ตอนที่ 50 ออกเดินทาง
ไม่กี่วันนี้ฟางผิงไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียน ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทเวลากับการบ่มเพาะ
วันที่ 29 เมษายนมาถึงในพริบตา
ตอนกลางคืน ณ ย่านจิ่งหูหยวน
หลี่อวี้อิงช่วยลูกชายเก็บของ เธอถามด้วยความกังวลใจ “ผิงผิง ลูกไม่อยากให้แม่ไปด้วยจริงเหรอ?”
“แม่ โรงเรียนจัดการอาหารที่อยู่ให้เราแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้แม่ลำบากหรอกครับ”
“แต่…”
หลี่อวี้อิงยังห่วงเรื่องลูกชายเดินทางไปไกลเพียงลำพัง
ฟางหยวนอยู่ข้างๆพูดขึ้นมาด้วยความอิจฉาเล็กๆ “แม่ วันที่สามฟางผิงก็กลับมาแล้ว แม่ไม่จำเป็นต้องไปกับเขาหรอก…”
ฟางผิงเหลือบมองเธอ หลี่อวี้อิงก็ตักเตือนเธอเช่นกัน “เหลวไหล!”
การประเมิณร่างกายมีขึ้นตอนวันที่ 1 พฤษภาคม และผลจะถูกประกาศสองวันให้หลัง
ถ้าเขาผ่านการประเมิณ เขาต้องอยู่เมืองรุ่ยหยางและเตรียมสอบปฏิบัติ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 และสอบทั่วไปศึกษาในวันที่ 10
ยิ่งอยู่เมืองรุ่ยหยางนานเท่าไหร่ ก็แปลว่าผ่านการสอบมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งเขาอยู่นาน โอกาสที่เขาจะได้เข้ามหาลัยวิชายุทธก็ยิ่งมากขึ้น
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของแม่และพี่ชาย ฟางหยวนก็พึมพำเจื่อนๆ “หนูแค่กระตุ้นฟางผิงเผื่อฟางผิงจะอยู่เมืองรุ่ยหยางได้นานขึ้น…”
จากนั้นฟางหยวนก็ตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย เธอลองแนะนำดู “ฟางผิง ถ้าหนูไปกับนาย ไปช่วยดูแลนายล่ะ?”
“น้องจะดูแลพี่งั้นเหรอ?”
ฟางผิงกลอกตามองบน เขาต้องไร้ประโยชน์ถึงขั้นไหนที่ต้องให้สาวน้อยคนนี้มาดูแล?
เขาไม่อยากพูดหัวข้อนี้ต่อ แต่จากนั้นหลี่อวี้อิงก็พูดขึ้นมาเหมือนกับเห็นด้วยกับคำแนะนำ “ผิงผิง ถ้าเกิด…”
“แม่!”
ฟางผิงขัดจังหวะทันที “ตัดสินใจนิสัยน้อง ผมอาจต้องเป็นคนดูแลน้องแทนมากกว่า ถ้าน้องไม่สร้างปัญหาก็บุญโขแล้ว”
“แถมพรุ่งนี้น้องยังมีเรียน น้องจะไปกับผมได้ไง?”
“ฟางผิง!” ฟางหยวนกล่าวอย่างไม่พอใจ “อย่าลืมว่าสองสามวันมานี้หนูต้องซักผ้าให้นายนะ…”
“ทำไมน้องไม่บอกล่ะว่าน้องคิดว่าเสื้อเท่าไหร่?”
ฟางผิงกลอกตามองบน สองวันก่อนฟางหยวนอยู่บ้าน แล้วฟางผิงขี้เกียจซักผ้าเอง เพราะเขาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งที่บ่มเพาะ
สุดท้ายสาวน้อยจึงอาสาซักเสื้อผ้าให้เขา แน่นอน เธอเก็บค่าเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอซัก
ตอนนี้สาวน้อยยังมาพูดถึงบุญคุณอีก!
ฟางหยวนเห็นสายตาแม่มองมาแล้วรู้สึกอายอีกครั้ง “หนูกำลังช่วยนายเก็บเงิน! ใครเก็บตังกัน…”
ฟางผิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาไม่เปิดโปงคำโกหกเธอ
หลังเก็บของทุกอย่าง หลี่อวี้อิงก็มอบเงินกองนึงให้เขาซึ่งรวมแล้วมากกว่าพันหยวน
ฟางผิงไม่ได้รับมา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ ผมพอมีอยู่บ้าง แถมโรงเรียนยังจ่ายค่าอาหารที่อยู่ให้ ทั้งหมดนี้รวมอยู่กับค่าลงทะเบียนแล้ว”
พ่อแม่เขาพบแล้วว่าเขาซื้อขนมขบเคี้ยวให้ฟางผิงมากมาย
ฟางผิงบอกว่าเขาขายลายเซ็นของหวังจินหยางได้เงินมากมาย แล้วปล่อยให้หวังจินหยางเป็นแพะไป
เฒ่าหวังย่อมออกมาแก้ตัวไม่ได้ แถมฟางหยวนยังคิดว่ามันเป็นจริงมาตลอด
พ่อแม่ฟางคิดว่าฟางผิงบ้าบิ่นเกินไปหน่อยที่เอาลายเซ็นผู้ฝึกยุทธไปขาย แต่หลังฟางผิงบอกพวกท่านว่าหวังจินหยางรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว พวกท่านจึงไม่ได้ตั้งคำถามกับการกระทำของเขา
ฟางผิงบอกแม่ไปว่าเขายังมีเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่หลี่อวี้อิงก็ยีนกรานจะให้เงินเขา
ลูกชายเธอต้องไปอยู่สถานที่ที่ไม่รู้จักตามลำพัง ถ้าเขาไม่มีเงิน เขาจะทำอะไรไม่ได้
หลี่อวี้อิงไม่ได้เป็นคนแยกตัวจากสังคม เธอได้ยินหลายคนบ่นถึงจำนวนเงินที่ต้องเตรียมให้ลูกๆเตรียมความพร้อมเพื่อสอบวิชายุทธ
บางคนก็ต้องขายบ้าน บางคนก็ต้องกู้หนี้ยืมสินจากธนาคารหรือญาติพี่น้อง
แต่พวกเขาเป็นข้อยกเว้น นับตั้งแต่ที่ฟางผิงตัดสินใจใฝ่หาวิถียุทธ พวกเขาใช้เงินเพียงสามสี่หมื่นหยวนเท่านั้น
สำหรับครอบครัวฟาง มันเป็นเงินจำนวนมาก แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนเงินที่คนอื่นต้องใช้ซื้อยาก่อนประเมิณร่างกาย
ไม่กี่วันนี้ฟางหมิงหรงก็อยากซื้อเม็ดยาให้ฟางผิงก่อนประเมิณร่างกาย ถ้าเขาซื้อเม็ดยาปราณและเลือดไม่ไหว เม็ดยาเติมเต็มเลือดและปราณก็ยังดี
แต่ฟางผิงปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาดและบอกว่าตนเองมีความมั่นใจ ฟางหมิงหรงจึงทำได้แต่ละวางความคิดนี้
ลูกชายพวกเขาเข้าใจสถานการณ์และไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว
ทั้งสองรู้สึกเศร้าใจและเสียใจกับฟางผิงมาเสมอ
สุดท้ายหลี่อวี้อิงก็ยัดเงินให้ฟางผิง พูดแนะนำเล็กน้อยก่อนจะไปทำความสะอาด
ฟางผิงถือเงินที่แม่ให้ยัดใส่กระเป๋า เขาไม่จำเป็นต้องนับด้วยซ้ำก็รู้ว่าแม่ให้เงินเขามาสองพันหยวน
เขากำลังจะไปเมืองรุ่ยหยาง ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อยสามวันและอย่างมากสองสัปดาห์
จำนวนเงินที่ให้มานั้นสูงเกินไปสำหรับครอบครัวฟาง
ฟางผิงคิดสักครู่ก่อนจะยอมรับมา
สถานการณ์การเงินของพวกเขายังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แถมใกล้สอบวิชายุทธแล้ว
หลังเขาสอบเสร็จ ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข
แม่เขาเดินไปแล้ว แต่ฟางหยวนยังอยู่
สาวน้อยอยากไปเมืองรุ่ยหยางมาก เธอจับคางมองฟางผิง “ฟางผิง นายจะไม่พาหนูไปด้วยจริงเหรอ?”
“หนูซักผ้าให้นายได้…แบบไม่เก็บเงิน!”
“หนูแบกกระเป๋าให้นายได้ จัดเสื้อผ้าให้นายได้ตอนสอบ…”
“ถ้านายไม่ผ่าน หนูจะได้อยู่ปลอบใจนาย…”
“…”
“ตั้งใจเรียน! อนาคตมีโอกาสให้น้องไปที่นั่นมากมาย อย่าสร้างปัญหาให้พี่ตอนนี้!”
ฟางผิงปฏิเสธทันที
บอกว่าฟางหยวนจะสร้างปัญหาให้เขานั้นพูดเกินไปหน่อย แต่เขาไม่พาตัวถ่วงไปด้วยแน่นอน
ฟางหยวนกล่าวอย่างผิดหวังเล็กๆ “หลังนายไป ช่วงวันหยุด 1 พฤษภา หนูก็เบื่อสิ…”
นอกจากทะเลาะกันแล้ว นับตั้งแต่สองพี่น้องยังเด็ก พวกเขาไม่เคยแยกจากกันนานขนาดนั้น
ตอนนี้ฟางผิงจะออกไปคนเดียว ฟางหยวนรู้โดยไม่ต้องคิดซ้ำสองเลยว่าเธอจะเบื่อแค่ไหน
ฟางผิงบีบแก้มเธอด้วยรอยยิ้ม “ถ้าน้องเบื่อ น้องก็ไปเล่นกับเพื่อนๆสิ จำไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้โทรหาพี่ น้องจำเบอร์พี่ได้ใช่ไหม?”
“อืม”
ฟางหยวนรู้อีกเช่นกันว่าฟางผิงซื้อโทรศัพท์มือถือแล้ว
ฟางผิงบอกเธอว่าเขาใช้เงินที่ได้จากการขายลายเซ็นไปซื้อ ฟางหยวนไม่ได้สงสัย เธอแค่คิดว่าพี่ชายไร้ยางอายขโมยความคิดเธอไป หาเงินได้ตั้งเยอะแต่ไม่แบ่งเธอเลย
นี่เป็นอีกเหตุผลเช่นกันที่เธอเก็บค่าซักผ้า ใครบอกให้เขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายกันล่ะ?
สองพี่น้องคุยกันเรื่อยเปื่อยสักครู่ แม้สาวน้อยจะบอกว่าฟางผิงจะตก แต่ก่อนไปเธอก็กัดฟันพูด “ฟางผิง ถ้านายกลับมาหลังวันที่สิบ หนูจะเลี้ยงเคเอฟซีนาย!”
ฟางผิงอดหัวเราะไม่ได้ เขาพูดหยอกล้อ “จากที่น้องพูดมา แปลว่าน้องมีเงินเก็บพอควรเลยสินะ”
“เปล่า!”
ฟางหยวนรีบตอบปฏิเสธ กลัวว่าฟางผิงจะรู้ว่าเธอเก็บเงินได้เท่าไหร่
วันนี้เธอคิดจะย้ายเงินจากกระเป๋าฟางผิงมาใส่กระเป๋าเธอ
เธอนับเงินเก็บ เธอเก็บเงินได้เกือบ 300 หยวน!
จะให้ฟางผิงรู้เรื่องนี้ไม่ได้!
ฟางผิงหัวเราะ “ยัยเด็กโลภ!”
“รอให้พี่ชายของน้องเข้ามหาลัยได้ ไม่กี่ร้อยหยวนจะเป็นไรไป?”
“สำหรับนักศึกษาวิชายุทธปีนี้ ถ้าปราณและเลือดสูงพอ พวกเราจะได้ทุนหลายล้านหยวน”
“พอพี่ได้เงิน พี่จะย้ายเราไปอยู่บ้านหลังใหญ่ขึ้น และซื้ออาหารอร่อยๆ เสื้อผ้าใหม่ๆให้น้อง…”
คำพูดของเขาทำให้ฟางหยวนหน้ามืด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเดินออกห้องไปตอนไหน
…..
วันถัดมา
ฟางผิงมาถึงหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายหลังตอน 7.50 น.
มีรถบัสขนาดใหญ่แปดคันจอดอยู่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง
ถัดจากรถบัส นักเรียนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆกระซิบกระซาบกัน
มีรถหลายคันจอดอยู่ข้างรถบัสเช่นกัน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าปกติ
ฟางผิงกำลังจะหาเพื่อนห้องสี่ แต่แล้วก็มีคนเรียกชื่อเขา
เขาหันไปมองทางต้นเสียงแล้วเห็นพี่น้องถานคนโต ถานห่าวกำลังโบกมือให้
เมื่อเขาเห็นฟางผิงมองมา ถานห่าวก็ตะโกนเสียงดัง “ฟางผิง ทางนี้!”
เสียงเขาดังมากจนดึงดูดสายตาสงสัยจากคนมากมายรอบข้าง
เมื่อถานห่าวเรียกชื่อฟางผิง ชายกลางคนที่กำลังคุยกับผู้นำโรงเรียนก็หันมามองเขาเช่นกัน
เมื่อฟางผิงเดินไปทางพวกเขา แววตาของชายกลางคนก็ดูประหลาดใจยิ่งขึ้นทุกครั้งที่ฟางผิงเดิน
เมื่อระยะห่างจากพวกเขาลดลงเหลือสามเมตร สายตาของชายกลางคนก็เผยให้เห็นความตกใจเล็กน้อย
ในทางกลับกัน เนื่องจากค่าจิตใจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อระยะห่างสั้นลง ฟางผิงจึงรู้สึกสนใจชายคนนี้เช่นกัน
ฟางผิงหันไปมองและเห็นว่าชายกลางคนกำลังมองเขา เขาจึงเผยรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและพยักหน้าเพื่อแสดงความเคารพ
หลังเห็นการกระทำของฟางผิง ชายกลางคนก็ประหลาดใจยิ่งขึ้น เด็กคนนี้รู้จักเขาเหรอ? หรือสัมผัสได้ว่าเขาเป็นใคร?
ถานเทาไม่ได้สังเกตเห็นการสื่อสารที่ไร้คำพูดของทั้งสอง เมื่อฟางผิงหยุดเดิน เขาก็กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ “ฟางผิง ไม่กี่วันนี้ จวงกงนายพัฒนาขึ้นไหม?”
“ราบรื่นเลยทีเดียว…”
ขณะที่พวกเขาคุยกัน ชายที่อยู่หลังถานเทาก็ปลีกตัวจากผู้นำโรงเรียนแล้วเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม “ห่าว เขาคือฟางผิง เพื่อนที่ลูกพูดถึงใช่ไหม?”
ถานห่าวกล่าวอย่างรวดเร็ว “อืม พ่อ เขาคือฟางผิง”
“ฟางผิง นี่พ่อฉัน…”
ถานเทาอธิบายให้ฟางผิง ขณะที่ฟางผิงพอคาดเดาตัวตนของชายคนนี้ได้แล้ว
อยู่ใกล้ถานห่าว รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนักบนใบหน้าของผู้นำโรงเรียน และปราณและเลือดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
หลังคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
เขาไม่คิดเลยว่าพ่อของถานห่าวจะตามไปด้วย
ถานเจิ้นผิงมองฟางผิงอย่างพิจารณา แต่หลังหลินฟ่านทักทาย เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา ถานเจิ้นผิงพยักหน้าและกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ “ฟางผิง ฉันเป็นตัวแทนเมืองหยางเฉิง รับผิดชอบประสานงานประเมิณร่างกายของผู้สมัครสอบจากเมืองหยางเฉิงและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง”
“ถ้าเธอมีอะไรไม่เข้าใจ เธอมาหาฉันได้ทุกเมื่อ”
“พอเธอถึงเมืองรุ่ยหยาง เทากับห่าวจะไปอยู่กับผู้สมัครสอบจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง ถ้าเธอไม่เจอฉัน เธอไปหาทั้งสองก็ได้”
ถานห่าวประหลาดใจกับคำพูดของพ่อเล็กน้อย แต่จากนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรอีกเมื่อนึกได้ว่าฟางผิงมีหวังจินหยางหนุนหลัง
ผู้มีอำนาจของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งต่างก็ตกใจ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
เหล่าผู้มีอำนาจไม่รู้จักฟางผิงสักคน
ถานเจิ้นผิงเป็นตัวแทนเพียงคนเดียวจากหน่วยงานของเมือง เป็นคนที่มีสถานะสูงกว่าพวกเขามาก แถมเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขา
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนสับสน
ฟางผิงก็ประหลาดใจเช่นกัน ไม่ใช่เพราะความสุภาพของถานเจิ้นผิง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายดันเป็นผู้นำการเดินทางครั้งนี้
สอบวิชายุทธมีความสำคัญมาก พวกเขากำลังจะไปสอบวิชายุทธ ดังนั้นการไปกับผู้มีอำนาจของเมืองหยางเฉิงก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง
เมื่อไม่มีผู้ฝึกยุทธ ไปเมืองหยางเฉิง สถานการณ์เร่งด่วนหลายอย่างจะจัดการได้ยาก
เพราะงั้นผู้ฝึกยุทธจากรัฐบาลจึงได้รับมอบหมายให้นำนักเรียนไปสอบทุกปี
ฟางผิงคาดไม่ถึงเลยว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นถานเจิ้นผิง
เขาได้ยินอู๋จื้อเห่าบอกว่าพ่อของถานห่าวทำงานให้กับรัฐบาล แต่เขาไม่ได้ถามรายละเอียด
ฟางผิงรีบขอบคุณถานเจิ้นผิง “ขอบคุณครับลุงถาน”
“ไม่เป็นไร ไปคุยกันเถอะ เราจะเดินทางเมื่อรถบัสโรงเรียนอื่นมาถึง”
ถานเจิ้นผิงอธิบายเพิ่มเติม แม้แต่ถานห่าวยังคิดเลยว่าพ่อเขาสุภาพเกินไป
แม้ว่าฟางผิงจะมีหวังจินหยางหนุนหลัง แต่เขาไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย จำเป็นต้องแจ้งแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่างให้ฟางผิงรู้เลยเหรอ?
คำถามก็ยังเป็นคำถาม ถานห่าวเป็นคนง่ายๆ ไม่นานเขาก็ลืม
ถานห่าวที่อยู่เงียบๆมองไปหาพ่อ ถานเจิ้นผิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันกลับไปคุยกับผู้นำโรงเรียนต่อ
แม้ว่าจะกำลังคุยกับคนอื่น แต่ถานเจิ้นผิงไม่ได้มีสมาธิเลย เขายังคงชายตามองฟางผิงอยู่เรื่อยๆ
เขาเคยได้ยินเรื่องฟางผิงจากลูกชาย เขายังได้ยินข่าวลืออีกว่าหวังจินหยางคาดหวังกับเด็กคนนี้ไว้สูง
แต่ถานเจิ้นผิงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ฟางผิงกับหวังจินหยางไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกัน แถมต่อให้หวังจินหยางเห็นศักยภาพเด็กคนนี้และให้คำแนะนำบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เขาถานเจิ้นผิงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ เขาจึงเคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน
ตอนที่เขาอารมณ์ดีๆ หลังพบกับคนที่มีศักยภาพ เขาก็ให้คำแนะนำบ้างนิดๆหน่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
ส่วนเขาจะจำได้ไหมนั้นอีกเรื่อง
แต่เมื่อฟางผิงเดินเข้ามาใกล้ ถานเจิ้นผิงก็สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ!
ปราณและเลือดของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา มันสูงจนน่าตกใจ!
ถานเจิ้นผิงเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด เขาสัมผัสกับระดับปราณและเลือดต่ำๆไม่ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับคนอย่างหวังจินหยาง
หวังจินหยางสามารถสัมผัสถึงปราณและเลือดของฟางผิงตอน 120แคล แต่ถานเจิ้นผิงทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าปราณและเลือดไม่สูงพอ เขาจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลย
ถ้าเขาสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ มันก็หมายความว่าปราณและเลือดของฟางผิงสูงมาก!
แถมถานเจิ้นผิงยังรู้สึกถึงปราณและเลือดกำลังเดือดพล่านอยู่ในร่างกายซึ่งปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ
ถานเจิ้นผิงรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
เตรียมผู้ฝึกยุทธที่มีสัญญาณแบบนี้คือผู้ที่อยู่ห่างจากการเป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งก้าวเท่านั้น!
‘เด็กคนนี้มีปราณและเลือดกี่แคลเนี่ย?’
ถานเจิ้นผิงคาดเดาในใจ จากนั้นเขาก็ได้ข้อสรุปว่าปราณและเลือดของนักเรียนฟางผิงต้องไม่ต่ำกว่า 140แคล!
มันน่ากลัวมาก!
มันหมายความว่าฟางผิงเกือบเข้ามหาลัยวิชายุทธได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าเขาได้คะแนนวัฒนธรรมศึกษาดีพอ เขาจะเข้าได้แม้แต่สองมหาลัยดัง
คนแบบนี้…บางทีเจอกันครั้งหน้า อีกฝ่ายอาจมีระดับขั้นสูงกว่าเขาแล้ว
เวลานี้ ต่อให้ถานเจิ้นผิงไม่อยากเสียหน้าประจบอีกฝ่าย แต่การทำตัวสุภาพบ้างก็เป็นสิ่งจำเป็น