บทที่ 30 การเดินทางสู่ปินเฉิง 1
เมื่อสองสามวันก่อน ฉู่ถิงขอแม่ของเธอว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ปินเฉิงกับนักเรียนของเธอ แต่หลินว่านหงกลับปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิดเลยแม้แต่น้อย
ล้อเล่นเหรอ? ทีแรกที่ฉันยอมตามใจเธอให้จับไปทบทวนบทเรียนกับเด็กคนนั้นเพราะกลัวว่ามันจะส่งผลต่ออารมณ์ของเธอจนส่งผลต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้การสอบเข้าวิทยาลัยจบลงแล้ว เธอยังกล้ามาขอฉันไปกันเด็กคนนั้นอีกเหรอ? จะไปชายหาดเพื่อจีบกับเด็กยากจนคนนั้นงั้นเหรอ? ไม่มีทาง!
แน่นอนว่าฉู่ถิงเจ็บปวดและร้องไห้อย่างหนัก
เป็นฉู่เฉียงที่ช่วยเธอพูด “อย่าอะไรนักเลย ทริปเรียนจบมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ปล่อยเธอไปเถอะ” เขาอดที่จะคิดถึงครั้งสุดท้ายที่เจอถานเสี่ยวเทียนที่ร้านอาหารไม่ได้ เหตุการณ์ในวันนั้นมันยังตรึงอยู่ในใจของเขา
หลินว่านหงประหลาดใจ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับสามีของเธอ?
“ถ้าคุณกังวลมาก ทำไมคุณไม่ไปปินเฉิงกับเธอล่ะ?” ฉู่เฉียงให้ทางออกภรรยาของเขา
หลินว่านหงมองดูสามีของเธอ จากนั้นก็มองไปที่ลูกสาวที่ร้องไห้จนตาบวมแล้วรู้สึกผิดขึ้นมา
******
บนรถไฟสายสีเขียวสายใต้ เสียงหัวเราะดังลั่น
ถานเสี่ยวเทียนนั่งบนที่นั่งแข็งๆ แถวที่สาม โดยมีหม่าเหว่ยอยู่ตรงกลางและจางต้าเผิงติดหน้าต่าง
ส่วนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่หันหน้าเข้ามาคือโจวหยุนที่นั่งติดริมหน้าต่าง ฉู่ถิงนั่งตรงกลาง ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามเขาคือหลินว่านหง
นี่มันน่าอึดอัดเล็กน้อย
ถานเสี่ยวเทียนถอนหายใจแล้วยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาปิดใบหน้าของเขา
เวลานี้ความเร็วของรถไฟสายสีเขียวนี่ช่างน่าอนาถ เมืองซานเฉิงอยู่ห่างจากเมืองปินเฉิงประมาณ 400 กิโลเมตร ในชาติก่อน หลังจากสร้างรถไฟความเร็วสูงเสร็จอาจจะใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ เพื่อไปให้ถึงปินเฉิง แต่ตอนนี้ยังเป็นรถไฟรุ่นเก่าอยู่จึงต้องใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมง
ในรถไฟไม่ต้องพูดถึงเครื่องปรับอากาศ แม้แต่พัดลมไฟฟ้ายังไม่มีเลย วิธีเดียวที่จะทำให้เย็นได้คือลมธรรมชาติที่พัดเข้ามาตอนที่รถกำลังเคลื่อนไป และในตอนที่รถไฟชะลอความเพื่อจะจอดที่สถานี ในรถไฟก็จะกลายเป็นเตาอบทันที
แต่อากาศร้อนอบอ้าวก็ไม่อาจจะหยุดอารมณ์ที่มีความสุขของนักเรียนที่เพิ่งสอบเข้าวิทยาลัยสำเร็จได้
ทั้งคันมีกิจกรรมมากมายทั้งโปกเกอร์ เกมส์ ร้องเพลงไปตลอดทาง…
มีเพียงแค่ถานเสี่ยวเทียนเท่านั้นที่อยู่เงียบๆ เงียบจะดูไร้ชีวิตชีวา
หลังจากที่ขึ้นรถมานานกว่าครึ่งชั่วโมง หลินว่านหงก็มั่นใจแล้วว่าถานเสี่ยวเทียนไม่สามารถทำอะไรกับลูกสาวของเธอต่อหน้าคนจำนวนมากได้ เธอจึงลุกขึ้นและพูดอะไรบางอย่างกับฉู่ถิง แม่ไปนั่งที่ห้องอาหารก่อนนะ
ก่อนที่หลินว่านหงจะออกไป เธอก็หันกลับมาและเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าสีขาวของลูกสาวของเธอ ทันทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
หลินว่านหงยอมรับว่าถ้าตอนนี้เธออายุ 18 ปี ถ้าตอนนี้เธอยังบริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาว เธอก็จะตกหลุมรักเด็กผู้ชายที่ทั้งสูง หล่อและสดใสเหมือนลูกสาวของเธอ
ตั้งแต่วินาทีที่เธอขึ้นรถไฟมา เธอก็เฝ้าสังเกตถานเสี่ยวเทียนมาโดยตลอด และสิ่งที่ทำให้เธองุนงงและหวาดกลัวก็คือ นักเรียนมัธยมปลายคนนี้มีดวงตาที่เหมือนกับผ่านโลกมานาน มันเป็นดวงที่ไม่สามารถแสร้งทำได้
รูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ หัวใจที่โตเต็มที่ ถ้าเขาต้องการ มันก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะหนีพ้นเขาไปได้
เธอยอมแค่ครั้งนี้เท่านั้น หลังจากกลับจากปินเฉิง พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง
******
ทันทีที่หลินว่านหงจากไป บรรยากาศที่นี่ก็เปลี่ยนไปทันที
จางต้าเผิงก็เริ่มเล่นกลเพื่อทำให้โจวหยุนและฉู่ถิงหัวเราะ
“เบียร์ เครื่องดื่ม น้ำแร่ เนื้อปลาย่าง เมล็ดแตงและถั่วลิสง…” รถเข็นเร่ขายเดินผ่านมา เสียงร้องรถเข็นเร่ขายปลุกความทรงจำของยุคสมัย
ถานเสี่ยวเทียนเช็ดเหงื่อของเขาและเรียกรถเข็นเร่ขายให้หยุด “มีน้ำเย็นไหม?”
“สองหยวน!”
“อย่างอื่นก็มี อยากจะกินอะไรมาดูได้เลย!”
นักเรียนรวมตัวกัน อาหารที่เมื่อก่อนไม่ชอบ ตอนกลับดูน่ากินขึ้นมาทันที
เขาหยิบน้ำแข็งไสขึ้นมา…
ถานเสี่ยวเทียนและฉู่ถิงมองหน้ากันแล้วยิ้ม กลิ่นหอมของนมของน้ำแข็งไสทำให้สดชื่นและความหวานก็ส่งเข้าไปถึงหัวใจของพวกเขา
หกชั่วโมงต่อมา รถไฟมาถึงสถานีรถไฟปินเฉิง มีรถสองแถวจอดรออยู่ที่ทางออก รถทั้งหมดมาเพื่อรอรับนักเรียนไปที่อาคารซานกัง
มีผู้ปกครองของนักเรียนคนหนึ่งทำงานในบริษัทนำเที่ยว ดังนั้นยานพาหนะและที่พักสำหรับทัวร์นี้จึงได้รับการติดต่อล่วงหน้าแล้ว
หลินว่านหงกับฉู่ถิงไม่ได้ไปด้วย เธอจะพาลูกสองของเธอไม่พักที่อื่น แต่จะมาส่งฉู่ถิงให้มาเที่ยวเล่นกับคนอื่นๆ ในวันพรุ่งนี้
ฉู่ถิงออกไปพร้อมกับแม่ของเธอด้วยอาการหดหู่ แน่นอนว่าเธอต้องการอยู่กับเพื่อนนักเรียนของเธอ แต่หลินว่านหงไม่อนุญาต
อาคารซานกังเป็นสำนักงานของซานเฉิงกังเถี่ยกรุ๊ป (Shancheng Steel Group) ในปินเฉิง อาคารนี้มีทั้งโรงแรมและร้านอาหารมากมาย
นักเรียนยี่สิบสี่คนดื่มฉลองกันในห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดของอาคารซานกัง
“พี่ชาย หลังจากดื่มเหล้าแก้วนี้ เราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป” หลังจากที่สองคนชนแก้วก็ดื่มรวดเดียวหมด
“เสี่ยวเฉียน เธอยังจำวันที่หิมะตกหนักได้ไหม วันนั้นเธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีขาวเหมือนหิมะและยืนถ่ายรูปอยู่หน้าต้นดอกบ๊วย เธอไม่รู้หรอกว่าตัวเองนั้นสวยแค่ไหน ฉันตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้น” เพราะลิทธิสุราทำให้ในที่สุดชายแว่นก็กล้าสารภาพรักออกมา
หม่าเหว่ยดื่มมากเกินไปจนใบหน้าของแดง เขาจับถานเสี่ยวเทียนด้วยมือซ้ายและจางต้าเผิงด้วยมือขวาพร้อมกับร้องไห้ “เสี่ยวเทียน ต้าเผิง หลังจากที่นายทั้งสองเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พวกนายต้องมาหาฉันที่โรงเรียนตำรวจบ่อยๆ นะ ฮือฮือ…”
ในเวลานี้ ในที่สุดความโศกเศร้าที่ไม่สามารถไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก็ปะทุขึ้น และหม่าเหว่ยผู้ซึ่งไม่เคยยิ้มมาก่อน ตอนนี้กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง
จางต้าเผิงจับมือเพื่อนของเขาและพูดว่า “จะบ้าเหรอ? ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะสอบผ่านไหม? ฉันรอคอยเวลานี้มาตลอดสามปี แต่พอมันมาถึงจริงๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกเสียใจที่ไม่ตั้งเรียนขึ้นมาแล้วตอนนี้ เหล่าหม่าอย่าร้องไห้ เรามาพยายามด้วยกันเถอะ”
จางต้าเผิงชี้ไปที่ถานเสี่ยวเทียนและสาปแช่ง “ถานเสี่ยวเทียน นายยังกล้าเรียกตัวว่าเป็นพี่ใหญ่ของเราอีกงั้นเหรอ? ทำไมถึงได้ทิ้งเราไปเข้าวิทยาลัยคนเดียว!”
ถานเสี่ยวเทียนจับนิ้วของจางต้าเผิงและพูดอย่างหนักแน่น “ไอ้บ้า”
หลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนในชาติที่แล้ว ก็เป็นจางต้าเผิงและหม่าเหว่ยสองคนนี้ที่คอยมาปลอบโยนเขาที่บ้านบ่อยๆ มิตรภาพนี้ ถานเสี่ยวเทียนจะไม่มีวันลืมมันไปตลอดชีวิต
จางต้าเผิงคร่ำครวญและร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าหม่าเหว่ยและพูดว่า “ถานเสี่ยวเทียนไอ้สารเลว แกบอกว่าเราสามพี่น้องจะโดดเรียนไปด้วย แต่แกกลับทรยศพวกเราไปแอบเรียนอย่างหนัก ตอนนี้แกสบายแล้ว แกเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แถมแกยังเข้าไปคนเดียวอีกด้วย ต่อไปนี้พวกเราไม่ต้องการพี่ชายอย่างแกอีกต่อไป!”
จางต้าเผิงพูดดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามของเขาดังไปทั่วทั้งห้องส่วนตัว
“ลดเสียงลงหน่อย” ถานเสี่ยวเทียนมองไปรอบๆ นักเรียนทั้งหมดกำลังมองมาที่พวกเขา!
จางต้าเผิงพูดอย่างจริงจังขึ้นว่า “นอกจากนี้ นาย… ไอ้สัตว์ร้าย นายยังทำให้หัวหน้าห้องแปดเปื้อน… ฮือฮือฮือ แกทิ้งพวกเราไว้ข้างหลังได้อย่างไร!?”
ทันใดนั้นทั้งห้องส่วนตัวก็เงียบลง สายตาของคนมากกว่ายี่สิบคนพุ่งเข้ามาหาถานเสี่ยวเทียนทันที
หากการฆ่ามันไม่ผิดกฎหมาย ถานเสี่ยวเทียนก็ต้องการจะฆ่าจางต้าเผิงให้ตายลงในตอนนี้เลย
ตัวเขานั้นไม่เป็นไร แต่ฉู่ถิงเป็นเด็กผู้หญิง และเธอกลัวการเป็นที่นินทาของคนอื่นมากที่สุด