World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 54

ตอนที่ 54

ตอนที่ 54 คุยล้มเหลว!

ณ ศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง

นอกอาคาร มีนักเรียนแบ่งออกเป็นสามกลุ่มชัดเจน

ศูนย์ทดสอบค่อนข้างกว้างใหญ่ มีหลายพันคนมารวมกันอยู่ที่จัตุรัสด้านนอกซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง

จนถึงเวลาเริ่มประเมิณอย่างเป็นทางการ จะไม่มีนักเรียนคนไหนได้รับอนุญาตให้เข้าไป

เวลานั้นเองก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นที่จัตุรัส

“พวกนั้นมาจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว! ฉันไม่คิดเลยว่าเราต้องประเมิณร่างกายพร้อมกับพวกเขา”

“คนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางมีปราณและเลือดสูงสุดๆ ฉันได้ยินมาว่าคนที่ต่ำกว่า 110แคลจะไม่มาสมัครสอบ…”

“ไม่มีทางน่า นายกำลังจะบอกว่าหลายร้อยคนตรงนี้ล้วนมีปราณและเลือดมากกว่า 110แคลเหรอ?”

“ฉิบ เราแย่แล้วจริงๆ…”

ในสามกลุ่ม นักเรียนจากเขตอันผิงแตกต่างไปเล็กน้อย ทั้งสี่ถึงห้ารอยคนล้วนกำลังสวมเครื่องแบบโรงเรียน

ไม่เหมือนกับพวกเขา พวกฟางผิงแต่งกายตามสบาย โรงเรียนไม่ได้จำกัดชุดที่พวกเขาใส่

ในทางกลับกัน นักเรียนทุกคนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางต่างสวมเครื่องแบบนักเรียน

พอมองดูลวกๆ นักเรียนจากเมืองหยางเฉิงและเทศมณฑลซิงซีดูเหมือนเป็นกองทัพผสมมากกว่า

เมื่อเทียบกันแล้ว นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางดูเย็นชาและเย่อหยิ่งเล็กน้อย

นักเรียนไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนผู้ใหญ่ พวกเขาคิดยังไง พวกเขาก็แสดงออกมาทางสีหน้า

เนื่องจากพวกเขามาจากโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดในเมืองรุ่ยหยาง โรงเรียนมัธยมปลายที่มีผู้สมัครสอบที่เข้าสู่มหาลัยวิชายุทธได้มากที่สุดมาทุกปี นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางจึงมีสิทธิ์ภาคภูมิใจ

มันก็เหมือนกับนักเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงที่รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าโรงเรียนอื่นๆในเมืองหยางเฉิง

ต่อให้ตัวเองแย่ แต่มันก็ไม่สำคัญเพราะโรงเรียนพวกเขาดีกว่า พวกเขามีสิทธิ์ภูมิใจ เพราะพวกเขามาจากโรงเรียนอันดับหนึ่ง!

แน่นอน ไม่มีใครพูดออกมา ทุกคนเข้าใจเอง

ถ้ามีคนพูดชมสรรเสริญพวกเขา พวกเขาก็จะพูดอย่างถ่อมตนว่า “ที่จริงโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก โรงเรียนมัธยมปลาย xx ของคุณก็ดีเหมือนกัน คุณก็แข็งแกร่งไม่เบา…”

พอพวกเขาพูดแบบนั้น เราต้องไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง กลับกันเราต้องพูดชมพวกเขาต่อสักเล็กน้อย

ถ้าเราไม่พูดชมพวกเขา พวกเขาจะคิดว่า’เจ้าขยะคนนี้คิดจริงเหรอว่าโรงเรียนตัวเองดี! ชิ พวกเขาไม่อายบ้างเหรอที่เอาตัวเองไปเทียบกับโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง?’

นักเรียนทุกคนมีทัศนคติเหมือนกัน และมันก็ดูออกง่ายมาก

ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบในจัตุรัส นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางยังคงเงียบสงบ รักษาภาพลักษณ์เย็นชาและภาคภูมิใจ

อันที่จริงฟางผิงเห็นได้ชัดเจนว่ามีนักเรียนหลายคนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางที่กำลังพยายามสุดความสามารถเพื่อไม่ให้มีรอยยิ้มเผยออกมา

‘พวกเขาก็แค่กลุ่มเด็กน้อยไร้เดียงสา พอไปแข่งกับพวกเขาแล้วเหมือนฉันรังแกเด็กยังไงก็ไม่รู้…’

ฟางผิงคิดในใจ เขาไม่มีแรงจูงใจรังแกพวกเขาเลย

แต่ถึงกระนั้น นั่นก็เป็นเพียงความคิดฝ่ายเดียวของฟางผิง คนอื่นรอบๆเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ลุกโชนมานานแล้ว

พวกเขาไม่ใช่กลุ่มเดียว นักเรียนชั้นนำจากเขตอันผิงและเทศมณฑลซิงซีต่างก็กำหมัดพร้อมสู้นานแล้ว

เห็นได้ชัดว่าถานเจิ้นผิงไม่ใช่คนเดียวที่ซุกแผนการไว้ ผู้นำจากฝ่ายอื่นก็คิดเช่นเดียวกัน

พูดอีกนัยนึง มันเป็นธรรมเนียมประจำปีไปแล้ว

หน้ากลุ่ม

ถานเจิ้นผิงและผู้นำจากอันผิงและซิงซีกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานราวกับสหายเก่ากัน

อย่างไรก็ตามหลังตั้งใจสังเกตดูจะเห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มของพวกเขาค่อนข้างจอมปลอม

หลังทักทายกันปลอมๆ ถานเจิ้นผิงก็หันหน้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม “โจวปิน เธอกับเพื่อนๆไปพบนักเรียนของอันผิงกับซิงซีหน่อยสิ”

“พอเธอได้เข้ามหาลัยวิชายุทธ เธอจะได้ดูแลกัน เพราะยังไงเราก็เป็นนักเรียนจากเมืองรุ่ยหยางเหมือนกัน…”

ผู้ฝึกยุทธทั้งสองจากอันผิงและซิงซีก็พูดทำนองเดียวกัน

นักเรียนที่ได้รับคำสั่งล่วงหน้าก็ก้าวออกมาจากแถวตามลำดับ

มีนักเรียน 7 คนจากเมืองหยางเฉิง 5 คนจากซิงซี แต่จากเขตอันผิงมีมากกว่า 10 คน

นักเรียนที่ถูกเลือกต่างก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือพวกเขาทะลวงขอบเขต 120แคลแล้ว

คนที่ก้าวออกมาล้วนเป็นนักเรียน ดังนั้นเวลานี้ ทุกคนจึงรู้สึกลังเล พวกเขาควรทักทายกันก่อน หรือทำตามแผนเลย?

ถ้าให้ทักทาย พวกเขาก็ไม่รู้ทักทายยังไง

ถ้าจะทำตามแผนเลยก็เหมือนบุ่มบ่ามไปหน่อย

ถานเจิ้นผิงกับอีกสองคนไม่ได้ให้คำแนะนำอะไร พวกเขาแค่ยืนยิ้มดูการแสดงของนักเรียนที่โดดเด่นเหล่านี้

การได้ดูนักเรียนพวกนี้โอ้อวดความสามารถตนเองแบบเด็กๆเป็นแหล่งผ่อนคลายที่หาได้ยาก

หลายปีต่อจากนี้ ถ้ามีใครเป็นคนใหญ่คนโต พวกเขาจะเอาเรื่องนี้ไปคุยโวตอนวัยเกษียณได้

เหล่าผู้ฝึกยุทธคุยกันเงียบๆ รอยยิ้มของพวกเขาจริงใจมากกว่าเดิม

…..

ฟางผิงมองเหล่าถานเจิ้นผิง จากนั้นเขาก็มองเหล่านักเรียนที่เดินมารวมตัวกันและสุดท้ายก็มองสีหน้าตั้งอกตั้งใจของเหล่านักเรียนหลายพันคนในจัตุรัส…

สำหรับฟางผิงแล้ว มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังดูละครสัตว์!

แน่นอน นักเรียนคนอื่นๆอาจไม่คิดแบบนั้น

เมื่อพวกเขามองดูเหล่าสหายนักเรียนที่รวมกันตรงหน้า สายตาของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความอิจฉา ความริษยาและความชื่นชม

พวกเขาเป็นนักเรียนที่มีชื่อเสียงในโรงเรียนของตน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินออกมา ทุกคนจึงรู้ว่ามันหมายถึงอะไร พวกเขาคือหัวกะทิ

แต่ถึงกระนั้น ฟางผิงมั่นใจมากว่าถานเจิ้นผิงกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นคงทำเหมือนนี่เป็นการแสดง

มันก็เหมือนกับเขา ถ้าเขาเห็นนักเรียนประถมแยกเขี้ยวประกาศดวลกันข้างถนน เขาก็คงหัวเราะและอยู่ดูการแสดงเหมือนกัน

มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้ต่อสู้กันจริง ดังนั้นมันก็สนุกไม่เลวเหมือนกันที่ได้ดูเด็กน้อยแข่งจ้องตากัน

เวลานั้นเองฟางผิงก็นึกคำพูดของถานเจิ้นผิงได้ อีกฝ่ายอยากให้เขาระเบิดปราณและเลือดเพื่อลดความมั่นใจของคู่แข่ง…

แต่มันจะได้ผลจริงเหรอ?

ต่อให้เตรียมผู้ฝึกยุทธที่มีศักยภาพระเบิดปราณและเลือด แต่พวกเขาก็ยังเป็นนักเรียนที่มีปราณและเลือดราวๆ 120แคลเท่านั้น การระเบิดพลังของพวกเขารุนแรงกว่าคนอื่นๆเพียงเล็กน้อย

ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสร้างแรงกดดันให้ผู้อื่นได้มาก

คนที่มีมากกว่า 130แคลอาจสร้างแรงกดดันให้คนใกล้ตัวที่สุดได้เล็กน้อย

อย่างไรก็ตามมันบอกได้ไม่ง่ายเลยว่าจะมีผลกระทบมากแค่ไหน แถมขอบเขตยังจำกัดเช่นกัน

พอลองมาคิดๆดู และเห็นสีหน้าสนุกสนานบนใบหน้าของเหล่าถานเจิ้นผิง เขาก็คิดว่านี่เป็นแค่เกมที่เหล่าผู้นำเล่นกันทุกปีใช่ไหม?

เอ่อ บางทีมันอาจเป็นมากกว่าเกม มันเป็นการลงทุนรูปแบบนึงเหรอ?

ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาได้ขอให้นักเรียนระเบิดพลังและให้ยากับนักเรียนเป็นค่าตอบแทน ไม่ว่าจะมองยังไงพวกนักเรียนก็ไม่ขาดทุน

เมื่อพวกนักเรียนได้รับเม็ดยา พวกเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเช่นกัน

พอฟางผิงครุ่นคิดดูแล้ว เขาก็มองเหล่านักเรียนที่โดดเด่นที่ยังคงคุยกันไม่หยุด

ถ้าคนพวกนี้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต พอพวกเขาคิดย้อนกลับมาตอนนี้ พวกเขาจะรู้สึกอายไหม?

ฟางผิงไม่รู้

แต่ถึงกระนั้นเมื่อเขาเห็นพวกเขามองหน้ากันโดยไม่รู้จะเริ่มสู้กันยังไง ฟางผิงก็รู้สึกอับอาย

พอเขาคิดแบบนั้น ฟางผิงก็ไม่ล้าช้าอีกต่อไป

เขาก้าวออกไปข้างหน้าขณะที่คนอื่นๆยังยุ่งอยู่กับการแนะนำตัวเอง ฟางผิงกล่าวทันที “สหาย เราเข้าประเด็นหลักกันเถอะ!”

คนอื่นๆอึ้ง แต่เขาไม่รอให้พวกเขาได้สติกลับมา

ฟางผิงรวบรวมปราณและเลือด ใช้ทริคเล็กน้อยจาก’เคล็ดเสริมสร้าง’เพื่อปลดปล่อยปราณและเลือดทั้งหมดในครั้งเดียว!

เขามีปราณและเลือดมากกว่า 140แคลและจิตใจมากกว่า 170เฮิรตซ์ เขาระเบิดออกมาทั้งหมด

ในพริบตานั้น เหล่านักเรียนที่โดดเด่นที่ยังแนะนำตัวกันอยู่ก็สะอึกทันที!

คนที่อยู่ใกล้ฟางผิงที่สุดใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง สายตาของพวกเขาดูสับสนงุนงง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“คุยกันล้มเหลวเหรอ?”

“ฉันหายใจไม่ออก!”

“…”

เหล่านักเรียนตั้งตัวไม่ทัน นักเรียนสองคนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางที่มีมากกว่า 130แคลไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่คนอื่นๆรู้สึกกดดันอย่างหนัก

…..

ไม่ไกลจากนั้น ผู้ฝึกยุทธสองคนที่กำลังคุยกับถานเจิ้นผิงอย่างมีความสุขก็สะอึกเช่นกัน พวกเขารู้สึกเหมือนมีใครมาบีบคอ

นี่มันอะไรกัน?!

ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบเขตอันผิงก็ดูอึ้งๆ

หลังจากนั้นแทบจะทันที เขาก็จ้องมองฟางผิงก่อนจะหันมาถลึงตามองถานเจิ้นผิง “นายไปหาคนมาจากเมืองเจียงเฉิงเหรอ?”

ผู้นำจากเทศมณฑลซิงซีก็ได้สติกลับมาทันที เขาสบถ “ตาแก่ถาน นายไม่อายบ้างเหรอ?”

“แค่ขำๆกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมเมืองหยางเฉิงถึงทำแบบนี้?”

“การระเบิดครั้งนี้เกือบแข็งแกร่งเท่าผู้ฝึกยุทธ เขาต้องมีอย่างน้อย 145แคล!”

“ตาแก่ถาน มันจำเป็นขนาดนี้เลยเหรอ?”

“นายหมดไปเท่าไหร่?”

สองผู้นำถลึงตามองถานเจิ้นผิงอย่างเคืองๆ สีหน้าของพวกเขามืดมน

ก่อนที่ถานเจิ้นผิงจะได้อธิบาย ผู้นำจากเขตอันผิงรีบพูดขึ้นมา “นักเรียน การประเมิณร่างกายใกล้เริ่มแล้ว ถ้าเธอระเบิดออกมาตอนนี้ ผลงานตอนประเมิณจะได้รับผลกระทบไปด้วย!”

ผู้ฝึกยุทธจากเทศมณฑลซิงซีก้าวออกมาเช่นกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “นักเรียน เธอปลดปล่อยได้เต็มที่หลังเข้าห้องวัดปราณและเลือด อย่าลืมว่าอะไรสำคัญที่สุด”

ทั้งสองรู้สึกเป็นกังวล ปราณและเลือดที่ฟางผิงระเบิดออกมารวมถึงแรงกดดันทางจิตใจด้วยเช่นกัน

นักเรียนที่มีปราณและเลือดแค่ 120แคลเกือบหมดสติ ลูกตาของพวกเขาหมุนติ้ว

ถ้าเป็นแบบนี้ การสอบจะได้รับผลกระทบแน่นอน

พวกเขาควรถึง 120แคล ดังนั้นการลดลง 1-2แคลไม่ใช่เรื่องตลก

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเตรียมผู้ฝึกยุทธที่มีศักยภาพแบบนี้ในเมืองหยางเฉิง

ปกติแล้วต่อให้นักเรียนระเบิดพลัง ผลกระทบต่อนักเรียนที่มีความสามารถพอๆกันก็มีจำกัด

อย่างไรก็ตามปราณและเลือดของฟางผิงแข็งแกร่งมาก มันใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเลยทีเดียว

เพราะงั้นผู้ฝึกยุทธทั้งสองจึงพูดกับเขาสุภาพยิ่งขึ้นเช่นกัน พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมืองหยางเฉิงติดสินบนนักเรียนคนนี้มาจากโรงเรียนดังไหน

จากนั้นถานเจิ้นผิงก็ได้สติกลับมาในที่สุด

เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าปราณและเลือดของฟางผิงจะสูงขนาดนี้ แต่ฟางผิงไม่เคยระเบิดพลังมาก่อน ต่อให้เขาสัมผัสได้ แต่มันก็ไม่ชัดเจนนัก

ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้เห็นแล้วว่าปราณและเลือดของฟางผิงทรงพลังและเข้มข้นมาก เห็นได้ชัดว่าเขาใกล้ถึงขั้นหนึ่งแล้ว

นอกจากนี้ยังมีผลกระทบอย่างอื่นด้วย

พูดตามหลักเหตุผลแล้ว การระเบิดพลังของขั้นหนึ่งจะไม่ทำให้คนรอบข้างหน้าซีดเซียว

ตอนนี้ถานเจิ้นผิงไม่มีเวลามาพิจารณารายละเอียด ถ้าฟางผิงทำแบบนี้ต่อไป มันแย่แน่!

สองผู้ฝึกยุทธจากอันผิงและซิงซีเดินไปหาเขา และถานเจิ้นผิงก็รีบก้าวเข้ามาเช่นกัน เขาตะโกน “ฟางผิง พอแล้ว!”

…..

เมื่อได้ยินถานเจิ้นผิงพูด ฟางผิงก็ดึงปราณและเลือดกลับมา

จากนั้นเขาก็หันไปมองทั้งสามที่รีบมาหาเขา เขาลอบหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อกี้พวกคุณยังเฝ้าดูการแสดงอย่างมีความสุขอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?

ทำไมตอนนี้ถึงทำหน้ากังวลงั้นล่ะ?

นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิด แต่ฟางผิงยังคงทำสีหน้างุนงงราวกับจะถามว่า ‘ทำไมไม่ให้ผมทำต่อล่ะ?’ เป็นผลให้สีหน้าของพวกผู้นำแข็งค้างอย่างหนัก

เขาอยากทำต่อ!

ถ้าเขาทำต่อ นักเรียนอย่างน้อย 5 คนที่มีปราณและเลือดเกิน 120แคลคงลดลงเหลือไม่ถึง 120แคลแล้ว

อย่าลืมว่า แม้แต่ในตังบ่งชี้ที่สำคัญของระบบการศึกษา 120แคลก็ยังเป็นเกณฑ์ที่สำคัญ!

พวกเขาไม่ใช่กลุ่มเดียวในเมืองรุ่ยหยาง ถ้าทุกอย่างเลวร้ายลง พวกเขาต้องแบกรับผลที่ตามมา

ถานเจิ้นผิงเดินมาถึงข้างเขาแล้วชำเลืองมองโจวปินกับคนอื่นๆที่กำลังหอบหายใจ เมื่อเห็นว่าพวกเขาหน้าซีดเซียว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นไร ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

จากนั้นเขาก็มองฟางผิงด้วยสายตาซับซ้อนและตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้

‘อะไรกัน…ทำไมจู่ๆถึงโจมตีแบบนั้น? ทำไมไม่ทำตามแผนเลย!’

‘ถ้าทำตามแผน ทุกคนจะเตรียมพร้อมและไม่จบลงแบบนี้ เธอโจมตีสหายด้วยได้ยังไง?’

อีกอย่าง ทำไมถึงมีปราณและเลือดสูงขนาดนี้?

เขามีมากกว่า 130แคลชัดเจน เขาเกือบถึงขั้นหนึ่งอยู่แล้ว!

หวังจินหยางบ่มเพาะเด็กคนนี้ขึ้นมาได้ยังไง?

‘เขาต้องบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’และมาถึงระดับยืนมั่นคงแล้วแน่นอนถึงได้มีปราณและเลือดสูงขนาดนี้…’

‘ปราณและเลือดเขาเข้มข้น ระเบิดออกมารวดเร็วและน่ากลัว นั่นหมายความว่าต่อให้เขากินยา มันก็ต้องถูกดูดซับไปหมดแล้ว เพราะปราณและเลือดเขาไหลเวียนได้อย่างอิสระ…’

‘เขาเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธที่ทะลวงขั้นได้ทุกเมื่อ!’

ถานเจิ้นผิงอาจเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด แต่เขาใกล้ห้าสิบแล้ว เขาอยู่ขั้นหนึ่งมานานหลายปี ดังนั้นเขาจึงสรุปได้ทันที

ฟางผิงคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด!

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท