World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 50

ตอนที่ 50

ตอนที่ 50 ออกเดินทาง

ไม่กี่วันนี้ฟางผิงไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียน ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทเวลากับการบ่มเพาะ

วันที่ 29 เมษายนมาถึงในพริบตา

ตอนกลางคืน ณ ย่านจิ่งหูหยวน

หลี่อวี้อิงช่วยลูกชายเก็บของ เธอถามด้วยความกังวลใจ “ผิงผิง ลูกไม่อยากให้แม่ไปด้วยจริงเหรอ?”

“แม่ โรงเรียนจัดการอาหารที่อยู่ให้เราแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้แม่ลำบากหรอกครับ”

“แต่…”

หลี่อวี้อิงยังห่วงเรื่องลูกชายเดินทางไปไกลเพียงลำพัง

ฟางหยวนอยู่ข้างๆพูดขึ้นมาด้วยความอิจฉาเล็กๆ “แม่ วันที่สามฟางผิงก็กลับมาแล้ว แม่ไม่จำเป็นต้องไปกับเขาหรอก…”

ฟางผิงเหลือบมองเธอ หลี่อวี้อิงก็ตักเตือนเธอเช่นกัน “เหลวไหล!”

การประเมิณร่างกายมีขึ้นตอนวันที่ 1 พฤษภาคม และผลจะถูกประกาศสองวันให้หลัง

ถ้าเขาผ่านการประเมิณ เขาต้องอยู่เมืองรุ่ยหยางและเตรียมสอบปฏิบัติ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 และสอบทั่วไปศึกษาในวันที่ 10

ยิ่งอยู่เมืองรุ่ยหยางนานเท่าไหร่ ก็แปลว่าผ่านการสอบมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งเขาอยู่นาน โอกาสที่เขาจะได้เข้ามหาลัยวิชายุทธก็ยิ่งมากขึ้น

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของแม่และพี่ชาย ฟางหยวนก็พึมพำเจื่อนๆ “หนูแค่กระตุ้นฟางผิงเผื่อฟางผิงจะอยู่เมืองรุ่ยหยางได้นานขึ้น…”

จากนั้นฟางหยวนก็ตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย เธอลองแนะนำดู “ฟางผิง ถ้าหนูไปกับนาย ไปช่วยดูแลนายล่ะ?”

“น้องจะดูแลพี่งั้นเหรอ?”

ฟางผิงกลอกตามองบน เขาต้องไร้ประโยชน์ถึงขั้นไหนที่ต้องให้สาวน้อยคนนี้มาดูแล?

เขาไม่อยากพูดหัวข้อนี้ต่อ แต่จากนั้นหลี่อวี้อิงก็พูดขึ้นมาเหมือนกับเห็นด้วยกับคำแนะนำ “ผิงผิง ถ้าเกิด…”

“แม่!”

ฟางผิงขัดจังหวะทันที “ตัดสินใจนิสัยน้อง ผมอาจต้องเป็นคนดูแลน้องแทนมากกว่า ถ้าน้องไม่สร้างปัญหาก็บุญโขแล้ว”

“แถมพรุ่งนี้น้องยังมีเรียน น้องจะไปกับผมได้ไง?”

“ฟางผิง!” ฟางหยวนกล่าวอย่างไม่พอใจ “อย่าลืมว่าสองสามวันมานี้หนูต้องซักผ้าให้นายนะ…”

“ทำไมน้องไม่บอกล่ะว่าน้องคิดว่าเสื้อเท่าไหร่?”

ฟางผิงกลอกตามองบน สองวันก่อนฟางหยวนอยู่บ้าน แล้วฟางผิงขี้เกียจซักผ้าเอง เพราะเขาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งที่บ่มเพาะ

สุดท้ายสาวน้อยจึงอาสาซักเสื้อผ้าให้เขา แน่นอน เธอเก็บค่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอซัก

ตอนนี้สาวน้อยยังมาพูดถึงบุญคุณอีก!

ฟางหยวนเห็นสายตาแม่มองมาแล้วรู้สึกอายอีกครั้ง “หนูกำลังช่วยนายเก็บเงิน! ใครเก็บตังกัน…”

ฟางผิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาไม่เปิดโปงคำโกหกเธอ

หลังเก็บของทุกอย่าง หลี่อวี้อิงก็มอบเงินกองนึงให้เขาซึ่งรวมแล้วมากกว่าพันหยวน

ฟางผิงไม่ได้รับมา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ ผมพอมีอยู่บ้าง แถมโรงเรียนยังจ่ายค่าอาหารที่อยู่ให้ ทั้งหมดนี้รวมอยู่กับค่าลงทะเบียนแล้ว”

พ่อแม่เขาพบแล้วว่าเขาซื้อขนมขบเคี้ยวให้ฟางผิงมากมาย

ฟางผิงบอกว่าเขาขายลายเซ็นของหวังจินหยางได้เงินมากมาย แล้วปล่อยให้หวังจินหยางเป็นแพะไป

เฒ่าหวังย่อมออกมาแก้ตัวไม่ได้ แถมฟางหยวนยังคิดว่ามันเป็นจริงมาตลอด

พ่อแม่ฟางคิดว่าฟางผิงบ้าบิ่นเกินไปหน่อยที่เอาลายเซ็นผู้ฝึกยุทธไปขาย แต่หลังฟางผิงบอกพวกท่านว่าหวังจินหยางรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว พวกท่านจึงไม่ได้ตั้งคำถามกับการกระทำของเขา

ฟางผิงบอกแม่ไปว่าเขายังมีเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่หลี่อวี้อิงก็ยีนกรานจะให้เงินเขา

ลูกชายเธอต้องไปอยู่สถานที่ที่ไม่รู้จักตามลำพัง ถ้าเขาไม่มีเงิน เขาจะทำอะไรไม่ได้

หลี่อวี้อิงไม่ได้เป็นคนแยกตัวจากสังคม เธอได้ยินหลายคนบ่นถึงจำนวนเงินที่ต้องเตรียมให้ลูกๆเตรียมความพร้อมเพื่อสอบวิชายุทธ

บางคนก็ต้องขายบ้าน บางคนก็ต้องกู้หนี้ยืมสินจากธนาคารหรือญาติพี่น้อง

แต่พวกเขาเป็นข้อยกเว้น นับตั้งแต่ที่ฟางผิงตัดสินใจใฝ่หาวิถียุทธ พวกเขาใช้เงินเพียงสามสี่หมื่นหยวนเท่านั้น

สำหรับครอบครัวฟาง มันเป็นเงินจำนวนมาก แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนเงินที่คนอื่นต้องใช้ซื้อยาก่อนประเมิณร่างกาย

ไม่กี่วันนี้ฟางหมิงหรงก็อยากซื้อเม็ดยาให้ฟางผิงก่อนประเมิณร่างกาย ถ้าเขาซื้อเม็ดยาปราณและเลือดไม่ไหว เม็ดยาเติมเต็มเลือดและปราณก็ยังดี

แต่ฟางผิงปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาดและบอกว่าตนเองมีความมั่นใจ ฟางหมิงหรงจึงทำได้แต่ละวางความคิดนี้

ลูกชายพวกเขาเข้าใจสถานการณ์และไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว

ทั้งสองรู้สึกเศร้าใจและเสียใจกับฟางผิงมาเสมอ

สุดท้ายหลี่อวี้อิงก็ยัดเงินให้ฟางผิง พูดแนะนำเล็กน้อยก่อนจะไปทำความสะอาด

ฟางผิงถือเงินที่แม่ให้ยัดใส่กระเป๋า เขาไม่จำเป็นต้องนับด้วยซ้ำก็รู้ว่าแม่ให้เงินเขามาสองพันหยวน

เขากำลังจะไปเมืองรุ่ยหยาง ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อยสามวันและอย่างมากสองสัปดาห์

จำนวนเงินที่ให้มานั้นสูงเกินไปสำหรับครอบครัวฟาง

ฟางผิงคิดสักครู่ก่อนจะยอมรับมา

สถานการณ์การเงินของพวกเขายังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แถมใกล้สอบวิชายุทธแล้ว

หลังเขาสอบเสร็จ ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข

แม่เขาเดินไปแล้ว แต่ฟางหยวนยังอยู่

สาวน้อยอยากไปเมืองรุ่ยหยางมาก เธอจับคางมองฟางผิง “ฟางผิง นายจะไม่พาหนูไปด้วยจริงเหรอ?”

“หนูซักผ้าให้นายได้…แบบไม่เก็บเงิน!”

“หนูแบกกระเป๋าให้นายได้ จัดเสื้อผ้าให้นายได้ตอนสอบ…”

“ถ้านายไม่ผ่าน หนูจะได้อยู่ปลอบใจนาย…”

“…”

“ตั้งใจเรียน! อนาคตมีโอกาสให้น้องไปที่นั่นมากมาย อย่าสร้างปัญหาให้พี่ตอนนี้!”

ฟางผิงปฏิเสธทันที

บอกว่าฟางหยวนจะสร้างปัญหาให้เขานั้นพูดเกินไปหน่อย แต่เขาไม่พาตัวถ่วงไปด้วยแน่นอน

ฟางหยวนกล่าวอย่างผิดหวังเล็กๆ “หลังนายไป ช่วงวันหยุด 1 พฤษภา หนูก็เบื่อสิ…”

นอกจากทะเลาะกันแล้ว นับตั้งแต่สองพี่น้องยังเด็ก พวกเขาไม่เคยแยกจากกันนานขนาดนั้น

ตอนนี้ฟางผิงจะออกไปคนเดียว ฟางหยวนรู้โดยไม่ต้องคิดซ้ำสองเลยว่าเธอจะเบื่อแค่ไหน

ฟางผิงบีบแก้มเธอด้วยรอยยิ้ม “ถ้าน้องเบื่อ น้องก็ไปเล่นกับเพื่อนๆสิ จำไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้โทรหาพี่ น้องจำเบอร์พี่ได้ใช่ไหม?”

“อืม”

ฟางหยวนรู้อีกเช่นกันว่าฟางผิงซื้อโทรศัพท์มือถือแล้ว

ฟางผิงบอกเธอว่าเขาใช้เงินที่ได้จากการขายลายเซ็นไปซื้อ ฟางหยวนไม่ได้สงสัย เธอแค่คิดว่าพี่ชายไร้ยางอายขโมยความคิดเธอไป หาเงินได้ตั้งเยอะแต่ไม่แบ่งเธอเลย

นี่เป็นอีกเหตุผลเช่นกันที่เธอเก็บค่าซักผ้า ใครบอกให้เขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายกันล่ะ?

สองพี่น้องคุยกันเรื่อยเปื่อยสักครู่ แม้สาวน้อยจะบอกว่าฟางผิงจะตก แต่ก่อนไปเธอก็กัดฟันพูด “ฟางผิง ถ้านายกลับมาหลังวันที่สิบ หนูจะเลี้ยงเคเอฟซีนาย!”

ฟางผิงอดหัวเราะไม่ได้ เขาพูดหยอกล้อ “จากที่น้องพูดมา แปลว่าน้องมีเงินเก็บพอควรเลยสินะ”

“เปล่า!”

ฟางหยวนรีบตอบปฏิเสธ กลัวว่าฟางผิงจะรู้ว่าเธอเก็บเงินได้เท่าไหร่

วันนี้เธอคิดจะย้ายเงินจากกระเป๋าฟางผิงมาใส่กระเป๋าเธอ

เธอนับเงินเก็บ เธอเก็บเงินได้เกือบ 300 หยวน!

จะให้ฟางผิงรู้เรื่องนี้ไม่ได้!

ฟางผิงหัวเราะ “ยัยเด็กโลภ!”

“รอให้พี่ชายของน้องเข้ามหาลัยได้ ไม่กี่ร้อยหยวนจะเป็นไรไป?”

“สำหรับนักศึกษาวิชายุทธปีนี้ ถ้าปราณและเลือดสูงพอ พวกเราจะได้ทุนหลายล้านหยวน”

“พอพี่ได้เงิน พี่จะย้ายเราไปอยู่บ้านหลังใหญ่ขึ้น และซื้ออาหารอร่อยๆ เสื้อผ้าใหม่ๆให้น้อง…”

คำพูดของเขาทำให้ฟางหยวนหน้ามืด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเดินออกห้องไปตอนไหน

…..

วันถัดมา

ฟางผิงมาถึงหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายหลังตอน 7.50 น.

มีรถบัสขนาดใหญ่แปดคันจอดอยู่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง

ถัดจากรถบัส นักเรียนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆกระซิบกระซาบกัน

มีรถหลายคันจอดอยู่ข้างรถบัสเช่นกัน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าปกติ

ฟางผิงกำลังจะหาเพื่อนห้องสี่ แต่แล้วก็มีคนเรียกชื่อเขา

เขาหันไปมองทางต้นเสียงแล้วเห็นพี่น้องถานคนโต ถานห่าวกำลังโบกมือให้

เมื่อเขาเห็นฟางผิงมองมา ถานห่าวก็ตะโกนเสียงดัง “ฟางผิง ทางนี้!”

เสียงเขาดังมากจนดึงดูดสายตาสงสัยจากคนมากมายรอบข้าง

เมื่อถานห่าวเรียกชื่อฟางผิง ชายกลางคนที่กำลังคุยกับผู้นำโรงเรียนก็หันมามองเขาเช่นกัน

เมื่อฟางผิงเดินไปทางพวกเขา แววตาของชายกลางคนก็ดูประหลาดใจยิ่งขึ้นทุกครั้งที่ฟางผิงเดิน

เมื่อระยะห่างจากพวกเขาลดลงเหลือสามเมตร สายตาของชายกลางคนก็เผยให้เห็นความตกใจเล็กน้อย

ในทางกลับกัน เนื่องจากค่าจิตใจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อระยะห่างสั้นลง ฟางผิงจึงรู้สึกสนใจชายคนนี้เช่นกัน

ฟางผิงหันไปมองและเห็นว่าชายกลางคนกำลังมองเขา เขาจึงเผยรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและพยักหน้าเพื่อแสดงความเคารพ

หลังเห็นการกระทำของฟางผิง ชายกลางคนก็ประหลาดใจยิ่งขึ้น เด็กคนนี้รู้จักเขาเหรอ? หรือสัมผัสได้ว่าเขาเป็นใคร?

ถานเทาไม่ได้สังเกตเห็นการสื่อสารที่ไร้คำพูดของทั้งสอง เมื่อฟางผิงหยุดเดิน เขาก็กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ “ฟางผิง ไม่กี่วันนี้ จวงกงนายพัฒนาขึ้นไหม?”

“ราบรื่นเลยทีเดียว…”

ขณะที่พวกเขาคุยกัน ชายที่อยู่หลังถานเทาก็ปลีกตัวจากผู้นำโรงเรียนแล้วเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม “ห่าว เขาคือฟางผิง เพื่อนที่ลูกพูดถึงใช่ไหม?”

ถานห่าวกล่าวอย่างรวดเร็ว “อืม พ่อ เขาคือฟางผิง”

“ฟางผิง นี่พ่อฉัน…”

ถานเทาอธิบายให้ฟางผิง ขณะที่ฟางผิงพอคาดเดาตัวตนของชายคนนี้ได้แล้ว

อยู่ใกล้ถานห่าว รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนักบนใบหน้าของผู้นำโรงเรียน และปราณและเลือดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย

หลังคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร

เขาไม่คิดเลยว่าพ่อของถานห่าวจะตามไปด้วย

ถานเจิ้นผิงมองฟางผิงอย่างพิจารณา แต่หลังหลินฟ่านทักทาย เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา ถานเจิ้นผิงพยักหน้าและกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ “ฟางผิง ฉันเป็นตัวแทนเมืองหยางเฉิง รับผิดชอบประสานงานประเมิณร่างกายของผู้สมัครสอบจากเมืองหยางเฉิงและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง”

“ถ้าเธอมีอะไรไม่เข้าใจ เธอมาหาฉันได้ทุกเมื่อ”

“พอเธอถึงเมืองรุ่ยหยาง เทากับห่าวจะไปอยู่กับผู้สมัครสอบจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง ถ้าเธอไม่เจอฉัน เธอไปหาทั้งสองก็ได้”

ถานห่าวประหลาดใจกับคำพูดของพ่อเล็กน้อย แต่จากนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรอีกเมื่อนึกได้ว่าฟางผิงมีหวังจินหยางหนุนหลัง

ผู้มีอำนาจของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งต่างก็ตกใจ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?

เหล่าผู้มีอำนาจไม่รู้จักฟางผิงสักคน

ถานเจิ้นผิงเป็นตัวแทนเพียงคนเดียวจากหน่วยงานของเมือง เป็นคนที่มีสถานะสูงกว่าพวกเขามาก แถมเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขา

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนสับสน

ฟางผิงก็ประหลาดใจเช่นกัน ไม่ใช่เพราะความสุภาพของถานเจิ้นผิง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายดันเป็นผู้นำการเดินทางครั้งนี้

สอบวิชายุทธมีความสำคัญมาก พวกเขากำลังจะไปสอบวิชายุทธ ดังนั้นการไปกับผู้มีอำนาจของเมืองหยางเฉิงก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง

เมื่อไม่มีผู้ฝึกยุทธ ไปเมืองหยางเฉิง สถานการณ์เร่งด่วนหลายอย่างจะจัดการได้ยาก

เพราะงั้นผู้ฝึกยุทธจากรัฐบาลจึงได้รับมอบหมายให้นำนักเรียนไปสอบทุกปี

ฟางผิงคาดไม่ถึงเลยว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นถานเจิ้นผิง

เขาได้ยินอู๋จื้อเห่าบอกว่าพ่อของถานห่าวทำงานให้กับรัฐบาล แต่เขาไม่ได้ถามรายละเอียด

ฟางผิงรีบขอบคุณถานเจิ้นผิง “ขอบคุณครับลุงถาน”

“ไม่เป็นไร ไปคุยกันเถอะ เราจะเดินทางเมื่อรถบัสโรงเรียนอื่นมาถึง”

ถานเจิ้นผิงอธิบายเพิ่มเติม แม้แต่ถานห่าวยังคิดเลยว่าพ่อเขาสุภาพเกินไป

แม้ว่าฟางผิงจะมีหวังจินหยางหนุนหลัง แต่เขาไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย จำเป็นต้องแจ้งแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่างให้ฟางผิงรู้เลยเหรอ?

คำถามก็ยังเป็นคำถาม ถานห่าวเป็นคนง่ายๆ ไม่นานเขาก็ลืม

ถานห่าวที่อยู่เงียบๆมองไปหาพ่อ ถานเจิ้นผิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันกลับไปคุยกับผู้นำโรงเรียนต่อ

แม้ว่าจะกำลังคุยกับคนอื่น แต่ถานเจิ้นผิงไม่ได้มีสมาธิเลย เขายังคงชายตามองฟางผิงอยู่เรื่อยๆ

เขาเคยได้ยินเรื่องฟางผิงจากลูกชาย เขายังได้ยินข่าวลืออีกว่าหวังจินหยางคาดหวังกับเด็กคนนี้ไว้สูง

แต่ถานเจิ้นผิงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ฟางผิงกับหวังจินหยางไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกัน แถมต่อให้หวังจินหยางเห็นศักยภาพเด็กคนนี้และให้คำแนะนำบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เขาถานเจิ้นผิงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ เขาจึงเคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน

ตอนที่เขาอารมณ์ดีๆ หลังพบกับคนที่มีศักยภาพ เขาก็ให้คำแนะนำบ้างนิดๆหน่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

ส่วนเขาจะจำได้ไหมนั้นอีกเรื่อง

แต่เมื่อฟางผิงเดินเข้ามาใกล้ ถานเจิ้นผิงก็สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ!

ปราณและเลือดของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา มันสูงจนน่าตกใจ!

ถานเจิ้นผิงเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด เขาสัมผัสกับระดับปราณและเลือดต่ำๆไม่ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับคนอย่างหวังจินหยาง

หวังจินหยางสามารถสัมผัสถึงปราณและเลือดของฟางผิงตอน 120แคล แต่ถานเจิ้นผิงทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าปราณและเลือดไม่สูงพอ เขาจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลย

ถ้าเขาสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ มันก็หมายความว่าปราณและเลือดของฟางผิงสูงมาก!

แถมถานเจิ้นผิงยังรู้สึกถึงปราณและเลือดกำลังเดือดพล่านอยู่ในร่างกายซึ่งปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ

ถานเจิ้นผิงรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร

เตรียมผู้ฝึกยุทธที่มีสัญญาณแบบนี้คือผู้ที่อยู่ห่างจากการเป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งก้าวเท่านั้น!

‘เด็กคนนี้มีปราณและเลือดกี่แคลเนี่ย?’

ถานเจิ้นผิงคาดเดาในใจ จากนั้นเขาก็ได้ข้อสรุปว่าปราณและเลือดของนักเรียนฟางผิงต้องไม่ต่ำกว่า 140แคล!

มันน่ากลัวมาก!

มันหมายความว่าฟางผิงเกือบเข้ามหาลัยวิชายุทธได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าเขาได้คะแนนวัฒนธรรมศึกษาดีพอ เขาจะเข้าได้แม้แต่สองมหาลัยดัง

คนแบบนี้…บางทีเจอกันครั้งหน้า อีกฝ่ายอาจมีระดับขั้นสูงกว่าเขาแล้ว

เวลานี้ ต่อให้ถานเจิ้นผิงไม่อยากเสียหน้าประจบอีกฝ่าย แต่การทำตัวสุภาพบ้างก็เป็นสิ่งจำเป็น

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท