให้ลุกท่วมร่าง

ไม่กี่อึดใจถัดมา มันหายตัวไปโผล่ที่เปลวไฟด้านข้างหมาป่าอสูรทมิฬในสภาพแต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและชุดกันลมสีดำตัวยาว

เปลวไฟพุ่งสูงขึ้นฟ้า ช่วยให้ไคลน์กระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายได้สะดวก

ชายหนุ่มโค้งหลังเล็กน้อยขณะพุ่งเข้าหาหมาป่าอสูรทมิฬร่างยักษ์ด้วยไม้เท้าดวงดาว

กึก กึก กึก!

ไคลน์เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนดูคล้ายกับสายลมกระโชก สิ่งที่กำลังรอคอยชายหนุ่มคือหมาป่าอสูรทมิฬซึ่งยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก

ปึก! ปึก!

ไคลน์สะบัดไม้เท้าไปทางฝั่งซ้ายและขวา กระแทกใส่อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างของโคทาร์จนพวกมันชะงักไปชั่วขณะ

จากนั้นก็โน้มตัวลงและร่อนไปตามช่องว่างระหว่างขาหน้าทั้งสองข้าง

ท่ามกลางเสียงสายลมโหยหวน ไคลน์หมุนตัวกลางอากาศและกระแทกไม้เท้าดวงดาวขึ้นด้านบน

สิ้นเสียงกระแทกทื่อๆ ไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีจำนวนมากพลันพุ่งผ่านผิวหนังของโคทาร์ที่ปกคลุมด้วยขนสั้นสีเข้ม ปลายไม้เท้าเจาะลึกเข้าไปในร่างหมาป่าอสูรทมิฬ ไคลน์ตัดสินใจออกแรงกรีดเป็นทางยาวจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์

ฉูด!

เลือดสีดำเจือแดงเข้มพวยพุ่งราวกับกระแสน้ำทะลัก พ่นของเหลวที่มีคุณสมบัติกัดกร่อนรุนแรงของสัตว์ในตำนานลงบนร่างไคลน์

แต่ในปัจจุบัน ไคลน์อาศัยแรงปะทะถีบตัวเองให้ลอยไปอีกทางหนึ่งและเตรียมโจมตีระลอกถัดไป

ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มได้ยินเสียงคำรามดังต่อเนื่อง

เป็นเสียงของหมาป่าอสูรทมิฬที่กำลังถูกวิญญาณอาฆาต ‘สิงร่างเบื้องต้น’ สามารถถอดความหมายได้ว่า:

“เล…โอ…เด…โร!”

“…” ดวงตาไคลน์พลันแข็งทื่อเมื่อได้เห็นรอยยิ้มแฝงเลศนัยของโคทาร์

มันไม่ใช่คนเดียวที่สามารถกระตุ้นพลังที่หลงเหลือของทวยเทพได้ หมาป่าอสูรทมิฬก็ทำได้เช่นกัน!

แม้มันจะไม่ทราบว่าเทวทูตวายุเลโอเดโรได้กลายเป็นเทพวายุสลาตันแล้ว แต่เมื่อเห็นไคลน์ทำเป็นตัวอย่าง การเลียนแบบก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แค่พูดตามให้ถูก มีใครทำไม่ได้ด้วยหรือ?

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

พายุสายฟ้าสีเงินสว่างกระหน่ำผ่าลงมายังเบื้องล่างอย่างมูมมามประหนึ่งน้ำไหลออกจากท่อ ทุกเส้นปกคลุมทุกสรรพสิ่งภายในปราสาทโบราณอย่างท่วมท้น

ไคลน์เกือบตอบสนองไม่ทัน หลังจากได้ยินครึ่งแรกของชื่อ มันพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะใช้พลังตัวตลกบิดหมุนร่างกาย ขาขวาถูกสะบัดเพื่อส่งร่างกายตัวเองกลับเข้ามายังใต้ท้องหมาป่าอสูรทมิฬ ส่วนไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ก็รีบกลับเข้ามาสิงในเหรียญทอง

ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์คุกเข่าลงพร้อมกับแทงไม้เท้าดวงดาวลงไปในพื้น

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

พายุสายฟ้าขนาดมหึมายังคงกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางทาง

เมื่อสายฟ้าเริ่มสลายตัว ตอนนี้คงเรียกปราสาทโบราณของหมาป่าอสูรทมิฬว่า ‘ซากปรักหักพัง’ ไม่ได้อีกต่อไป เพราะแทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือนอกจากหลุมลึกขนาดใหญ่ที่ไหม้เกรียม

ภายในหลุมลึก แม้กระดาษคนก็ยังถูกป่นเป็นเถ้าถ่าน

ทันใดนั้น เนื้อดินอ่อนนุ่มที่เต็มไปด้วยเกล็ดกระจกหลากสีเกิดขยับเขยื้อนและมีมือที่ไหม้เกรียมของไคลน์โผล่ออกมา

เมื่อตระหนักว่าร่างของหมาป่าอสูรทมิฬคงทนรับความเสียหายทั้งหมดไม่ไหว ชายหนุ่มตัดสินใจใช้กระดาษคนตัวแทนและ ‘ดินยุบตัว’ เพื่อเอาตัวรอดอย่างฉิวเฉียด แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นเนื้อย่างลอยโชยมาจากร่างกายตัวเอง

หลังจากคลานกลับขึ้นมาถึงพื้น ไคลน์ที่เสื้อผ้าขาดวิ่นรีบกวาดสายตาสำรวจสถานการณ์:

ซากของหมาป่าอสูรทมิฬกระจัดกระจายไปทุกทิศ สนามรบเต็มไปด้วยเศษเนื้อไร้ชีวิตชีวา

‘ม่าน’ กำลังม้วนตัวเป็นลูกบอลอยู่ตรงขอบหลุมลึกโดยไม่กระดุกกระดิก

‘พลังปรารถนา’ เลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ออร่าเทพกลับคืนมายังบริเวณใกล้เคียงอีกครั้ง

วิญญาณอาฆาตที่เชื่อมต่อกับมรณาเทียมถูกทำลาย…

หากเป็นผู้วิเศษคนอื่นคงคิดว่าหมาป่าอสูรทมิฬต้องการทำลายตัวเองไปพร้อมศัตรู แต่สำหรับไคลน์ที่เป็นครึ่งเทพเส้นทางนักทำนายและเคยลิ้มลองสิทธิพิเศษของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ล่วงหน้า ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที:

ปาฏิหาริย์คือสิ่งใด? คือการฟื้นคืนชีพจากความตายยังไงล่ะ!

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก มันไม่ลังเลเลยที่จะเรียกเทวทัณฑ์ลงมาฆ่าทุกคน จากนั้นตัวเองก็จะคืนชีพที่ใดสักแห่งในบริเวณใกล้เคียง!

เราเกือบต้องใช้โควตาคืนชีพครั้งสุดท้าย…

สำหรับประเด็นดังกล่าว ไคลน์เตรียมวิธีรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว มันรีบนำยันต์ที่สลักสัญลักษณ์เดอะฟูลออกมาใช้เพื่อเป็นทางผ่านในการสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลต่อหน้ามิสผู้ส่งสาร จากนั้นก็จะใช้ระบบส่งตัวเองกลับแบบด่วนที่ปราสาทต้นกำเนิดอนุญาตภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ปิดท้ายด้วยการอาศัยจุดแสงวิงวอนของตัวเองเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมด้วยตาทิพย์และมองหาจุดคืนชีพของหมาป่าอสูรทมิฬ

ในเวลาเดียวกัน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ออกจากเหรียญทองในกระเป๋าเสื้อไคลน์และหายตัวไปโผล่ข้าง ‘ม่าน’ ที่ขดตัวเป็นก้อน ตามด้วยกล่าวด้วยเสียงล่องลอย:

“เจ้านี่มีส่วนประกอบของตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หนึ่งก้อน”

ตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หนึ่งก้อน? นั่นสินะ… สมมติให้ตำแหน่งบริวารเร้นลับถูกครอบครองเต็มสามที่นั่ง จำนวนตะกอนผู้ชี้นำปาฏิหาริย์จะเหลือแค่หกตำแหน่ง และโคทาร์คือผู้ครอบครองก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่… หากจะมีตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ส่วนเกิน มันก็ต้องมาจากตะกอนพลังบริวารเร้นลับก้อนสุดท้ายที่หายไป… ขณะได้ยินคำบอกเล่าของมิสผู้ส่งสาร สัมผัสวิญญาณของไคลน์ก็แจ้งเตือนในสิ่งเดียวกัน มันจึงนำข้อมูลไปปะติดปะต่อกับสิ่งที่วิล·อัสตินเคยเล่าให้ฟัง:

ตามปรกติแล้วจะมีตะกอนผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ทั้งหมดเก้าก้อน แต่ถ้าสมมติให้มีบริวารเร้นลับครบสามตน ทุกตนจะมีตะกอนพลังอยู่กับตัวจำนวนหนึ่งก้อน ส่งผลให้ตะกอนพลังของลำดับ 2 อย่างผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ต้องเหลือแค่หกก้อน โดยหกก้อนประกอบด้วยของซาราธ อันทีโกนัส ตะเกียงวิเศษประทานพร โรงละครที่ไม่มีวันปิดม่าน งานเลี้ยงมื้อสุดท้าย และหมาป่าอสูรทมิฬ…

เดิมทีไคลน์ต้องการล่าโคทาร์เพื่อช่วงชิงตะกอนพลัง แต่คาดไม่ถึงว่าไม่เพียง ‘ม่าน’ จะมีตะกอนพลังของลำดับ 1 อย่างบริวารเร้นลับ แต่มันยังมีตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์รวมอยู่ด้วย หมายความว่านี่คือตะกอนพลังบริวารเร้นลับก้อนสุดท้ายที่หายไปนาน

ดูเหมือนว่าหมอกสีเทาจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มันหายตัวไป จากนั้นก็ถูกพ่นออกมาในภายหลัง… แล้วเรายังจำเป็นต้อง ‘ดักจุดเกิด’ หมาป่าอสูรทมิฬอยู่อีกไหม? ไม่ควร… เราไม่มีทางทราบได้ว่าอามุนด์หรือพระผู้สร้างแท้จริงจะเสด็จเยือนตอนไหน และปัจจุบันก็แทบไม่หลงเหลือไพ่ตายสำหรับต่อสู้อีกแล้ว ในทางกลับกัน โคทาร์ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์… มันทั้งสามารถสร้างคำปรารถนา อัญเชิญภาพฉาย และสร้างปาฏิหาริย์… ต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายของเราคืออะไร… ตอนนี้ก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์เงยหน้าขึ้นพูดกับมิสผู้ส่งสาร

“ผมจะนำม่านผืนนี้กลับไป”

ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะดักจุดเกิดหมาป่าอสูรทมิฬ และเปลี่ยนไปช่วงชิงม่านที่กำลังอ่อนแอแทน

ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางซากศพของหมาป่าอสูรทมิฬ

ทันใดนั้น ซากศพพลันสว่างวาบพร้อมกับแปรสภาพกลายเป็นกระต่ายหรือไม่ก็แกะสีขาว เป็นประเภทที่เนื้อฉ่ำอวบอ้วน

ณ จุดลับตาในบริเวณใกล้เคียง ร่างของหมาป่าอสูรทมิฬขนสั้นสีเข้มถูกร่างขึ้นจากความว่างเปล่า

มันทิ้งศพเก่าของตัวเองอย่างไม่ไยดี สิ่งแรกที่โคทาร์ทำคือการขอพรกับตัวเองและตอบสนองเอง ช่วยให้มันสามารถเทเลพอร์ตไปยังสถานที่ห่างไกลโดยไม่คิดกลับมาเหลียวแลบริเวณนี้อีก

เทพแห่งความปรารถนาไม่มัวนึกเสียดาย ‘ม่าน’ แม้แต่วินาทีเดียว การที่มันไม่คืนชีพในตำแหน่งเดิมก็เพราะหวังว่าม่านผืนดังกล่าวจะช่วยถ่วงเวลาอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะสนิทสนมกับรัตติกาลไว้ได้สักพัก และเป็นไปตามที่ต้องการ ม่านผืนนั้นช่วยให้โคทาร์หลบหนีไปได้อย่างราบรื่น

สิ่งที่ทำให้โคทาร์มีชีวิตยืนยาวตั้งแต่ยุคสมัยที่สองจวบจนปัจจุบันก็คือ มันซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองอย่างมาก รู้ว่าจังหวะไหนควรโลกและไม่ควร

แสงสว่างวาบอีกครั้ง หมาป่าอสูรทมิฬที่มีกระจุกขนสีเทากึ่งกลางหน้าผากพลันเลือนหายไปในความมืด

ไคลน์ไม่ได้ห้ามปรามการระบายโทสะของมิสผู้ส่งสาร ชายหนุ่มเพียงเดินเข้าไปใกล้ม่านพลางพึมพำในใจ:

เทวทูตคือสิ่งมีชีวิตที่ตายยากมาก โดยเฉพาะเส้นทางนักทำนาย!

ท่ามกลางกระแสความคิด ขณะไคลน์เตรียมอัญเชิญตัวเองจากอดีตออกมาช่วยหยิบม่าน มันสัมผัสถึงออร่าที่คุ้นเคยได้เลือนราง

ออร่าดังกล่าวทั้งมืดมน สกปรก และเสื่อมทราม ทำให้ไคลน์หวนนึกถึงพระผู้สร้างแท้จริงในทันที!

ทันใดนั้นเอง ม่านลอยขึ้นในลักษณะคล้ายผ้าคลุมอีกครั้ง

ภายในผ้าคลุม ความมืดมิดหมุนวงเป็นวังวนพร้อมกับส่งเสียงทุ้มต่ำ

“เร้นลับ”

…………………………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท