World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 42

ตอนที่ 42

ตอนที่ 42 โรงยิม

วันพุธ

เมื่อจบคาบเช้า ฟางผิงก็เดินตรงไปย่านกวนหูหยวน

ณ ฝ่ายขาย

ฟางผิงจ่ายเงินที่เหลือและรับเอกสารกับกุญแจมา จากนั้นเขาก็ไปตรวจห้อง การส่งมอบเบื้องต้นก็เสร็จสิ้นแล้ว

หลังจ่ายเงินที่เหลือเสร็จ ฟางผิงก็เหลือเงิน 410,000 เศษๆเท่านั้น

…..

พนักงานขายเดินจากไป

พอไม่มีใครขวาง ฟางผิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ฟางผิงเดินไปรอบห้องที่ว่างเปล่าคนเดียวและพบว่าตัวเขาอารมณ์ดีมาก

เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่เขาก็ซื้ออพาร์ทเม้นท์หลังใหญ่ให้ตัวเองแล้ว

ฟางผิงนึกถึงสีหน้าฟางหยวนตอนรู้ว่าเขาซื้ออพาร์ทเม้นท์หลังใหญ่ มันต้องน่าสนใจแน่

อย่างไรก็ตามฟางผิงยังไม่ได้วางแผนบอกเรื่องนี้กับครอบครัว ต่อให้เขาจะบอกพวกท่าน มันก็ต้องเป็นหลังเกาเข่า

พอเขาเข้ามหาลัยวิชายุทธ เขาจะได้บอกได้ว่าเขาได้รับมาตอนทำงานกับหวังจินหยาง เขาบอกได้อีกว่าบริษัทใหญ่ลงทุนกับเขาล่วงหน้า ไม่ว่าจะยังไงเขาก็มีข้ออ้าง

ถ้าครอบครัวเขารู้เรื่องนี้ตอนนี้ เขาย่อมทำให้พวกท่านกังวลเปล่าๆ

“ฉันต้องซื้ออุปกรณ์ แต่เฟอร์นิเจอร์รอก่อนได้”

“ฉันแค่ต้องซื้อของจำเป็นอย่างโซฟา โต๊ะ เก้าอี้ ไม่งั้นฉันคงไม่มีที่ให้นั่ง”

“เอ้อ ฉันต้องการเตียงด้วย ฉันอาจได้ค้างคืนที่นี่เหมือนกัน”

พอเขาคำนวณสิ่งที่ต้องซื้อเสร็จ ฟางผิงไม่อยากเสียเวลาเปล่า เขาจึงมุ่งหน้าออกไปทันที

…..

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

ฟางผิงเดินออกจากร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง

เขาจองทุกอย่างที่ต้องการและจ่ายค่ามัดจำด้วยเช่นกัน สองวันข้างหน้า เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดของเขาจะมาถึงหน้าประตูอพาร์ทเม้นท์เขา

โซฟา โต๊ะ เก้าอี้ ไม่ได้แพงนัก เขาแค่ซื้อของเน้นใช้งาน

แต่สำหรับอุปกรณ์ฝึกฝน ฟางผิงลงทุนซื้อของที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

ต่อให้เขาไม่ได้ใช้อุปกรณ์แล้ว เขาก็ยังเอาให้ฟางหยวนได้ มันไม่ได้เสียเปล่า

โซฟา โต๊ะ เก้าอี้ไม่ได้แพงนัก แต่อุปกรณ์แพงพอควรเลย

หลังรวมทุกอย่างและตัดเงินที่ต้องจ่ายที่เหลือออก เขาก็เหลือเงินราว 390,000 หยวนเท่านั้น

…..

เมื่อเขากลับจากโรงเรียน เฉินฝานถามเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ฟางผิง ทำไมช่วงนี้นายทำตัวลึกลับจัง?”

แต่ก่อนฟางผิงจะไม่กลับบ้านช่วงพักเที่ยง เฉินฝานก็เช่นกัน

ทั้งสองมักไปโรงอาหารด้วยกันหรือไปกินกันข้างนอกด้วยกัน แต่ช่วงนี้เฉินฝานไม่ค่อยเห็นฟางผิงเลย

“ช่วงนี้ฉันมีธุระ ฉันไม่ค่อยว่าง”

“ต่อให้นายสมัครวิชายุทธ แต่สอบวิชายุทธยากจริงๆนะ สังคมศาสตร์ง่ายกว่าเยอะ…”

เฉินฝานเตือนเขาอีกครั้งอย่างอดทน ฟางผิงยิ้มและพยักหน้า

เรื่องแบบนี้แนะนำกันได้ก็ต่อเมื่อสนิทกัน ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาคงมีความสุขมากกว่าที่เห็นเขาทิ้งการเรียน พวกเขาจะได้ตัดคู่แข่งได้คนนึง

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน หยางเจี้ยนก็หันหลังมาคุยกับพวกเขา “ฟางผิง คืนนี้ไปฝึกด้วยกันไหม?”

สองสามวันก่อน ฟางผิงเริ่มเคยชินกับผลของการเพิ่มปราณและเลือดแล้ว

เขาไม่มีเวลาฝึกกับพวกเขา และเขาก็ไม่เห็นประโยชน์มากนัก

อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเรียนเคล็ดบ่มเพาะแล้ว เขาพบว่าแค่ฝึกจวงกงหรือบ่มเพาะที่บ้าน มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรมากเป็นพิเศษ

ตอนนี้บ้านหลังใหม่ไม่มีอะไรเลย และฟางผิงก็ยังไม่ได้ตั้งใจไปอยู่ที่นั่น ถ้าเป็นแบบนั้น ไปดูคนอื่นฝึกอาจเป็นความคิดที่ดีก็ได้

หลังพิจารณาสักครู่ ฟางผิงก็พยักหน้า “ได้ คืนนี้มาฝึกด้วยกันเถอะ”

หยางเจี้ยนแค่ชวนไปงั้นๆ ไม่กี่ครั้งก่อนที่เขาเคยถาม ฟางผิงปฏิเสธตลอด

อย่างไรก็ตามครั้งนี้ฟางผิงตอบตกลงเฉยเลย มันกระทันหันจนสมองหยางเจี้ยนตามไม่ทัน

แต่จากนั้นหยางเจี้ยนก็แสยะยิ้ม “เอาล่ะ งั้นหลังเลิกเรียนเราไปด้วยกัน”

“ฟางผิง มีคนไปฝึกมากพอควร นักเรียนอัจฉริยะของโรงเรียนบางคนก็ไปฝึกด้วยเหมือนกัน”

“ดูคนอื่นฝึกฝนอาจช่วยนายได้เล็กน้อยด้วย”

“โอเค…”

“…”

ทั้งสองนัดกันหลังเลิกเรียน จากนั้นพวกเขาก็เลิกคุยรอให้อาจารย์เริ่มสอน

…..

ไม่นานคาบบ่ายก็จบลง

นักเรียนสังคมศาสตร์อาจอยู่เรียนเองถึงกลางคืน แต่นักเรียนวิชายุทธอย่างฟางผิงและคนอื่นๆแทบไม่เคยอยู่

อู๋จื้อเห่าและคนอื่นๆรู้ว่าคืนนี้ฟางผิงจะมาฝึกด้วย

ขณะที่หลายๆคนเดินออกไป อู๋จื้อเห่าก็หัวเราะแล้วกล่าว “ฟางผิง นายไม่เคยไปโรงยิมใช่ไหม?”

“ฉันรับประกันเลยว่านายต้องอึ้งแน่!”

โรงยิมที่พูดถึงคือโรงยิมที่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งทำขึ้นเอง เตรียมให้นักเรียนวิชายุทธฝึกฝนร่างกายโดยเฉพาะ

ไม่ใช่นักเรียนทุกคนที่มีห้องยิมเป็นของตัวเองอยู่ที่บ้าน

ต่อให้ทุกคนมี บรรยากาศก็ไม่เหมือนกัน

อู๋จื้อเห่าฝึกที่บ้านได้ แต่เขาชอบไปยิมกับคนอื่นมากกว่า

ถ้ามีคนจำนวนมาก มันอาจวุ่นวายเล็กน้อย แต่เมื่อทุกคนแข่งขันกัน พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจให้ขยันฝึกฝนมากขึ้น

การฝึกฝนคนเดียวนั้นน่าเบื่อมาก หลายคนทนต่อความโดดเดี่ยวนั้นไม่ไหว

ฟางผิงหัวเราะ “ฉันอึ้งงั้นเหรอ? ดูคนอื่นฝึกน่าสนใจยังไงกัน?”

ก่อนที่อู๋จื้อเห่าจะได้พูดอะไร จางฮ่าวหัวเราะแหะๆ “ฟางผิง นายไม่รู้เลยจริงๆ!”

“มันไม่ได้มีแค่นักเรียนวิชายุทธชายอย่างเดียว มีสาวๆด้วยเหมือนกัน”

“แล้วตอนที่พวกเธอฝึก นายคิดเหรอว่าพวกเธอจะปกปิดตัวเองมิด?”

“จุ๊ๆ นายจะรู้เองเมื่อได้เห็นกับตา…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ หนึ่งในนักเรียนเตรียมสอบวิชายุทธสาวห้องสี่ จางหนาน ก็พูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นายหยุดทำตัววิตถารได้ไหม? ฟางผิงไม่เหมือนนาย!”

“นายจ้องสาวๆตลอด นายทำให้ห้องของเราขายหน้า!”

จางฮ่าวไม่ได้ใส่ใจนัก เขายิ้มแล้วกล่าว “นายเข้าใจที่จางหนานพูดไหม? เราไม่ควรจ้องสาวห้องอื่น เราควรจ้องเธอแทน”

“ไปไกลเลย!” จางหนานกลอกตามองบน

“อย่าโกรธนักสิ ยิ่งเธอดุร้ายเท่าไหร่ ฉันก็ไม่กล้ามองมากขึ้น ถ้าไม่มีใครมองเธอเลย เธอไม่ขาดทุนแย่เหรอ…”

“จางฮ่าว นายอยากโดนต่อยไหม?”

“…”

ทั้งสองทะเลาะกันตลอด คนอื่นๆไม่แปลกใจกับฉากนี้เลย

อู๋จื้อเห่าไม่สนใจทั้งสอง เขาเดินและกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ “อย่าฟังจางฮ่าวพูดเหลวไหลเลย การมองสาวๆก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลัก”

“มีนักเรียนอัจฉริยะมากมายจากห้องอื่นที่มาฝึกที่ยิม บางคนก็มีวิธีฝึกของตัวเอง”

“เรายืนดูพวกเขาได้ มันจะช่วยให้เราใช้มันได้บ้างเช่นกัน”

“แต่ถึงกระนั้น พวกเราทุกคนก็มีวิธีฝึกของตัวเองไม่มากก็น้อย ฟางผิงไว้นายไปสังเกตดู เผื่อนายเรียนรู้อะไรบางอย่างได้”

ฟางผิงพยักหน้า ขณะที่พวกเขาคุยกัน รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็มาถึงโรงยิมแล้ว

มียามเฝ้าอยู่ที่โรงยิมด้วย เพราะมันไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามา

อย่างไรก็ตามนักเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนวิชายุทธหรือนักเรียนสังคมศาสตร์ แต่แน่นอนพวกเขาต้องจ่ายค่าเข้า

แต่ค่าเข้าไม่แพงเลย พวกเขาจ่ายแค่สองหยวนต่อคนเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าไปอยู่นานแค่ไหนก็ตาม

ฟางผิงจ่ายค่าเข้า แต่คนอื่นๆไม่ได้จ่าย คนที่มาที่นี่บ่อยๆย่อมมีบัตรสมาชิกและจ่ายรายเดือนไปแล้ว

ค่าใช้จ่ายนี้มีไว้เพื่อไม่ให้คนเข้ามาทีเดียวพร้อมกันจนโรงยิมรับไม่ไหว

แม้ว่าเงินสองหยวนจะไม่มาก แต่คนที่ไม่ได้สนใจฝึกจริงย่อมไม่เสียเงินเปล่าเพื่อมาเที่ยวเล่น

…..

ณ โรงยิมชั้นสอง

เมื่อฟางผิงเดินเข้ามา เขาก็รู็สึกถึงคลื่นความร้อน

มีเสียงคนตะโกนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างภายในคล้ายกับโรงยิมทั่วไป แต่มีเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงเท่านั้นที่อยู่ในโรงยิม

เมื่อพวกอู๋จื้อเห่าเข้ามา ก็มีคนเรียกทันที “จื้อเห่า ทางนี้!”

“จื้อเห่า มาแข่งกัน!”

“หยางเจี้ยน ปราณและเลือดเท่าไหร่แล้ว?”

“…”

พวกเขาต่างก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน และโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งมีนักเรียนไม่ถึง 300 คนที่สอบวิชายุทธ แต่คนที่มาประจำมีน้อยกว่า 200 คนเสียอีก

อู๋จื้อเห่ามีปราณและเลือดไม่เลว และเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด ทำให้ทุกคนรู้จักเขา

เมื้อได้ยินทุกคนทักทาย อู๋จื้อเห่าก็ยิ้มแล้วกล่าว “วันนี้ฉันไม่ได้มาแข่งด้วย เรามาฝึกฝนกันเอง”

ฟางผิงถามเสียงเบา “แข่งอะไร?”

“ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เล่นกันขำๆ อย่างแข่งวิดพื้น ซิทอัพหรือชักเย่อ…”

อู๋จื้อเห่าอธิบายง่ายๆแล้วพาฟางผิงกับเพื่อนๆไปที่มีคนน้อยๆ

คนอื่นๆมีแผนของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่อุปกรณ์ว่างๆเพื่อฝึกตัวเอง

ในทางกลับกันอู๋จื้อเห่าไปที่อุปกรณ์ว่างๆและสอนวิธีฝึกให้ฟางผิง

แม้ว่าฟางผิงจะรู้วิธีใช้ แต่เขาก็ปฏิเสธน้ำใจของอู๋จื้อเห่าไม่ได้ ขณะที่เขาฟังคำอธิบายของอู๋จื้อเห่า เขาก็เริ่มมองดูรอบๆ

มีหลายคนเท่านั้นที่อยู่ห้องยิมชั้นสอง แต่มันใหญ่มากจนไม่รู้สึกคับแคบเลย

อันที่จริงก็มีผู้หญิงอยู่ด้วยเหมือนกัน พวกเธอฝึกฝนไม่ได้ใส่ชุดเรียบร้อยนัก

แต่พูดตามตรงฟางผิงไม่ค่อยสนใจนัก และเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันน่าดึงดูดมากนักเช่นกัน

พวกเธอยังเด็ก ถ้าพวกเธออยู่ริมหาด ฟางผิงอาจเหลียวมองพวกเธอครั้งที่สองก็ได้

อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเธอต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลิ่นเหงื่อของผู้หญิงก็ก็ไม่ได้หอมหวานไปกว่าของผู้ชาย เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเข้าใกล้พวกเธอ

ขณะที่อู๋จื้อเห่าสอนฟางผิงใช้อุปกรณ์ เขาก็กระซิบเบาๆ “ยิมมีชั้นสามอีกนะ”

“หืม?”

“ชั้นสามมีคนไม่กี่คน แต่มันน่าสนใจกว่าชั้นสอง คนที่มาโรงยิมครั้งแรกชอบไปชั้นสามกัน”

อู๋จื้อเห่าอธิบายเสียงเบา “ฉันหมายถึง นายก็รู้ใช่ไหมว่าโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในเมืองหยางเฉิง และก็ไม่ใช่ว่าเมืองหยางเฉิงไม่มีผู้ฝึกยุทธเลย”

“ลูกหลานผู้ฝึกยุทธ ถ้าขึ้นมัธยมปลาย ส่วนใหญ่ก็มาเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง”

“มีลูกหลานผู้ฝึกยุทธอยู่ไม่กี่คน แต่ก็มีอยู่บ้าง”

“ปีของเรามีนักเรียนสองคนที่มีผู้ฝึกยุทธในครอบครัว”

“รวมปีหนึ่งกับปีสองด้วย มีนักเรียนทั้งหมด 7 คนที่มีผู้ฝึกยุทธในครอบครัว”

“7คนนั้นมาฝึกที่นี่บ่อยๆเหมือนกัน”

“แต่พวกเขามักไปฝึกชั้นสาม ไม่มาฝึกชั้นสอง”

“นายสนใจไหมฟางผิง?”

“เราขึ้นไปได้ด้วยเหรอ?” ฟางผิงประหลาดใจเล็กน้อย

“แน่นอน โรงเรียนไม่ได้ห้ามเราขึ้นไปสักหน่อย แต่เราไม่ค่อยได้ไปหรอก”

“ชั้นสามมีอุปกรณ์ไม่มากนัก แถมพวกนั้นเป็นลูกหลานของผู้ฝึกยุทธ พวกเขาไม่ค่อยเข้ากับเราเท่าไหร่”

“แต่ถึงกระนั้น ถ้านายแค่ไปดู พวกเขาก็ไม่ว่าอะไร คนที่มาโรงยิมครั้งแรกมักจะขึ้นไปดูสักครั้งสองครั้ง”

“แน่นอน ถ้านายมาบ่อยๆ นายก็ขี้เกียจขึ้นไปเอง มันไม่ได้มีอะไรให้ดูนักหรอก”

ฟางผิงรู้สึกสนใจ เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ไปดูกันเถอะ คนพวกนั้นมีปราณและเลือดสูงมากไหม?”

“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่จริงๆไม่ใช่ ปราณและเลือดของพวกเขาสูงกว่าเราเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มาก”

อู๋จื้อเห่าพาฟางผิงขึ้นไปชั้นบน เขาพูดเสียงเบาอีกครั้ง “ผู้ฝึกยุทธในเมืองหยางเฉิงไม่ได้อยู่ขั้นสูงทุกคน ดังนั้นทรัพยากรของพวกเขาก็มีจำกัดเหมือนกัน”

“ฉันหมายถึง มีคนเจ๋งๆอยู่เมืองหยางเฉิงไหม?”

“คนที่มีขั้นสูงเล็กหน่อยไม่มีลูกหลานมาเรียนที่นี่ พวกเขาอยู่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง หรือโรงเรียนอื่นในเมืองใหญ่ๆ”

ฟางผิงเข้าใจ ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ค่อยได้ยินเรื่องผู้ฝึกยุทธรุ่นสองที่แข็งแกร่งในโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งแห่งนี้

ผู้ฝึกยุทธรุ่นสองที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานของผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งและขั้นสอง และส่วนใหญ่จะเป็นขั้นหนึ่ง

แถมส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไปด้วย พวกเขาฝึกฝนมาด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าถึงทรัพยากรได้จำกัด พวกเขาย่อมมอบทรัพยากรให้ลูกหลานไม่ได้มากนัก

แม้ว่าปราณและเลือดของพวกเขาจะสูงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้สูงกว่าคนอื่นเท่าไหร่

ขณะที่พวกเขาคุยกัน ทั้งสองก็มาถึงชั้นสาม

มันกว้างขวางและเงียบสงบมาก!

นั่นเป็นความประทับใจแรกของฟางผิง มันต่างจากความคึกคักวุ่นวายชั้นล่างอย่างยิ่ง

แถมยังมีคนน้อยมากเช่นกัน!

แม้ว่าจะมีผู็ฝึกยุทธรุ่นสองเจ็ดคนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มานี่ และพวกเขาก็ไม่ได้มาทุกครั้งเช่นกัน

ฟางผิงชำเลืองมองรอบๆ บนชั้นสามอันกว้างใหญ่นี้มีคนทั้งหมดห้าคนเท่านั้น และสองในห้าคนเห็นได้ชัดว่ามาเที่ยวดูเหมือนฟางผิงกับอู๋จื้อเห่า

มีเพียงสามคนเท่านั้นที่มาบ่มเพาะอยู่ชั้นสาม

ใช่แล้ว พวกเขากำลังบ่มเพาะอยู่!

พวกเขาไม่ได้ใช้เคล็ดเสริมสร้าง ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำไม่กล้าให้ลูกหลานนำมาฝึกฝน กลับกันพวกเขากำลังฝึกท่าจวงกงอยู่

ฟางผิงได้อ่านหนังสือสิบหกรูปแบบจวงกงแล้ว เขาจึงบอกได้อย่างรวดเร็วว่าทั้งสามคนกำลังฝึกท่าจวงกง

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท