ตอนที่ 72 ฟางหยวนผู้ต้มพี่ชาย
หลังหยอกล้อกับฟางหยวนสักพัก มันก็เริ่มดึกแล้ว
ฟางผิงพึ่งลองฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้มาหมาดๆ เขาจึงเหงื่อท่วมตัว พอเขานึกถึงน้ำยาเสริมสร้างร่างกาย เขาก็คิดถึงเรื่องอาบน้ำ
หลังฝึกฝนเสร็จ ทั้งร่างกายเขาจะรู้สึกผ่อนคลาย มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการใช้น้ำยาเสริมสร้างร่างกาย
พอคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็หยิบขวดน้ำยาเสริมสร้างร่างกายเดินไปห้องน้ำ
ฟางหยวนเห็นเขาหยิบขวดคริสตัลใสเขาห้องน้ำ เธอจึงอดพึมพำก็ตัวเองไม่ได้ ฟางผิงเจ้าสำอางกว่าเดิม
แต่ก่อนฟางผิงไม่เคยใช้เครื่องสำอางหรือของพวกเจลอาบน้ำ
ตอนนี้เขาถึงกับซื้อผลิตภัณฑ์อาบน้ำใหม่เป็นพิเศษ แค่ดูขวด เธอก็บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่ถูกๆ
…..
ฟางผิงเข้าห้องน้ำพร้อมกับเล่นขวดคริสตัลในมือ
น้ำยาสามขวดนี้ หวังจินหยางคิดเขาห้าแสนหยวน
ฟางผิงไม่รู้ราคาและไม่รู้ว่าหวังจินหยางจ่ายไปเท่าไหร่
สิ่งที่ฟางผิงรู้ก็คือเหล่าหวังไม่ได้หลอกเขา มันไม่ใช่แค่หลอกเท่านั้น แต่เหล่าหวังยังให้ราคาเป็นมิตรกับเขาด้วย
บางครั้ง ฟางผิงก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักประเมิณได้
ก่อนได้น้ำยา สถานะของเขาคือ
ทรัพย์สิน : 4606000
ปราณและเลือด : 162แคล
จิตใจ : 180เฮิรตซ์
ตอนนี้ ค่าสถานะเขาคือ
ทรัพย์สิน : 4706000
ปราณและเลือด : 155แคล(162แคล)
จิตใจ : 176เฮิรตซ์(180เฮิรตซ์)
ค่าทรัพย์สินเขาเพิ่มมาแสนหยวน!
จากที่ฟางผิงเข้าใจเรื่องระบบ นี่หมายความว่าเขาได้กำไลแสนหยวนในการซื้อน้ำยาเสริมสร้างร่างกาย
เขาใช้เงินห้าแสนหยวนแลกกับน้ำยาเสริมสร้างร่างกายสามขวด ซึ่งระบบประเมิณไว้ที่ราคาหกแสนหยวน
เม็ดยาที่เขาเคยได้รับมักจะมีมูลค่าสองในสามของราคาตลาด ราคาตลาดของน้ำยาเสริมสร้างความแข็งแกร่งสามขวดอาจมีราคาสูงถึงเก้าแสนหยวน หรือสามแสนหยวนต่อขวด
หวังจินหยางเก็บเงินเขาแค่ห้าแสน ซึ่งต่ำกว่าการประเมิณของระบบด้วยซ้ำ
เขาเคยคิดถึงการขายเม็ดยาและน้ำยามือสองมาก่อน แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ลอง
ครั้งนี้ฟางผิงเข้าใจแล้วว่าระบบจะชดเชยส่วนต่างของราคา และมันจะเปลี่ยนเฉพาะส่วนต่างที่เป็นกำไรเท่านั้น ถ้ามีการขาดทุน ค่าทรัพย์สินจะไม่มีการลดลงเด็ดขาด
พูดอีกนัยนึง ถ้าเขาเปิดธุรกิจตัวแทนขายของมือสอง ถ้าเขาขาดทุน เขาก็แค่เสียเงิน แต่ไม่เสียค่าทรัพย์สิน
(ผู้แปล : ถ้าให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ยกตัวอย่าง ซื้อยา 5 แสน แต่ราคาประเมิณ 3 แสน ค่าทรัพย์สินจะไม่ลดลง แต่ฟางผิงซื้อยา 5 แสน แต่ราคาประเมิณ 6 แสน ฟางผิงเลยได้ค่าทรัพย์สินเพิ่มมา 1 แสน ตัวอย่างสอง ถ้าซื้อของจิปาถะ 1 แสน แต่ราคาประเมิณต่ำ ค่าทรัพย์สินก็ไม่ลดลง แต่ถ้าราคาประเมิณสูงกว่าที่ใช้ไป ค่าทรัพย์สินก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าได้มาฟรีก็จะได้รับราคาเต็ม)
อย่างไรก็ตามถ้าเขาได้กำไร เขาก็จะได้ทั้งเงินและค่าทรัพย์สิน
การขายเม็ดยาและยาน้ำมือสองเป็นตัวเลือกในการหาเงินที่ดี ถ้าหวังจินหยางมีช่องทาง ฟางผิงก็จะซื้อยาจากเขาได้มากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นฟางผิงก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น
หวังจินหยางซื้อยาน้ำเสริมสร้างร่างกายจากมหาลัย ต่อให้ฟางผิงไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด แต่เขาเดาได้ว่ามันต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่น
ยกตัวอย่าง บางทีทุกคนอาจมีโควต้าจำกัด หรือพวกเขาต้องใช้อย่างอื่นด้วย อย่างแต้มอะไรสักอย่าง
ไม่งั้นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธทุกคนคงเป็นคนขายเม็ดยาแยะยาน้ำมือสองไปแล้ว มหาลัยไม่ได้โง่ขนาดนั้น
‘นอกจากฉันต้องใช้เอง ฉันไม่ควรรบกวนหวังจินหยาง’
ฟางผิงพูดในใจ เหล่าหวังช่วยเหลือเขามากมาย ตั้งแต่เริ่มด้วยการชี้แนะการฝึกฝน มาจนถึงซื้อยาให้
หนี้ที่หวังจินหยางติดเขาจากเรื่องหวงปินถูกใช้ไปนานแล้ว
แต่หวังจินหยางก็ยังช่วยเขาต่อ ตอนนี้มันเป็นเขาแล้วที่ติดหนี้เหล่าหวัง
ถ้าเป็นเวลาอื่น ฟางผิงคงไม่หน้าหนารบกวนหวังจินหยางหรอก แต่เขามีความรู้วิชายุทธน้อยเกินไป เขาหาคนอื่นมาช่วยไม่ได้เลย
ตอนนี้เขาหวังพึ่งเหล่าหวังได้คนเดียว
…..
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฟางผิงเดินออกจากห้องน้ำ
ข้างนอก ฟางหยวนพึ่งเก็บกวาดห้องหนังสือเสร็จ เธออดพึมพำไม่ได้ “ฟางผิง นายเจ้าสำอางขึ้นเรื่อยๆแล้ว!”
“นายซื้อเครื่องสำอางมาใช้ยังไม่เป็นไรนะ แต่นายอาบน้ำเป็นชั่วโมง!”
“แต่ก่อนนายอาบ 10 นาทีก็เสร็จแล้ว!”
เมื่อเธอพูดจบ สาวน้อยก็หยิกแขนฟางผิง “ดูเหมือนผิวจะเนียนขึ้นเล็กน้อย ฟางผิง นายเริ่มดูแลผิวแล้วเหรอ?”
ฟางผิงหมดคำพูด เขารู้สึกขบขัน “น้องพูดเรื่องอะไร? น้องไม่เห็นเหรอว่าพี่กำลังบ่มเพาะอยู่?”
“ขวดเมื่อกี้ไม่ใช่เครื่องสำเอง มันเป็นน้ำยาไว้บ่มเพาะ”
สีหน้าของฟางหยวนบ่งบอกว่า’นายคิดว่าฉันหลอกง่ายเหรอ?’ ใครจะใช้ยาฝึกฝนตอนอาบน้ำกัน?
ฟางผิงไม่ได้สนใจเธอ เขาดูสถานะอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 4706000
ปราณและเลือด : 156แคล(163แคล)
จิตใจ : 177เฮิรตซ์(180เฮิรตซ์)
หลังใช้น้ำยาเสริมสร้างร่างกาย ฟางผิงบอกไม่ได้เลยว่ากล้ามเนื้อเขาดูดซึมน้ำยาหรือไม่ เพราะความแข็งแกร่งของร่างกายไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ท้ายที่สุดแล้วมันก็เพิ่มขึ้นแค่เล็กน้อย ฟางผิงยังควบคุมร่างกายได้ไม่ละเอียดขนาดนั้น
แต่ขีดจำกัดปราณและเลือดเขาเพิ่มขึ้นหนึ่ง ซึ่งพิสูจน์ว่าน้ำยาเสริมสร้างร่างกายได้ผลดีเลยทีเดียว
หลังตรวจสอบค่าสถานะ ฟางผิงก็เริ่มเพิ่มปราณและเลือด และจิตใจ
ไม่นาน ค่าสถานะของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 4700000
ปราณและเลือด : 162แคล(163แคล)
จิตใจ : 177เฮิรตซ์(180เฮิรตซ์)
ตอนนี้ฟางผิงเริ่มใช้งานระบบได้คล่องขึ้นแล้ว ร่างกายสร้างปราณและเลือดตลอดเวลา และค่าจิตใจจะฟื้นฟูอย่างช้าๆเมื่อได้พักผ่อน
หลังนอนหลับคืนนึง ปราณและเลือด และจิตใจของเขาก็น่าจะฟื้นฟูจนกลับสู่สภาพดีสุด
ด้วยกรณีนี้ ฟางผิงจะไม่เสียค่าทรัพย์สินเพื่อเพิ่มค่าสถานะให้ถึงขีดจำกัด
อีกอย่าง การเพิ่มให้ถึงขีดจำกัดก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ถ้าเขารักษาสภาพดีสุดไว้ตลอดเวลา ค่าจิตใจเหลือล้นจะส่งผลให้เขานอนไม่หลับ
…..
ในช่วงไม่กี่วันถัดมา ฟางผิงทบทวนวัฒนธรรมศึกษาตอนกลางวัน
ตอนกลางคืนเขาฝึกจวงกง ‘เคล็ดเสริมสร้าง’ และเคล็ดวิชาต่อสู้
แม้ว่าค่าจิตใจมากกว่า 180เฮิรตซ์จะไม่ได้เพิ่มความสามารถเชิงยุทธ แต่เขาคิดได้เร็วขึ้น ความจำดีขึ้น และความเข้าใจก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
ฟางผิงเคยเรียนวัฒนธรรมศึกษามาก่อน
ในชีวิตก่อน เขาเรียนวัฒนธรรมศึกษาได้ไม่เลว แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่การทบทวนก็ง่ายกว่าการเรียนใหม่มากนัก
ด้วยความช่วยเหลือของค่าจิตใจที่สูงยิ่ง ปลายเดือนพฤษภาคม ฟางผิงก็ได้คะแนนทดสอบของชั้นปีได้ไม่เลวเลย
คะแนนเต็ม 750 คะแนน ฟางผิงได้ 610 คะแนน
ปีก่อน ข้อกำหนดรับเข้าของมหาลัยใหญ่ๆในประเทศคือ 593 คะแนน
ข้อสอบที่ใช้ทดสอบมีระดับความยากเดียวกับข้อสอบเข้ามหาลัยปีที่แล้ว
คะแนน 610 ของฟางผิงเกินข้อกำหนดรับเข้ามหาลัยใหญ่ๆในประเทศเกือบ 20 คะแนน
ด้วยผลสอบนี้ ต่อให้เขาสมัครมหาลัยสังคมศาสตร์อย่างเดียว เขาก็เข้ามหาลัยดีๆได้
ถ้าเขาสมัครเข้ามหาลัยวิชายุทธ ตราบใดที่ปราณและเลือดของเขาถึงเกณฑ์ที่กำหนด ฟางผิงเข้ามหาลัยวิชายุทธได้เลย
เมื่อรวมกับผลประเมิณ 149แคลของเขา จะเข้าสองมหาลัยดังก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน
เมื่อผลทดสอบถูกปล่อยออกมา บางคนก็ดีใจ บางคนก็เสียใจ
แถวหน้า หยางเจี้ยนหน้าบูด เมื่อเขามองฟางผิง สายตาเขาก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจ
เขาทดสอบได้ 580 คะแนน ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่เลวแล้ว
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นไปตามมาตรฐาน เขาไม่ผ่านข้อกำหนดรับเข้าของมหาลัยใหญ่ๆด้วยซ้ำ แถมปราณและเลือดของเขาตอนประเมิณก็ได้แค่ 116แคล
ภายใต้สถานการณ์ปกติ โอกาสที่เขาจะเข้าได้น้อยมาก
ขณะที่หยางเจี้ยนเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง สหายโต๊ะติดกันเฉินฝานรู้สึกไม่พอใจ นับตั้งแต่ฟางผิงลงสมัครสอบวิชายุทธและได้คะแนนดีทั้งประเมิณร่างกายและสอบปฏิบัติ เฉินฝานก็ขยันยิ่งขึ้นมาก
ครั้งนี้เฉินฝานทำคะแนนได้ดี คะแนนเขาสูงกว่าฟางผิงอีก เขาได้ 625 คะแนน
ถ้าเป็นในอดีต เฉินฝานคงพึงพอใจ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ฟางผิงเกือบจะเข้ามหาลัยวิชายุทธได้แน่นอนแล้ว เฉินฝานรู้ตัวว่าตนเองไม่มีหวังเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่เขาก็ไม่อยากให้คู่หู’คนสามัญ’อีกคนทิ้งห่างไป
คนอย่างฟางผิงและอู๋จื้อเห่าต้องโฟกัสกับอะไรหลายๆอย่าง ส่วนเขาโฟกัสเรื่องเดียว แต่คะแนนวัฒนธรรมศึกษาของเขาดีกว่าฟางผิงเล็กน้อยเท่านั้น แถมมันยังน้อยกว่าอู๋จื้อเห่าด้วย
อู๋จื้อเห่าได้คะแนน 648 คะแนน เป็นที่สองของห้อง
ที่หนึ่งของห้องก็เป็นนักเรียนสอบวิชายุทธหลิวรั่วฉี!
หลิวรั่วฉีได้คะแนน 660 คะแนน!
นักเรียนสอบวิชายุทธเหล่านี้มีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าพวกเขาเสียอีก แต่ยังทำคะแนนได้ดีมาก เฉินฝานจึงรู้สึกคับข้องใจ
ฟางผิงบอกได้ว่าเฉินฝานคิดอะไรอยู่
ตอนที่ผลสอบออกมา เขาแสดงความอิจฉาออกมาโดยไม่ปิดบัง แถมยังบ่นว่าตัวเองอ่านหนังสือนอนดึกทุกวัน แต่เขาก็ยังได้คะแนนน้อยกว่า
ฟางผิงไม่กล้าบอกเลยว่าเขาไม่เคยทบทวนวัฒนธรรมศึกษาตอนกลางคืนเลย ถ้าเฉินฝานรู้ ฟางผิงเกรงว่าเฉินฝานจะอยากฆ่าเขา
…..
หลังเลิกเรียน
อู๋จื้อเห่ากอดคอฟางผิง กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว ไปเที่ยวพักผ่อนสักสองสามวันไหม?”
ปราณและเลือดเขาประเมิณได้ 120แคล ผลทดสอบก็สูงกว่าข้อกำหนดรับเข้ามหาลัยใหญ่ๆของประเทศกว่า 50 คะแนน
ด้วยผลลัพธ์เหล่านี้ การเข้ามหาลัยวิชายุทธมีความเป็นไปได้สูงมาก
ตราบใดที่เขาไม่หลับตาสอบ การเข้ามหาลัยวิชายุทธก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย ตอนนี้อู๋จื้อเห่าจึงอยากพักผ่อนมากกว่า
เมื่อได้ยินว่าเขาอยากไปเที่ยวเล่น ก่อนที่ฟางผิงจะได้ตอบ หยางเจี้ยนก็พูดอย่างไม่พอใจ “นายคิดถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม?”
“ช่วงวันหยุด ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเรียน”
ฟางผิงปฏิเสธเช่นกัน “พรุ่งนี้วันที่หนึ่งมิถุนา วันเด็ก ฉันต้องฉลองกับเด็กในบ้าน ฉันไม่มีเวลาไปข้างนอก”
“อุบ…”
อู๋จื้อเห่าแทบสำลักตาย จากนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เด็กในบ้าน? นายหมายถึงน้องสาวใช่ไหม?”
“ฟางผิง น้องสาวนายน่าสนใจมาก!”
ฟางผิงเหลือบมองเขาแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “นายไม่รู้จักเธอ นายจะรู้ได้ไงว่าเธอน่าสนใจ?”
“ฉันไม่รู้จัก แต่ฉันรู้จักคนที่รู้จักเธอ”
“เด็กที่อยู่ข้างห้องฉันเรียนอยู่มอสาม ฉันเลยได้ยินชื่อเสียงของน้องสาวนาย”
“ฉันได้ยินว่าน้องสาวนายขายรูปลายเซ็นของนายที่โรงเรียน เด็กข้างห้องฉันก็ซื้อมาเหมือนกัน ฉันเกือบหัวเราะตาย…”
“ไปไกลเลย! เธอเลิกขายไปนานแล้วโอเคมั้ย?”
ฟางผิงสบถ เขารู้เรื่องนี้นานแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้เอารูปถ่ายติดบัตรที่เหลือจากเอาไปใช้สอบเข้ามหาลัยของเขา แปะกับลายเซ็นของฟางผิงที่อยู่บนหนังสือ แล้วเอาไปขายที่โรงเรียน
ตอนแรกฟางผิงไม่รู้เลย แต่ฟางหยวนคิดจะแบ่งกำไรและซื้อขนมกองใหญ่มาติดสินบนฟางผิง
ฟางผิงไม่ได้คิดมากนัก แต่เขาก็เริ่มเอะใจตอนที่พบว่าห้องน้องสาวมีขนมขบเคี้ยวมากขึ้น
กว่าเขาจะรู้เรื่องก็หลังซักถามเธอ
ฟางผิงเกือบโกรธตาย เขาคิดว่าฟางหยวนพูดเล่น เขาเลยไม่ได้เก็บไปคิดจริงจัง
ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านเก่าไปเช็คดู เขาพบว่าหน้าแรกของหนังสือเก่าตรงจุดที่เขาเขียนชื่อถูกฉีกออก
หลังซักถาม เขาก็รู้ว่ายัยหนูนี่ขายรูปพร้อมลายเซ็นไปแล้ว 8 รูป รูปละ 100 หยวน!
ฟางผิงโกรธมาก รูปถ่ายติดบัตรเขาน่าเกลียดสุดๆ!
ถ้าอยากขาย อย่างน้อยก็หารูปอื่นไม่ได้รึไง?
ชื่อเสียงเขาถูกยัยหนูคนนี้ทำลายป่นปี้
ฟางผิงอับอายเกินกว่าจะเอาไปพูดกับคนอื่น ใครจะรู้ล่ะว่าอู๋จื้อเห่ารู้เรื่องนี้แล้ว?
ขณะที่อู๋จื้อเห่าหัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ หยางเจี้ยนกับเพื่อนๆก็สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมทันทีเพราะพวกเขาได้ยินเป็นครั้งแรก เมื่อพวกเขารู้เรื่องทั้งหมด ทุกคนก็หัวเราะลั่น
สีหน้าของฟางผิงมืดมน แต่เขาไม่มีอารมณ์จัดการพวกเขา
อย่างไรก็ตามเขาแอบรู้สึกรำคาญ หลังกลับบ้าน เขาจะไปสอนบทเรียนยัยเด็กนี่ ข่าวหลุดมาถึงโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงแล้ว ยัยเด็กต้มพี่ชาย!