EP 530
By loop
พ่อของจินซูเจิงเองรู้สึกไม่สบายใจ
นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของเขาแล้ว เช่นเดียวกับตอนที่เขาทำงานก่อสร้างถ้าเขาเจอเจ้าหน้าที่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับสินบน พวกเขาก็จะเริ่มกลัวและรู้สึกไม่สบายเมื่อดำเนินการก่อสร้างไปเรื่อยๆ
ในฐานะน้องเขยของผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ยิ่งใหญ่อย่างโรงพยาบาลหยุนหัว พ่อของจินซูเจิง รู้ดีว่าแพทย์ในโรงพยาบาลอาจจะต้องเกรงใจเขา
อย่างไรก็ตามมีโอกาสไม่มากนักที่แพทย์เรานั้นจะกล้ามีเรื่องกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลและมีแพทย์ไม่มากนักที่จะกล้ายุ่งเรื่องแบบนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามการทำให้ดีที่สุดไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
พ่อของจินซูเจิง เขาเองต้องการหลิงรันให้มาเป็นแพทย์คนแรกที่เป็นคนรักษาลูกชายของเขา แม้ว่าแพทย์ที่เขาไว้ใจคนนั้นจะทำให้ลูกชายของเขามีโอกาสรอดเพิ่มขึ้นมา 1% ก็ตาม อย่างไรเขาก็ยินดีที่จะมอบรถออดี้คิว 7 ของเขาให้แพทย์คนนั้นทันที
ความคิดแบบนี้คล้ายกับมุมมองของครูที่มีต่อนักเรียนในเรื่องการสอนหนังสือ
ตราบเท่าที่ยังทำให้ลูกชายของเขากลับมามีสภาพที่ดีที่สุด เขาก็ยินยอมจะสละทุกอย่าง
ในขณะนั้นเขาไม่ได้สนใจเรื่องราคาค่าใช้จ่ายกับอาการเจ็บป่วยนี้เลย
สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้ คือ เขาจะรู้สึกโล่งใจมากถ้าเขาได้แพทย์ที่เก่งพอจะทำให้ลูกของเขาดีขึ้นได้
พ่อของจินซูเจิง ขับออดี้คิว7 ไปรอบ ๆหมู่บ้านที่เขาอยู่ตอนนี้ ‘แพทย์คนอื่น ๆ ในโรงพยาบาลหยุนหัวดูสุภาพมาก แต่นิสัยของหลิงรันดูแตกต่างจากแพทย์เหล่านั้นมาก‘
เมื่อเขาขับรถไปที่จอดรถพ่อของจินซูเจิงก็จอดรถและหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรออก
แผนการที่ตั้งไว้ในตอนแรกไม่ประสบความสำเร็จและดูเหมือนเขาจะมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
ในฐานะช่างก่อสร้างที่ทำงานอยู่แนวหน้าของการก่อสร้างตลอดทั้งปีพ่อของจินซูเจิง ไม่เชื่อว่าจะมีของขวัญที่ไม่สามารถมอบให้ได้
… ..
ในวันรุ่งขึ้นเวลา 6 โมงเช้าพ่อของจินซูเจิง รีบไปที่คลินิคตระกูลหลิง
พูดตามตรงมันเป็นเวลาพอสมควรแล้วที่เขาตื่นขึ้นมาในชั่วโมงนี้ครั้งสุดท้ายดังนั้นเขาจึงไม่คุ้นเคยกับการมองท้องฟ้าที่มืดมิดเล็กน้อย
ประตูไม้ด้านหน้าของคลินิคถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา แสงไฟนีออนยังคงส่องสว่าง ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อโค้ทม เขาดูเหมือนจะหลังค่อมในขณะที่เขาซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งเพื่อหลบลม
พ่อของจินซูเจิงมองไปที่ดวงตาของเขา เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและกำสัญญาณเตือนความปลอดภัย
พื้นผิวเคลือบสีดำของสัญญาณเตือนความปลอดภัยทำให้เขาโล่งใจ สัญญาณเตือนความปลอดภัย นั้นช่วยให้เขาสบายใจได้บาง
หลังจากนั้นไม่นานพ่อของจินซูเจิง ก็ค่อยๆเดินไปหาชายที่สวมเสื้อโค้ทตัวใหญ่และถามว่า “คุณเป็นใคร”
“ ผู้กำกับจิน?” บุคคลนั้นหันกลับมาและจำเขาได้
มือของพ่อของจินซูเจิงซึ่งจับสัญญาณเตือนความปลอดภัยขยับห่างจากสวิตช์เล็กน้อย เขาตอบอย่างสุภาพว่า “แล้วคุณล่ะ?”
“ผมหวงเหมาชิ ผมเป็นพนักงานขายใน บริษัทยาฉางซี ผมเคยพบคุณมาก่อนแล้วก่อนหน้านี้” หวางเหมาชิแสดงท่าทางที่สุภาพมากยิ่งขึ้น ‘เนื่องจกาเขาเป็นน้องเขยของผู้อำนวยการโรงพยาบาล! ถ้าฉันสามารถสร้างความประทับใจให้เขาได้ การขายของฉันก็จะสะดวกขึ้นมากๆ! ‘
เมื่อพ่อของ จินซูเจิงได้ยินว่าเขาเป็นตัวแทนขายยารอยยิ้มของเขาก็จางหายไปทันที เขายังเอามือออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วถามว่า “ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี้?”
“ ผมมาส่งอาหารเช้าให้หมอหลิง” หวงเหมาชิหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เขาแสดงกล่องอาหารกลางวันที่เขานำมาด้วย จากนั้นเขาก็พูดว่า “แป้งทอดและนมถั่วเหลืองจากเขตหนานเฉิงพร้อมกับมัสตาร์ดฟูหลิง หมอหลิงชอบทานอาหารพวกนี้มาก”
พ่อของจินซูเจิงขมวดคิ้วเมื่อเขามองไปที่กล่องอาหารกลางวันของหวงเหมาชิ
“ผู้กำกับจินคุณกำลังมองหาหมอหลิงอยู่หรือเปล่าผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมอาจจะช่วยได้” หวงเมาชิพูดอย่างไม่เป็นทางการด้วยคำพูดที่สุภาพราวกับว่าเขายินดีจะช่วยผู้กำกับ
พ่อของจินซูเจิง มีความคิดที่เบ่งบานอยู่ในหัวของเขาแม้ว่าสำหรับเขาแล้วตัวแทนขายยาเพียงแค่โปรโมตสิ่งต่างๆอย่างไร้ความหมาย แต่เขารู้ดีว่าผลกระทบของตัวแทนขายยาที่มีต่อแพทย์นั้นไม่อาจปฏิเสธได้
พ่อของจินซูเจิงได้ห็นรอยยิ้มอีกครั้งและเขาพูดว่า “หมอหลิงเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ของลูกชายของฉัน น้องหวง ใช่ไหมคุณต้องรู้ว่าหมอหลิง จัดการวินิจของผู้ป่วยอย่างไร”
หวงเหมาชิ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “หมอหลิงมักจะจัดทำแนวทางทั่วไปเมื่อพูดถึงการใช้ยาเขาจะปรึกษากับแพทย์ในแผนกหรือปรึกษาแพทย์จากภาควิชาอายุรศาสตร์”
ภาควิชาศัลยศาสตร์ใช้ยาอย่างโหดเหี้ยมมาโดยตลอด แม้แต่ผู้ที่เป็นหัวหน้าแพทย์หรือผู้อำนวยการแผนกก็ไม่ได้สนใจพวกเซลขายยา
เมื่อผู้ป่วยมีอาการอื่น ๆ ก็ขอคำปรึกษาจากภาควิชาอายุรศาสตร์
พ่อของจินจูเจิงขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่พอใจ “ฉันได้ยินมาว่าผู้ป่วยของหมอหลิงมักจะมีอาการดีขึ้นทุกครั้งหลังผ่าตัด”
“ หมอหลิงทำการผ่าตัดได้ดีมาก”
“และเขาก็มีความเชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ เช่นกัน”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หวงเหมาชิ ตระหนักว่าพ่อของจินซูเจิง เป็นหนึ่งในสมาชิกในครอบครัวที่รับมือได้ยากดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเพื่อไม่ให้ถูกลืมจากการสนทนานี้
เป็นเรื่องปกติแม้ว่าเขาจะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับน้องเขยของผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้
เมื่อหวงเมาชิเป็นนางแบบเขาเคยเห็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเจ้านายมากมาย แต่เขาไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับพวกเขาเลย ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าทางของน้องเขยของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเขาก็รู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นแล้ว
พ่อของจินซูเจิง ถามคำถามอีกสองสามข้อ แต่เขาไม่ได้รับผลลัพธ์และเขาก็หมดความสนใจเรื่องนี้ไปเลย
ทั้งสองคนยืนอยู่นอกคลินิคตระกูลหลิง พวกเขาถูกลมหนาวพัดมาและรู้สึกอึดอัดเอามากๆ
“แม้ว่าฉันจะซื้ออาหารเช้าจากร้านดัง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยและสะอาด” ผู้กำกับจินครุ่นคิดถึงคำพูดของเขาและกล่าวว่า “คนที่เป็นตัวแทนขายยาต้องขายยาและวัสดุสิ้นเปลืองที่ดีดูตัวแทนขายยาจากประเทศอื่น ๆ พวกเขาจะดูเป็นพวกไม่สนใจลูกค้าและไม่มีโปรโมชั่นส่วนลพิเศษใดๆเลยและแน่นอนว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องซื้อของผ่านคนเหล่านั้น “
“แสดงว่าพวกเขาพยายามจะผู้ขาดตลาดอยู่” หวงเหมาชิ + ตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันบอกว่าคนที่ไม่ง้อลูกค้าเช่นนั้นแหละ ที่เก่งพอจนลูกค้าต้องมาอ้อนวอนเพื่อซื้อของกับคนพวกนั้น”
“ใช่.”
“คุณมาถึงที่นี้ตอนไหน”
“ก่อนหน้าที่คุณจะมาถึงสักพัก” หวงเหมาชิตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจจะต้องคำถามเหล่านี้
ผู้กำกับจินถามว่า “คุณมาที่นี้บ่อยอย่างงั้นหรอ”
“ใช่.”
“ ถ้าหลิงรันต้องผ่าตัดล่ะปกติเขาจะตื่นเร็วกว่านี้ใช่มั้ย?”
“บางครั้งผมจมาส่งอาหารเช้าที่โรงพยาบาล แต่ไม่ใช่ทุกวัน”
ผู้กำกับจินยิ้มและพูดว่า “จริงอยู่เขาไม่ทานแป้งทอดและถั่วเหลืองทอดทุกวันได้หรอก แล้วยังตัวแทนขายยาอย่างพวกคุณก็เวียนกันมาดูแลหมอหลิงอย่างงั้นหรอ หรือพวกคุณคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้มาส่งแป้งทอดโดยเฉพาะ และถั่วเหลืองในขณะที่อีกคนส่งโจ๊กและซาลาเปาหรืออะไรประมาณนั้น “
หวงเหมาชิ รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยเมื่อเขายิ้ม “หมอหลิงไม่ชอบติดต่อกับคนอื่น ผมรู้จักหมอหลิงดีที่สุดในบรรดาตัวแทนขายยา”
ตอนนี้หวงเหมาชิ ไม่ได้ติดต่อกับแพทย์คนอื่นอีกต่อไป
ตัวแทนขายยาที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับหัวหน้าแพทย์รหรือสูงกว่านั้นมักจะทำเช่นนี้เช่นกัน
ผลประโยชน์ที่ดีสามารถเกิดขึ้นได้จากทีมแพทย์ของโรงพยาบาลเกรด A หรืออาจมีโรงพยาบาลในระดับที่ต่ำกว่ากลายเป็นแหล่งหารายได้หลักของพวกตัวแทนขายยา
การส่งแป้งทอดและถั่วเหลืองตอนหกโมงเช้าทุกวันก็เหมือนเป็นการซื้อใจหมอที่มีอิทธิพลในโรงพยาบาล ณ ตอนนี้ เขาคนนั้นก็คือหลิงรัน
“ หมอลิงชอบกินอะไรตอนเช้า” ผู้กำกับจินถามอย่างสงสัย
หวงเหมาชิเขาก็แสดงความภาคภูมิใจของเขาออกมาว่าเนื่องจากเขาดูแลหมอหลิงมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน และกล่าวว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาชอบกินเกี๊ยวผมเคยเห็นลุงหลิงโจวทำให้เขาทานสองครั้ง”
“อย่างั้นหรอ…”
ผู้กำกับจินถามคำถามอีกสองสามคำถามขณะเล่นโทรศัพท์ของเขา จากนั้นชายในเสื้อคลุมสีขาวก็เข้ามา
“ ผู้กำกับจิน” ชายคนนั้นทักทายเขาและวางตะกร้าลงในมือก่อนที่เขาจะพูดว่า “ได้เตรียมส่วนผสมสำหรับเกี๊ยวแล้วพวกมันก็สามารถทำได้ในไม่กี่นาที”
หวงเหมาชิตอนแรกยิ้มขณะที่เขามองไปที่ผู้กำกับจิน เมื่อได้ยินคำพูดของเขาเขาก็อดไม่ได้ที่จะงงงวย
ผู้กำกับจินไอและแนะนำชายคนนั้น “นี่คือพ่อครัวที่ฉันพามาทำอาหารที่นี่ด้วย”
หวงเหมาชิก้มศีรษะลงเพราะเขาอยากจะหัวเราะดังๆออกมา แต่เขาไม่กล้า
ผู้กำกับจินเองก็ไม่ต้องการที่จะอธิบายหรือสนทนาอะไรอีกต่อไป เขาได้กะแอ่มและรออยู่หน้าประตู
หลังจากนั้นไม่นานประตูใต้ป้าย [คลินิคตระกูลหลิง] ก็เปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด
“ สวัสดีครับลุงหลิงโจว” หวงเหมาชิได้แสดงมารยาทที่แสนสุภาพออกไป
หลิงโจวมองไปที่หวงเหมาชิและถอนหายใจก่อนที่เขาจะพูดว่า “ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องเอาอะไรมาไม่จำเป็นต้องเอาอาหารเช้ามาด้วย”
“ผมอยู่แถวนี้พอดี ผมเลยซื้อและแวะเอามาให้นะครับ” หวงเหมาชิ หัวเราะเบา ๆ ราวกับว่าเขามาด้วยความบังเอิญจริงๆ
หลิงโจวส่ายหัวและพูดว่า “เราไม่ต้องการมันจริงๆ หลิงรันพึงสั่งอาหารให้มาส่งหลังจากพึงตื่นนอน“
“จัดส่งอาหารเช้า?” หวงเมาชิ+ รู้สึกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในการซื้อใจหลิงรันคือ พนักงานส่งอาหารจากแอปพิเคชั่นเหม่ยทวน
หลิงโจวกล่าวว่า “ฉันเกรงว่าจะรบกวนนายไป … เอาล่ะเข้ามานั่งเถอะ เช้านี้ค่อนข้างหนาวและนายไม่หนาวหรือยังไง?”
เขาคิดว่าพ่อของ จินซูเจิงมาพร้อมกับหวงเหมาชิ
หวงเหมาชิจึงแนะนำผู้กำกับจินอย่างรวดเร็ว
พ่อของจิซูเจิง และหลิงโจวจับมือและทักทายกันอย่างสุภาพ จากนั้นเขาผลักชายที่อยู่ข้างหลังเขาไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “เฒ่าแก่หลิงการจัดส่งอาหารไม่ดีต่อสุขภาพจริงๆ ผมพาเชฟมาจากร้านอาหารรุ่งเรืองน้ำพุ เรามาทำอาหารเช้าทานกันเถอะ”
ระหว่างการสนทนาได้ยินเสียงเรียกเข้าด้านหลัง
นักปั่นกลุ่มหนึ่งขี่ไปข้างหน้า มีพ่อครัวคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวทรงสูงและบนรถจักรยานทุกคัน
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูของคลินิคตระกูลหลิง พ่อครัวก็จอดรถจักรยานไว้ชิดกำแพงอย่างเรียบร้อย จากนั้นพวกเขาหยิบเจลทำความสะอาดมือสูตรแอลกอฮอล์ออกจากกระเป๋าและถูมือ
“นี่คือ คลินิคตระกูลหลิงใช่ไหมเรามาส่งอาหารมาที่นี่” พ่อครัวที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างสุภาพเดินเข้ามาทางเข้า ทำให้ทั้งสี่คนต่างตกตะลึงที่ประตูต่างก็ตกตะลึง
แถวของพ่อครัวยังเบียดกันในขณะที่พวกเขาถือของบนไหล่หรือมือ
จากนั้นพวกเขาใช้เวลาสองถึงสามนาทีในการสร้างห้องครัวที่เรียบง่ายและใหญ่ในสนาม แม้แต่เตาไฟและถ่านที่ใช้ทำอาหารก็มีพร้อมหมด
“โจ๊กข้าวฟ่างและซาลาเปามังสวิรัติตอนนี้เรามีงานอีเว้นท์ในร้านอาหารเรากำลังแจกกับข้าวสี่อย่างจานเย็นสี่จานและจานร้อนสี่จาน” หัวหน้าพ่อครัวตะโกนและพ่อครัวที่อยู่ข้างหลังเขาก็ไปทำงานของพวกเขา .
“ ทำกับข้าวทำซาลาเปาเหรอ” พ่อของจินซูเจิง รู้สึกประหลาดใจ เขาเตรียมพ่อครัวที่จะมาทำอาหารให้ แต่ข้างหน้าเขามีพ่อครัวสิบสองคนเกิดอะไรขึ้น?
ห้องครัวธรรมดาไม่ได้มีพ่อครัวจำนวนมากขนาดนี้ใช่ไหม?
พ่อครัวที่ติดตามพ่อของจินซูเจิงรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น เขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย เขามองดูอาหารที่เชฟทำในขณะที่เขาพึมพำ
“ นี่มันผัด…
“ ไข่กวนนี่…
“ นี่ลูกกุ้ง…
“ มาจากไหนกัน…?”