ตอนที่ 53 ผู้ฝึกยุทธต้องสู้!
ตอนกลางคืน
เนื่องจากทั้งสี่อยู่ห้องเดียวกัน ฟางผิงจึงบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ไม่ได้ ตอนที่เขาอยู่ว่าง เขาจึงฝึกจวงกงแทน
เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ทั้งสี่ก็ดันทั้งสองเตียงมาต่อกัน ทำให้มันเป็นเตียงใหญ่เตียงนึง
มันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก ฟางผิงเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่อีกสามคนยังเป็นเด็กมัธยมปลาย ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตในหอพักมหาลัย
คืนนั้น ฟางผิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ทั้งสามคนคุยกันค่อนคืน
…..
วันที่ 1 พฤษภาคม
พวกเขาตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ แต่บรรยากาศกลับหนักอึ้งอย่างยิ่ง
นอกห้อง มีนักเรียนเดินไปมาตามทางเดิน และอาจารย์ก็มาเคาะประตูห้องทีละห้อง
“รีบตื่น เราจะไปรวมตัวกันที่ชั้นล่าง!”
“อย่าลืมบัตรประชาชนกับเอกสารสอบ!”
“คนที่เตรียมเม็ดยามาด้วยเริ่มกินได้ตอนนี้เลย!”
“…”
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกน เหล่านักเรียนก็เริ่มหลั่งไหลลงไปชั้นล่าง
ฟางผิงกับพวกตื่นมานานแล้วเช่นกัน พวกเขาออกไปจากห้องก่อนอาจารย์มาเคาะประตูเสียอีก
เมื่อพวกเขาออกจากห้อง พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้สะอึกสะอื้น “ผมไม่สบาย ปราณและเลือดผมลดลง…”
“พ่อ แม่ ผมขอโทษ…”
เสียงสะอื้นดังมาแต่ไกล และก็มีอาจารย์กำลังปลอบใจนักเรียนคนนั้นอยู่
การล้มป่วยก่อนการประเมิณร่างกายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับผู้เข้าสอบวิชายุทธ
เมื่อเราล้มป่วย ปราณและเลือดก็จะลดลง แถมผู้เข้าสอบหลายคนก็คาบเส้นเกณฑ์สอบผ่านอยู่แล้ว
ถ้าพวกเขาล้มป่วยอีก มันก็แทบเป็นการตัดโอกาสไปเลย
นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าการพลาดสอบเกาเข่าอีก ผู้เข้าสอบวิชายุทธมีค่าใช้จ่ายเพียบ!
สำหรับนักเรียนที่มาจากครอบครัวฐานะล่าง แต่เดิมพวกเขาก็ลำบากอยู่แล้ว หลังพลาดไปหนึ่งปี พวกเขาย่อมไม่มีปัญหาไปสอบใหม่ปีหน้า ถ้าเป็นแบบนั้น ที่พวกเขาทำได้ก็คือการยอมแพ้
บางคนก็เศร้า อู๋จื้อเห่าถอนหายใจ “ไม่สบายตอนนี้…เฮ้อ…”
เขาไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน ไม่มีอะไรนอกจากเห็นใจ
คำแนะนำยังคงดังก้องอยู่ตรงทางเดิน เมื่อพวกเขาหันไปมอง พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นอยู่
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่มีเวลาไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเดินตามฝูงชนลงไปชั้นล่าง
…..
ข้างล่าง
เมื่อนักเรียนเดินลงมา อาจารย์จากแต่ละโรงเรียนก็ตะโกนผ่านโทรโข่ง
“ผู้สมัครสอบจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง เข้าแถวตรงนี้!”
“โรงเรียนมัธยมปลายอันดับสอง ทางนี้!”
“โรงเรียนมัธยมปลายอันดับห้า รวมกันทางนี้!”
“…”
ฟางผิงกับเพื่อนๆเดินไปตรงจุดนัดพบของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง ไม่นานอาจารย์ผู้รับผิดชอบก็เริ่มเช็คชื่อ
เมื่อพวกเขาไล่รายชื่อ พวกเขาก็พบว่ามีคนนึงหายไป
อาจารย์ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่มีคนนึงพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “เซียวเลี่ยงห้องแปดมาไม่ได้ เขาเป็นไข้หนัก…”
“คนที่ร้องไห้เมื่อกี้คือเซียวเลี่ยงเหรอ? แย่เลย ปราณและเลือดเขา 110แคลพอดี เขามีหวังมาก”
“ฉันรู้ แต่ตอนนี้ล่ะ? ปีนี้เขาจบแล้ว”
“เขาจบถาวรเลย เกณฑ์ผ่านสอบเพิ่มขึ้นทุกปี แถมครอบครัวเซียวเลี่ยงก็ไม่ได้มีฐานะดีนัก…”
พวกนักเรียนคุยกันเสียงเบาจนกระทั่งอาจารย์ผู้รับผิดชอบตะโกน “ทุกคน เงียบ!”
“นักเรียน สอบวิชายุทธเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!”
“ไม่ว่าพวกเธอจะได้เข้ามหาลัยวิชายุทธหรือไม่ นี่เป็นอุปสรรคด่านแรกในชีวิต!”
“แต่นักเรียนต้องจำไว้ มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย!”
“เดี๋ยวจะมีการประเมิณร่างกาย ทำให้ดีที่สุด ถ้าเธอผ่านก็จะได้ฉลอง!”
“ต่อให้ไม่ผ่านก็อย่ายอมแพ้!”
“พวกเธอยังเด็ก พวกเธอยังมีหวังอีกในอนาคต!”
“ต่อให้เข้าเรียนมหาลัยวิชายุทธไม่ได้ พวกเธอก็เข้าคอสฝึกวิชายุทธได้ ถ้าพวกเธอเข้าคอสฝึกวิชายุทธไม่ได้ พวกเธอก็ยังเข้ากองทัพได้…”
“ต่อให้ล้มเหลวหมด เราก็ยังมีเส้นทางอื่นอีก!”
“เส้นทางวิถียุทธมีมากกว่ามหาลัยวิชายุทธ”
“หลังจบการศึกษา พวกเธอก็ยังเข้าบริษัทใหญ่ๆได้ ถ้าพวกเธอขยันและมีผลงานดี บริษัทอาจสนับสนุนพวกเธอให้เป็นผู้ฝึกยุทธได้อีกด้วย!”
“หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล…”
อาจารย์เริ่มกล่าวสุนทรพจน์สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน มันอาจไม่ได้ผลกับผู้ใหญ่ แต่มันยังมีอิทธิพลต่อนักเรียนอยู่บ้าง
ไม่กี่นาทีต่อมา อาจารย์ผู้รับผิดชอบก็หยุดพูด
นอกโรงแรม ถานเจิ้นผิงปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบได้
“นักเรียน สถานที่ประเมิณร่างกายอยู่ที่ศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง มันอยู่ห่างออกไป 300 เมตร ทุกคนเข้าแถวตามมา!”
ถานเจิ้นผิงไม่ได้ใช้โทรโข่งหรือตะโกนสุดเสียง อย่างไรก็ตามเสียงเขาดังก้องเข้าไปในหูของนักเรียนหลายพันคน
นี่เป็นพลังของผู้ฝึกยุทธ!
ปราณและเลือดของถานเจิ้นผิงกำลังพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย แม้แต่คนที่สัมผัสเฉียบคมน้อยกว่าฟางผิงก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของผู้พูดตรงหน้า
……
ทุกคนเดินตรงไปศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง
ทันใดนั้นเองพี่น้องถานก็ปรากฏตรงหน้าฟางผิงแล้วลากเขาไปข้างหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
ฟางผิงพูดไม่ออก แต่สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาอย่างงุนงง “นายทำอะไร?”
“ตามฉันมา!”
เมื่อถานเทาพูดจบ เขาก็ลากฟางผิงมาหน้าแถวแล้ว
เวลานั้นเองตรงหน้าแถว ถานเจิ้นผิงก็หยุดเดินแล้วรออยู่ข้างๆ
มีนักเรียนอีกสามสี่คนที่อยู่ข้างถานเจิ้นผิงเช่นกัน
ฟางผิงไม่คุ้นกับโจวปินกับเฉินเจี๋ยนัก แต่อย่างน้อยเขาก็รู้หน้าอีกฝ่ายและเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน
มีอีกสองคนเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง พวกเขาอาจมาจากโรงเรียนอื่น แต่ฟางผิงไม่รู้จักพวกเขา
เมื่อฟางผิงมาถึง ถานเจิ้นผิงก็อธิบายให้คนอื่นรู้คร่าวๆแล้ว
โจวปินกับที่เหลือชำเลืองมองฟางผิงซึ่งถูกพี่น้องถานลากมา พวกเขาพยักหน้าให้และไปเข้าแถวของนักเรียนโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อพวกเขาเดินไป ก็เหลือแต่พี่น้องถานกับฟางผิงที่อยู่ข้างถานเจิ้นผิง
ถานเจิ้นผิงชำเลืองมองฟางผิงแล้วพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะ “นักเรียนฟางผิง ปราณและเลือดเธอสูงกว่า 130แคลใช่ไหม?”
“เชี่ย!”
คนที่สบถคือถานห่าว แม้เขาจะรู้ว่าปราณและเลือดของฟางผิงค่อนข้างสูง แต่เมื่อวานตาแก่ของเขาไม่ได้บอกว่ามันสูงกว่า 130แคล!
ฟางผิงไม่ได้ปฏิเสธ เขาแค่พยักหน้ายืนยัน
จากนั้นถานเจิ้นผิงก็หัวเราะอีกครั้ง “เยี่ยม มีบางอย่างที่ฉันอยากจะพูดกับเธอ ฟางผิง”
“เชิญพูดเลยครับลุงถาน”
“เมืองรุ่ยหยางมีทั้งหมด 5 เทศมณฑล 3 เขต 1 นคร ในฐานะนครระดับเทศมณฑล เมืองหยางเฉิงยังเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองชั้นนำที่อยู่ในเขตอำนาจของเมืองรุ่ยหยาง”
(ผู้แปล : ทั้งสามอยู่ในระดับ เทศมณฑลหรืออำเภอ เหมือนกัน แต่สูงต่ำน่าจะไม่เหมือนกัน)
“แต่ถึงกระนั้น เมืองหยางเฉิงก็แข็งแกร่งกว่าอีกห้าเมืองเล็กน้อยเท่านั้น และมันก็แข็งแกร่งน้อยกว่าเขตเมืองรุ่ยหยางเล็กน้อย”
“ในการสอบวิชายุทธทุกปี มีนักเรียนกี่คนกันที่ถึงเกณฑ์? และมีกี่คนกันที่เข้ามหาลัยวิชายุทธได้สำเร็จ…?”
“มาตรฐานสอบเหล่านี้เป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุด มีโควต้าที่ตายตัวและเคร่งครัด!”
ถานเจิ้นผิงอธิบายสั้นๆ โดยสรุปคือ เขากำลังบอกว่าการแข่งขันในเมืองรุ่ยหยางก็ดุเดือดมากเช่นกัน
สำหรับทุกเขตอำนาจ ผลสอบเหล่านี้คือจุดสำคัญ
หลายคนคงไม่ลืมว่าเมืองหยางเฉิงเป็นแค่นครระดับเทศมณฑล
ถ้าเป็นเขตอื่น โดยเฉพาะ 5 เทศมณฑล ถ้ามีการแซงหน้าเมืองหยางเฉิงไปหลายปี มันเป็นไปได้ที่เมืองหยางเฉิงจะสูญเสียตำแหน่งไป
แน่นอน ความขัดแย้งและการแข่งขันเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟางผิงมากนัก
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำไมถานเจิ้นผิงถึงเรียกฟางผิงมา
“การประเมิณร่างกายครั้งนี้ เรากับเทศมณฑลซิงซีและเขตอันผิงได้จัดสอบที่ศูนย์ทดสอบเดียวกัน”
“ใน 5 เทศมณฑล เทศมณฑลซิงซีมีเศรษฐกิจและการศึกษาที่แข็งแกร่งที่สุด”
“เขตอันผิงก็ได้เปรียบเราไปก้าวนึง เพราะโรงเรียนอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางอยู่ในเขตอันผิงและอยู่ใต้เขตอำนาจของเขตอันผิง”
“พูดอีกนัยนึง การเลือกศูนย์ทดสอบนี้ทำให้เราค่อนข้างเสียเปรียบ”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฟางผิง ถานเจิ้นผิงก็ส่ายหน้า “เธอต้องรู้ว่าภาวะอารมณ์ของนักเรียนส่งผลต่อการแสดงปราณและเลือดอย่างมาก”
“ถ้าเธอถูกรายล้อมไปด้วยคนที่อ่อนแอกว่า เธอก็จะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผลการประเมิณร่างกายอาจทำให้เธอประหลาดใจ”
“อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอถูกรายล้อมไปด้วยคนที่แข็งแกร่งกว่า ความมั่นใจของเธอจะตกลง เธอจะเป็นกังวลและไม่สบายใจ ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น เธอจะทำได้ไม่เต็มความสามารถ”
นี่ก็คล้ายกับสิ่งที่หวังจินหยางเรียกว่าการระเบิดอารมณ์ ฟางผิงเข้าใจและพยักหน้า
“มีอัจฉริยะที่มีศักยภาพทั้งในโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางและโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเทศมณฑลซิงซี”
“ในแง่ของการบริหารของเมืองหยางเฉิงสูงกว่าพวกเขาไปครึ่งก้าว พวกเขากังวลเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว”
“ในนครระดับจังหวัดไม่อาจมีนครระดับมณฑลได้สองเมือง อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับเมืองรุ่ยหยาง”
“เพราะงั้น ก่อนการประเมิณ ฉันหวังว่าเธอจะปลดปล่อยปราณและเลือดทั้งหมดและกดดันนักเรียนจากหนึ่งเขตหนึ่งเทศมณฑล”
“ฉันบอกโจวปินกับคนอื่นๆแล้วเหมือนกัน แต่ปราณและเลือดของพวกเขาไม่ได้สูงนัก ต่อให้ระเบิดปราณและเลือดก็มีผลจำกัด”
“แต่เธอต่างออกไป ถ้าเธอระเบิดปราณและเลือด ทุกคนจะสัมผัสได้…”
ในที่สุดฟางผิงก็เข้าใจคำพูดของถานเจิ้นผิง
อย่างไรก็ตามเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ถานเจิ้นผิงกำลังบอกให้เขาระเบิดปราณและเลือดข่มนักเรียนคนอื่น เพื่อทำให้พวกเขากังวลและทำลายขวัญกำลังใจ
พูดตามตรง มันขี้โกงหน่อยๆ
เหมือนอ่านความคิดฟางผิงออก ถานเจิ้นผิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กๆ “ผู้ฝึกยุทธต้องสู้! เราต้องสู้!”
“การสงสารคู่ต่อสู้ สงสารคนอ่อนแอ…นี่ไม่ใช่วิถีของผู้ฝึกยุทธ!”
“นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะแข็งแกร่งอยู่เสมอ!”
“คนที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิดปราณและเลือดไม่มีหวังอยู่บนเส้นทางยุทธอยู่แล้ว”
“เธอคิดว่าอู๋จื้อเห่า ถานเทากับคนอื่นๆจะได้รับผลของการระเบิดปราณและเลือดของเธอเหรอ?”
“ถ้าพวกเขาได้รับผลกระทบง่ายขนาดนั้น เราก็แค่ดึงตัวผู้ฝึกยุทธสักคนมาปลดปล่อยพลัง งั้นนักเรียนทุกคนก็อาจถูกปรับตกแล้ว”
“เราทำไปเพื่อเพิ่มความมั่นใจของนักเรียนเมืองหยางเฉิงเพิ่มสักเล็กน้อย”
“ท้ายที่สุดแล้ว คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่านักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางแข็งแกร่งมาก และความเชื่อแบบนี้จะส่งผลต่อพวกเขาภายหลัง”
ฟางผิงรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย แต่ถานเจิ้นผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “อย่าขี้ขลาดและหนีจากการต่อสู้ นักเรียนฟางผิง จำไว้ว่าฉันไม่ได้กำลังส่งเสริม”
“แต่เมื่อเธอบ่มเพาะนิสัยไม่เด็ดขาด ระวังตัว ขี้ลังเลขึ้นมา เส้นทางผู้ฝึกยุทธของเธอจะยากมาก!”
“เธอยังเด็ก เธอควรแสดงความสามารถ อย่าซ่อนเอาไว้!”
“เธอกังวลเรื่องอะไรกัน?”
“เธอกลัวเปิดเผยพลังที่แท้จริงเหรอ? หรือเธอกลัวคนไม่พอใจ?”
ถานเจิ้นผิงส่ายหน้า “ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคิดผิด ยิ่งเธอมีประโยชน์เท่าไหร่ คนอื่นก็ยิ่งชื่นชมเธอ!”
“เธอมีความสัมพันธ์กับหวังจินหยางจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงไม่ใช่ความลับ”
“เพราะงั้นเธอไม่มีอะไรต้องกังวล…”
ฟางผิงหัวเราะแห้งๆ มันก็จริง เขาไม่มีอะไรต้องกังวล ท้ายที่สุดเฒ่าหวังก็ยอมเป็นแพะให้เขา
ที่เขาลังเลส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกว่ามันคดโกง และอีกส่วนเป็นเพราะเรื่องอื่น
หลังหยุดเล็กน้อย ฟางผิงก็กล่าวอย่างเก้ๆกังๆเล็กน้อย “ลุงถาน ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้น”
“ผม…ผมกำลังคิดถึงอัตราผลาญปราณและเลือดตอนปล่อยพลังก่อนการประเมิณ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนประเมิณ ผมจะ…”
ถานเจิ้นผิงผงะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “นั่นสิ ฉันลืมไปเลย”
“ไม่ต้องห่วง เมืองจะชดเชยให้เธอ”
“หลังเธอระเบิดปราณและเลือด ฉันจะมอบยาปราณและเลือดให้ แต่มันไม่ได้มาจากฉันเอง ถือซะว่ามันเป็นค่าตอบแทนจากเมืองหยางเฉิงเอง”
“ยาปราณและเลือด!”
เมื่อถานเทาได้ยินแบบนั้น เขาก็กล่าวเสียงละห้อยทันที “พ่อ พ่อไม่ได้บอกหรอว่าเป็นยาเติมเต็มปราณและเลือด”
ถานเจิ้นผิงถลึงตามอง ลูกเขาโง่มาก!
พวกโจวปินได้ยาเติมเต็มปราณ และเนื่องจากทั้งสองเป็นลูกชาย พวกเขาจึงได้มากกว่าเล็กน้อยเป็นยาเติมเต็มปราณและเลือด
อย่างไรก็ตามพวกเขาจะเทียบกับฟางผิงได้อย่างไร?
ปราณและเลือดของฟางผิงสูงมากแล้ว เขาอยู่ห่างจากผู้ฝึกยุทธครึ่งก้าว นอกจากนี้ต่อให้พวกเขาพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับหวังจินหยาง แต่มันก็จำเป็นที่พวกเขาต้องชดเชยให้ฟางผิงด้วยเม็ดยาปราณและเลือดเพื่อแลกกับการระเบิดปราณและเลือด
เขาอาจสะกดข่มนักเรียนจากเขตอันผิงและเทศมณฑลซิงซีและลดจำนวนพวกเขาลงเล็กน้อย
ถ้านั่นหมายถึงการที่มีนักเรียนจากเมืองหยางเฉิงผ่านมากขึ้น งั้นมันก็นับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของเมืองหยางเฉิงแล้ว!
พวกเขาไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งที่สุด พวกเขาแค่ทำให้มั่นใจว่าคนอื่นอ่อนแอกว่าก็พอ
มันเป็นเรื่องยากที่จะแข็งแกร่งกว่าคนอื่น แต่มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะพบว่าคนอื่นอ่อนแอกว่า
ถ้าพวกเขามีทรัพยากรมนุษย์อย่างฟางผิงอยู่ในมือ ทำไมพวกเขาจะไม่ใช้เขาล่ะ?
ถ้าผู้สมัครสอบเมืองหยางเฉิงทำได้ดี เขาสามารถกลับไปคำร้องได้เล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนั้น มันอาจไม่ใช่แค่ยาเต็มเติมปราณ 4 เม็ด ยาเติมเต็มปราณและเลือด 2 เม็ดกับยาปราณและเลือด 1 เม็ดอีกต่อไป
ด้วยการเปลี่ยนคำร้องเล็กน้อย เขาอาจเปลี่ยนเป็นยาปราณและเลือด 7 เม็ดได้ด้วยซ้ำ
แน่นอนก่อนอื่้นเลยพวกเขาต้องมั่นใจว่าผลลัพธ์ดีกว่าอีกสองฝ่าย
แม้ว่าฟางผิงจะไม่เข้าใจทุกแผนของถานเจิ้นผิง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา เขาจึงไม่ได้สนใจมากนักเช่นกัน
แต่เมื่อเขาได้ยินว่ายาปราณและเลือดเป็นค่าตอบแทน เขาก็จำได้ว่าเร็วๆนี้เขาใช้ทรัพย์สินไปมากเท่าไหร่ และลดลงเร็วขนาดไหน
เพราะงั้นฟางผิงจึงไม่ลังเลอีก เขาพยักหน้า “ตกลงลุงถาน ผมจะทำให้ดีที่สุด!”
ถานเจิ้นผิงยิ้ม “นี่แหละเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ!”
“ฟางผิง ลุงถานแก่แล้ว แต่เธอยังเด็ก เราต่างกันมาก”
“ในฐานะคนหนุ่มสาว เธอควรใจสู้อย่าก้มหัวให้ใคร!”
“พอเธอเข้ามหาลัยวิชายุทธ เธอจะตระหนักว่าการปิดบังความสามารถจะทำให้เธอล้าหลัง”
“มีทางเดียวคือต้องสู้!”
“เธอต้องสู้ เธอต้องกล้าสู้ และเธอต้องสู้ให้ได้!”
“ต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเธอชนะเธอก็จะไปได้ไกลกว่านี้ แต่ที่แย่ที่สุดก็คือเธอไม่มีความกล้าที่จะสู้ตั้งแต่แรก!”
ประโยคสุดท้ายทำให้หัวใจฟางผิงสั่นไหว
ถานเจิ้นผิงไม่ใช่คนเดียวที่พูดแบบนี้ ในหนังสือ หวังจินหยางก็บอกเช่นกัน
แม้แต่ความจริงของโลกก็กำลังบอกให้ฟางผิงสู้!
แม้แต่พี่หม่าก็สู้ เขาไปสู้กับแทมโดยไม่ลังเล การต่อสู้ของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงตัวอย่างแล้ว