ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 873

ตอนที่ 873

สุดท้ายหลิ่วหมิงก็ค้นพบว่านอกจากเขากระบี่หักลูกนี้ตรงหน้า ทั้งมิติก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก รอบด้านมีเพียงม่านแสงสีขาวขมุกขมัวก่อตัวเป็นกำแพงปราณ บนกำแพงปราณมียันต์สีขาวน้ำนมตัวแล้วตัวเล่ากะพริบไม่หยุดอยู่ลางๆ ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าถูกดูดซับเข้าไปในยันต์เป็นระยะแล้วหายไปอย่างเงียบเชียบประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในมหาสมุทร

“เอ๋?” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วโคจรพลังเวทบริสุทธิ์ในร่าง จากนั้นตบบนฝักกระบี่เบาๆ หลังจากบังคับให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณสงบลง ฉับพลันกระทืบเท้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

ชั่วครู่ให้หลังเขาก็กลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งมาถึงบนเวทีแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขา

ลำแสงดับหายไป หลิ่วหมิงปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งบนเวที ไม่ไกลจากตัวเขาคือป้ายศิลาเก่าแก่เรียบง่ายที่แลดูผ่านเวลามาเนิ่นนานแผ่นหนึ่ง

ติดกันกับป้ายศิลามีกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งปักอยู่ในศิลาโผล่ออกมาเพียงหนึ่งฉื่อกว่า ตัวกระบี่ส่องแสงสีทองขมุกขมัว บนคมกระบี่จุดที่ห่างจากด้ามกระบี่ราวหกเจ็ดชุ่นมีรอยบิ่นขนาดเท่าข้อนิ้วหัวแม่มือสองรอย ตรงด้ามกระบี่หายไปค่อนครึ่ง

แต่กระบี่เล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เก่านัก ลายมังกรขดบนด้ามกระบี่ยังคงเห็นชัดเจนและยังแผ่จิตกระบี่อันไม่ยอมศิโรราบสายหนึ่งออกมาอยู่เลือนราง

จุดที่แตกต่างจากกระบี่หักมากมายที่อยู่แถบกลางภูเขากับตรงตีนเขาก็คือระยะหลายร้อยจั้งรอบกระบี่เล่มนี้ไม่มีกระบี่หักเล่มอื่นอยู่เลย สูงจากมันขึ้นไปก็มีกระบี่เพียงไม่ถึงร้อยกว่าเล่มเท่านั้น แล้วด้านข้างกระบี่แต่ละเล่มก็ล้วนมีป้ายศิลาแผ่นหนึ่งแทบทั้งสิ้น นี่ย่อมบ่งบอกว่ากระบี่ทุกเล่มบริเวณนี้ล้วนมีเรื่องราวของตนเอง

วันเวลาในอดีตที่ถูกกลบฝังเหล่านี้ท้ายที่สุดก็จะถูกผู้คนลืมเลือน สุดท้ายก็หลงเหลือเพียงป้ายศิลาธรรมดาๆ แผ่นหนึ่งกับซากกระบี่ที่ยังคงทอประกายเล็กน้อยเล่มหนึ่ง

แต่ประกายแสงแผ่วจางที่ก่อตัวเป็นเงาของกระบี่ยามสมบูรณ์ไม่เสียหายเล่มแล้วเล่มเล่าก็ยังคงย้ำเตือนทุกคนที่เข้ามายังที่แห่งนี้ถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของซากกระบี่เหล่านี้ที่ราวกับว่าเกิดขึ้นเมื่อวาน

“กระบี่เลี่ยหยาง!”

ตอนนี้เองหลิ่วหมิงเพิ่งมองไปที่อักษรสลักบนป้ายศิลาเบื้องหน้าอย่างละเอียดแล้วก็ตะลึงไปในทันใด เขาเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้เขาสังเกตแต่ไกลแล้วว่าจิตกระบี่ที่กระบี่สีทองเล่มนี้แผ่ออกมาแลดูคุ้นเคย ตอนนี้เมื่อเห็นคำว่า ‘เลี่ยหยาง’ อีกก็นึกขึ้นได้ในทันใด กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่บินสีทองเล่มนั้นที่เงามายาจินเลี่ยหยางใช้ในวังมายานภาหยกตอนนั้น

หลิ่วหมิงเคยประมือกับเงามายาของจินเลี่ยหยางในแดนมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับอยู่หลายครั้งจึงมองออกตั้งแต่แวบแรก

ในตอนนี้เองกระบี่น้อยสีทองเบื้องหน้าก็คล้ายสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของหลิ่วหมิง แสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า ปราณกระบี่รุนแรงล้ำลึกสายแล้วสายเล่าโถมเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้ฝักกระบี่ที่เอวเขาคลายตัวออกเอง พร้อมกันนั้นแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมา

หลิ่วหมิงตอบสนองเร็วอย่างที่สุด มือข้างหนึ่งฉวยกระบี่ว่างเปล่าแล้วกำไว้ในมือ จากนั้นขยับร่างกายลอยลงไปที่ตีนเขาทันทีอย่างไม่ลังเลสักนิด

เมื่อเขากลับมาถึงตีนเขา เหยียบลงบนแผ่นดินอีกครั้ง ในที่สุดกระบี่ว่างเปล่าในมือก็ค่อยๆ สงบลง

การขึ้นลงเขารอบหนึ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงได้รู้ว่าเขากระบี่หักแห่งนี้ แม้ยิ่งขึ้นไปด้านบนซากกระบี่จะยิ่งน้อย แต่ความแข็งแกร่งของปราณกระบี่ที่แผ่ออกมากลับตรงกันข้าม

อย่างเมื่อครู่นี้เขาไม่ทันได้ใช้โอสถประลองกระบี่ กระบี่เลี่ยหยางเล่มนั้นก็ร่ำๆ จะบินพุ่งออกมาเองแล้ว หากเริ่มแรกไปแตะตรงยอดเขาเข้าจริงๆ อันตรายมากเพียงใดคิดดูก็รู้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจเริ่มต่อสู้กับกระบี่บินธรรมดาชั้นล่างสุดก่อน ฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไปถึงจะดี หลังกระบี่บินฝึกปรือจนพอประมาณแล้วค่อยพัฒนาไปประลองกับกระบี่ด้านบนตามลำดับ

เขาสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบโอสถประลองกระบี่ระดับสูงที่มีเปลวเพลิงสามสีหุ้มอยู่เม็ดนั้นออกมาจากในแหวนย่อส่วนอย่างไม่รีบร้อน

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นโยนโอสถประลองกระบี่เม็ดนี้ขึ้นไปบนอากาศ ในเวลาเดียวกันมือก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่น้อยสีทองสั่นไหวอยู่ในมือเขาก่อนจะพุ่งรวดเร็วออกไปกลางอากาศ

จากนั้นเคล็ดกระบี่ที่มือเขาก็เปลี่ยนไปทันที หลังจากปราณกระบี่สีทองอ่อนสายแล้วสายเล่าบนกระบี่ว่างเปล่าผนึกรวมกันกลางอากาศก็กลายเป็นลูกบอลแสงสีทองอ่อนลูกหนึ่ง พุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงสามสี

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นแผ่วเบา!

เปลวเพลิงสามสีผสานกับปราณกระบี่สีทองอ่อนแล้วระเบิดออก เผยให้เห็นมุกกลมที่ส่องแสงสีเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งด้านใน หมุนติ้วอยู่กลางอากาศ

ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีเปลวเพลิงหลากสีหลายดวงปรากฏขึ้นพร้อมกับที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ สายหนึ่งกระจายฟุ้งออกมา

ในเวลาเดียวกันนั้นกระบี่บินสารพัดรูปแบบที่ตีนเขากระบี่หักก็ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ภูเขาทั้งลูกเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

บนกำแพงผาตรงตีนเขาซึ่งอยู่ใกล้หลิ่วหมิงที่สุด กระบี่หักสีเทายาวราวหนึ่งฉื่อกว่าที่บนตัวกระบี่มีรอยบิ่นขนาดเท่ากำปั้นรอยหนึ่งฉับพลันก็เปล่งแสงสีเทาแล้วกลายเป็นแสงรัศมีสีเทายาวสองสามจั้งเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่มุกกลมสีเงินบนท้องฟ้า

“ไป!”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ปากก็ตวาดเบาๆ คำหนึ่งขณะที่มือตั้งท่าเคล็ดกระบี่ทันที กระบี่น้อยสีทองวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พลันพร่าเลือนหายไป

หลังจากกะพริบวูบหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งเร็วรี่ผ่านแสงสีเทาไป

“ชิ้ง” เสียงประหนึ่งฉีกโลหะดังขึ้น!

เสียงครวญครางดังขึ้นท่ามกลางแสงสีเทาในทันใด แสงสีเทาอ่อนบนกระบี่น้อยสีเทาสลายไปก่อนมันจะแปลงกลับไปเป็นกระบี่หักหม่นหมองไร้แสงเล่มหนึ่งใหม่อีกครั้ง เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อมันบินวนกลับไปปักที่เดิม

บนกำแพงผาใกล้ๆ มีไอหมอกสีเทาอ่อนสายแล้วสายเล่าลอยออกมาล้อมกระบี่สั้นเล่มนี้อย่างรวดเร็ว

“ดูท่าเขากระบี่หักแห่งนี้จะมีความสามารถในการบำรุงกระบี่หักเหล่านี้” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ทอประกายประหลาดใจขณะที่เอ่ยพึมพำกับตนเองเสียงเบา

ตั้งแต่กระบี่น้อยสีเทาพุ่งออกมาจนกระทั่งมันปักกลับไปในเขากระบี่ใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาสองสามลมหายใจเท่านั้น

เวลานี้เอง เสียง “ชือๆ” พักหนึ่งก็ดังมาจากตรงนั้นตรงนี้ไม่ขาด กระบี่หักมากกว่าเดิมพากันลอยออกมาจากพื้นภูเขา กลายเป็นแสงกระบี่หลากสีสันมากมายถี่ยิบพุ่งดังหวีดหวิวเข้าใส่กระบี่น้อยสีทองที่อยู่กลางอากาศ

“แย่แล้ว!”

หลิ่วหมิงรีบทะยานร่างโจนเข้าไปคว้าโอสถประลองกระบี่ไว้ในมือ แล้วเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยจำลองการใช้โอสถประลองกระบี่ในแดนมายามาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังประเมินความสามารถในการท้าทายซากกระบี่ของโอสถเม็ดนี้ต่ำเกินไป

……

ในเวลาเดียวกัน ณ ถ้ำที่พักแห่งหนึ่งบนยอดเขากระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มชุดผ้าไหมหน้าตาน่านับถือ บนศีรษะสวมกวานหยกคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิมองม่านแสงสีขาวกลางอากาศเบื้องหน้า

“เฮ้อ พวกตาเฒ่ากลุ่มนี้นับวันยิ่งก่อเรื่องเก่งจริงๆ! คนรุ่นหลังระดับแก่นเสมือนหนึ่ง แม้ผสานทรายธารดาราเข้าไปในกระบี่จนกระบี่คมกริบกว่ากระบี่บินทั่วไปไม่น้อย แต่จะหลอมลูกกลอนกระบี่ยามนี้ก็ยังรีบร้อนเกินไปอยู่บ้าง จิ๊ๆ …แล้วยังมอบโอสถประลองกระบี่ระดับสูงให้เขาอีก หากควบคุมไม่อยู่สักครั้ง เกรงว่าคงอันตรายถึงชีวิต แต่คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ของข้าก็ได้แต่ดูโชคของตัวเขาเองแล้ว”

หลังจากชายหนุ่มชุดน้ำเงินเอ่ยกับตนเองหลายประโยคฉับพลันก็สะบัดมือข้างหนึ่ง แสงสีน้ำเงินหอบหนึ่งพุ่งดังฟู่เข้าใส่ม่านแสงสีขาว

บนผิวม่านแสงกระเพื่อมแผ่วเบาระลอกหนึ่งแล้วส่งเสียงดัง “ปุ้ง” กลายเป็นแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่ากระจายหายไป

……

เวลานี้หลิ่วหมิงซึ่งอยู่ในสุสานกระบี่ที่เขากระบี่หักกำลังนั่งขัดสมาธิ บนหน้าผากเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาไม่หยุด

สองมือเขาทำท่าเคล็ดกระบี่ต่อเนื่อง ขณะที่กลางท้องฟ้าแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งฉวัดเฉวียนไม่หยุดอยู่กลางวงล้อมของแสงเรืองรองหลายสิบสาย เสียงดาบกระบี่ปะทะกันก็ดัง “เคร้งๆ” ออกมาเป็นระยะ

เนื่องจากโอสถประลองกระบี่ระดับสูงเม็ดนี้แข็งแกร่งเกินไป เวลาสั้นๆ เพียงครู่เดียวที่เรียกออกมาก็ดึงดูดกระบี่บินหลายสิบจนถึงนับร้อยเล่มบินพุ่งมาหาตนด้านนี้ กระบี่บินต่อสู้กันอุตลุดกลางท้องฟ้าจนกลายเป็นกลุ่มก้อน

แล้วไม่ทราบเพราะเหตุใดกระบี่บินบางส่วนจึงต่อสู้กันเองกลางท้องฟ้า แต่นี่กลับทำให้หลิ่วหมิงลอบโล่งอก

แม้กระบี่บินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ระดับต่ำที่สุดของทั้งภูเขา ปราณกระบี่อ่อนแอที่สุด แต่หลายสิบจนถึงนับร้อยเล่มรุมเข้ามา ต่อให้กระบี่ว่างเปล่าคมกริบอย่างยิ่ง แต่ผลัดกันเข้ามาเช่นนี้ก็สู้ไม่ไหว

เห็นชัดว่าแสงสีทองบนผิวกระบี่ว่างเปล่าเวลานี้หม่นแสงลงกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แม้มีทรายธารดาราปกป้อง แต่บนตัวกระบี่ก็ยังปรากฏรอยร้าวเล็กๆ ที่ตาเปล่ามองเห็นหลายแห่ง

พลังจิตของตัวหลิ่วหมิงเองก็สูญเสียไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดพร้อมกับกระบี่บิน แม้เขามีหนอนพลังจิตช่วย อีกทั้งพลังจิตเหนือกว่าคนระดับเดียวกัน ตอนนี้ก็ทนไม่ไหวนัก

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นคนอื่น เกรงว่ากระบี่คงพังคนสิ้นชีวิตไปนานแล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีกระบี่บินบนยอดเขาถูกจิตกระบี่ตรงนี้ดึงดูดมาอีก กระบี่สองสามเล่มบินเร็วรี่มายังด้านนี้

หลังจากหลิ่วหมิงถอนหายใจอย่างจนปัญญาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งก็กวักกลางอากาศ กระบี่บินสีทองบินวนรอบหนึ่งแล้วฟันกระบี่บินสองเล่มให้ถอยออกไปเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ จากนั้นส่งเสียงดัง “ฟึบ” บินพุ่งกลับมาในฝักกระบี่ที่เอวของเขา

เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาลูบฝักกระบี่เบาๆ มันก็ซ่อนเร้นหายไป ในเวลาเดียวกันเขาก็โคจรพลังเวทในร่างอย่างไม่กล้าชักช้า กรอกพลังเวทเข้าไปยังภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่ กระตุ้นมันออกมาในพริบตา เขาเก็บงำกลิ่นอายจากนั้นโฉบเข้าไปหลังหินเขียวขนาดมหึมาก้อนหนึ่งที่ตีนเขา

เป็นดังเช่นที่เขาคิด กระบี่บินเจ็ดแปดสิบเล่มที่เหลือกลางท้องฟ้า เมื่อสูญเสียเป้าหมายหลักไปก็เริ่มต่อสู้กันเอง

เวลาผ่านไปไม่นานในที่สุดกระบี่บินเหล่านั้นก็ใช้ปราณกระบี่สายสุดท้ายไปจนหมดแล้วหยุดต่อสู้ กระบี่บินแต่ละเล่ม บินพุ่งกลับไปที่เขากระบี่หัก ในหมู่พวกมันมีหลายเล่มหม่นหมองไร้ประกาย พลังจิตวิญญาณเสียหายอย่างสมบูรณ์จนร่วงหล่นสะเปะสะปะลงบนพื้น

ตอนนี้หลิ่วหมิงจึงหลับตาสองข้างลงอย่างวางใจ เขาส่งจิตสัมผัสแทรกเข้าไปในฝักกระบี่ว่างเปล่าข้างเอวเพื่อสำรวจสภาพของกระบี่ว่างเปล่าอย่างละเอียด

สภาพของกระบี่บินว่างเปล่าในตอนนี้เห็นชัดว่าไม่น่ายินดีนัก นอกจากรอยร้าวขนาดเล็กเหล่านั้นที่เห็นก่อนหน้านี้ บนตัวกระบี่ยังมีรอยกรีดเปะปะอีกนับไม่ถ้วน แม้รอยเหล่านี้ล้วนเป็นความเสียหายที่ไม่สาหัส แต่อย่างน้อยก็ต้องบำรุงนับสิบวันหรือครึ่งเดือนถึงจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้

แต่หลิ่วหมิงไม่รีบร้อน!

ความผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะไม่ได้ควบคุมโอสถประลองกระบี่ยามใช้ให้ดี มีเวลาว่างเช่นนี้ก็พอดีให้เขาได้จำลองการใช้โอสถประลองกระบี่ในแดนมายาสักหน่อย

กระบี่บินส่วนใหญ่ตรงหน้าล้วนเป็นกระบี่บินระดับต่ำ หากหลังจากนี้เขาขึ้นไปที่ช่วงกลางหรือด้านบนของภูเขาเพื่อฝึกฝนกระบี่บินแล้วควบคุมโอสถประลองกระบี่ได้ไม่ดี บางทีอาจเรียกภัยอันตรายมาถึงชีวิตได้จริงๆ

หลังจากคิดเช่นนี้ เขาจึงเติมสมุนไพรจิตวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปในฝักกระบี่ จากนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม เริ่มฟื้นพลังจิตและพลังเวท

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ


เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู

หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ

และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง

ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้

เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท