ตอนที่ 40 บ่มเพาะครั้งแรก
การบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ทั้งเข้าใจยากและเข้าใจง่ายในเวลาเดียวกัน
การรู้หนังสือไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ช่วยให้เข้าใจหนังสือ
เนื้อหาสอบทั่วไปศึกษาที่จริงเป็นพื้นฐานนำทางไปสู่การฝึกฝน
เพื่อศึกษา’เคล็ดเสริมสร้าง’ ความรู้เส้นทางไหลเวียนของเลือด ผังลมปราณ กระดูกในร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งจำเป็น
ถ้าเรามีหนังสืออยู่ในมือ แต่ไม่รู้วิธีโคจรปราณและเลือดในร่างกายมนุษย์ ศึกษาไปก็ไม่มีประโยชน์
หนังสือนี้สอนแค่พื้นฐานเท่านั้น เป็นความรู้ที่ถ่ายทอดให้ประชาชน
เพราะงั้นในหนังสือจึงไม่มีความรู้เฉพาะทางอยู่ด้วย
มีภาพระบบการไหลเวียนปราณและเลือดอยู่ในหนังสือรวมทั้งองค์ประกอบสำคัญของระบบเลือดลม
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้เราเริ่มต้นผิดพลาด เราก็ไม่ตาย แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม
ส่วนเรื่องธาตุไฟเข้าแทรก ฟางผิงยังไม่ถึงขั้นนั้น
ปราณและเลือด 124แคล แม้ว่าจะโคจรเส้นลมปราณผิดพลาด ร่างกายก็เป็นอันตรายน้อยกว่า
เมื่อเทียบกับการเพิ่มปราณและเลือด 10แคลอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันอันตรายน้อยกว่าอีก
…..
ก่อนเริ่ม ฟางผิงยังเป็นกังวลอยู่บ้าง
หลังคิดเล็กน้อย เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหวังจินหยาง
…..
ณ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
ไม่กี่วันมานี้ หวังจินหยางกำลังพักฟื้น ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพดีสุด เตรียมความพร้อมทะลวงขั้นต่อไปเมื่อถึงขีดสุด
เมื่อเขารับสายแล้วได้ยินว่าฟางผิงอยากเริ่มบ่มเพาะ เขาก็ขมวดคิ้ว
หลังคิดเล็กน้อย เขาก็กล่าว “นายบ่มเพาะตามเคล็ดเสริมสร้างได้เลย ต่อให้นายเริ่มต้นผิดพลาด มันก็ไม่ร้ายแรง”
“แต่…”
ฟางผิงเงี่ยหูฟัง
“แต่มีอย่างนึงที่ฉันต้องเตือนนาย”
“อย่างแรกเลย การบ่มเพาะเคล็ดเสริมสร้างสามารถเพิ่มปราณและเลือดและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระดูก”
“กระบวนการเหล่านี้ล้วนผลาญปราณและเลือด”
“ปราณและเลือดไม่ได้เติมเต็มเองโดยอัตโนมัติ ใช่มันเติมเต็มเอง แต่มันเทียบกับอัตราที่เสียไปไม่ได้”
“ถ้านายบ่มเพาะเคล็ดเสริมสร้าง ขีดจำกัดปราณและเลือดของนายจะเพิ่มขึ้น แต่ปราณและเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างนายจะลดลง”
“แถมมันยังลดลงมาก!”
“ใกล้เกาเข่าแล้ว ถ้านายเติมเต็มปราณและเลือดได้ไม่เร็วพอ นายจะเจอปัญหาช่วงสอบขั้นตอนแรก ซึ่งก็คือประเมิณร่างกาย”
“นายควรให้ความสำคัญกับสอบวิชายุทธแทนการบ่มเพาะ”
ฟางผิงขมวดคิ้ว “ปราณและเลือดของผมจะลดลง?”
“แน่นอน!”
หวังจินหยางกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ “ทั้งกระดูกและเส้นลมปราณต่างก็ต้องการปราณและเลือดมาหล่อเลี้ยงเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง มันจะใช้ไปมากเท่าไหร่งั้นเหรอ?”
“ปราณและเลือด 120แคลของนาย อาจลดลงเหลือ 115แคลหลังบ่มเพาะครั้งเดียว”
“กระบวนการฟื้นฟูจะใช้เวลาน้อยกว่าตอนเพิ่ม แต่ต่อให้นายใช้ยาปราณและเลือดทั่วไป กว่าจะฟื้นกลับสภาพเดิม มันก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามวัน”
“ใช้ยาปราณและเลือดสามวันติด…คิดว่ามันเท่าไหร่?”
“มีครอบครัวเท่าไหร่กันที่สนับสนุนไหว?”
“ถ้านายเติมปราณและเลือดไม่ทันเวลา ปราณและเลือดของนายจะลดลง ขีดจำกัดสูงสุดที่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยก็จะลดลงด้วย”
“ฟางผิง มันเป็นความจริงว่านายพอมีทรัพยากรอยู่ในมือบ้าง”
“แต่มันมีจำกัด นายใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้”
“ถ้านายถามฉัน นายไปบ่มเพาะจริงจังหลังเข้ามหาลัยวิชายุทธดีกว่า ทางมหาลัยจะมอบทรัพยากรครึ่งนึงให้นายบ่มเพาะ”
ฟางผิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก หลังคิดสักพัก เขาก็กล่าว “ถ้าผมเติมเต็มปราณและเลือดได้ตลอด งั้นก็แปลว่าขีดจำกัดปราณและเลือดผมจะเพิ่มขึ้นใช่ไหม?”
“ใช่ นี่คือพื้นฐานเลย ไม่งั้น’เคล็ดเสริมสร้าง’จะผลักดันคนธรรมดาไปจนถึงขีดจำกัดได้ยังไง?”
“คุณบอกว่าอย่างแรก มันมีอย่างอื่นด้วยเหรอ?”
“อย่างที่สอง!”
หวังจินหยางมีน้ำเสียงเคร่งขรึมมากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อกี้ เขากล่าว “อย่างที่สอง บ่มเพาะเคล็ดเสริมสร้าง ด้วยค่าปราณและเลือดของนาย มันไม่อันตรายนัก”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่านายจะปลอดภัยร้อยเปอร์!”
“ถ้าเส้นเลือดใหญ่นายได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะหลอดเลือดในสมอง ต่อให้นายไม่ตาย นายก็ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายเดือน”
“ฟางผิง นายใกล้เกาเข่าแล้ว ระวังตัวด้วย”
“บ่มเพาะครั้งแรกอันตรายที่สุดเสมอ ถ้านายบาดเจ็บสาหัส นายอาจพลาดการสอบปีนี้”
“ถ้านายทำเส้นเลือดฝอยแตก มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ด้วยปราณและเลือดนาย นายจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่นายต้องไม่ให้เส้นเลือดหลักได้รับบาดเจ็บ”
“พี่หวัง ผมจะระวัง” ฟางผิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินแบบนั้น หวังจินหยางก็รู้ว่าฟางผิงตัดสินใจแล้ว เขาส่ายหัว “ไม่ว่ายังไง ถ้านายบาดเจ็บ นายก็มาลองใหม่ได้ปีหน้า”
“ทางเลือกนึงจะทำให้นายช้าไปหนึ่งปี ส่วนอีกทางจะเป็นไม่กี่เดือน นายคิดให้ดี”
หวังจินหยางไม่ใช่พ่อฟางผิง ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมหลายรอบ
หลังพูดเรื่องนี้จบ หวังจินหยางพูดต่อ “ยังมีเรื่องรูปแบบจวงกงที่นายเลือกอีก”
“นายเลือกท่าไหน?”
“ผมยังไม่ได้คิดเลย พี่หวังช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม?”
“มันขึ้นอยู่กับว่าตอนขั้นหนึ่งนายจะเลือกเน้นทางไหน”
หวังจินหยางหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “เน้นแขนตอนอยู่ขั้นหนึ่งจะปลอดภัยกว่า แต่มันไม่โดดเด่นนัก”
“เน้นขา ความเร็วนายจะเพิ่มขึ้น และต่อสู้ได้ดีขึ้น ร่างกายส่วนล่างจะมั่นคงขึ้น”
“แต่มันเสี่ยงมากกว่า ถ้านายบาดเจ็บ นายอาจพิการได้เลย”
“นายจะเห็นคนพิการเดินเตร็ดเตร่อยู่มหาลัยวิชายุทธมากมายด้วยขาข้างเดียวและสีหน้าหม่นหมอง”
“บาดเจ็บที่แขน อาการไม่ชัดนัก แต่นายบาดเจ็บที่ขา นายอาจพิการได้เลย”
“ขั้นหนึ่งที่เน้นเสริมสร้างขาก่อนแข็งแกร่งกว่าแขนไหมครับ?”
“มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่อสู้”
“เมื่อผู้ฝึกยุทธประลองกันด้วยเงื่อนไขเท่ากัน ต่อให้คนที่ฝึกช่วงขาเอาชนะไม่ได้ก็หนีเอาตัวรอดได้ คนที่ฝึกช่วงแขนจะไล่ตามได้ยาก”
พอพูดถึงหัวข้อนี้ หวังจินหยางก็หัวเราะขึ้นมา “ตอนอยู่ขั้นหนึ่ง ฉันเน้นฝึกขา ฉันเลยวิ่งได้เร็วมาก”
“ฉันเคยมีเรื่องกับรุ่นพี่ขั้นสองคนนึง เขาฝึกช่วงแขนมาและพึ่งเริ่มฝึกช่วงขา”
“สุดท้ายฉันก็ทำให้เขาเหนื่อยจนแพ้ไป”
หวังจินหยางเล่าให้ฟางผิงฟังราวกับมันเป็นเรื่องตลก แต่ตอนที่เกิดเรื่องนี้ ทั้งมหาลัยถึงกับโกลาหล
ทั้งสองสู้กันอย่างเลือดพล่าน สุดท้ายหวังจินหยางพารุ่นพี่วิ่งไปรอบมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงกว่า 30 รอบ!
ฟางผิงย่อมไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้
เมื่อเขาได้ยินว่าฝึกช่วงล่างได้ผลดีกว่าช่วงบน ฟางผิงก็รีบถาม “พี่หวัง ถ้าผมจะฝึกช่วงล่าง คุณว่าท่าไหนเหมาะกับผม?”
“ท่าขี่ม้า! นี่เป็นตัวเลือกแรกของผู้ฝึกยุทธที่อยากฝึกช่วงล่าง”
“…”
ทั้งสองคุยกันเรื่องฝึกฝนอยู่พักใหญ่
หวังจินหยางไม่มีอาการรำคาญเลย ถ้าเขาไม่อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน ฟางผิงอาจทำอะไรพลาด ผลที่ตามมาคงน่าหวาดหวั่น
ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ เขาคงพลาดเกาเข่า…
ช่องว่างปีนึงไม่ได้ตามทันง่ายๆ
หวังจินหยางรู้สึกว่าฟางผิงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เขารอจนเข้ามหาลัยก่อนค่อยเริ่มบ่มเพาะก็ได้ แถมอยู่มหาลัยยังช่วยประหยัดทรัพยากรลงด้วย
ด้วยทรัพยากรของฟางผิง ถ้าเขาใช้จ่ายอย่างประหยัดรวมกับเงินสมทบของมหาลัย มันเพียงพอทำให้เขาบ่มเพาะจนไปถึงขั้นสอง
แต่ถ้าเขาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หลังบรรลุขั้นหนึ่ง เขาก็จะไม่มีอะไรเหลืออีก
สวรรค์คงต้องชอบเขาจริงๆถ้าเขาบังเอิญเจอหวงปินอีกคน เขาจะบังเอิญเจอเรื่องดีๆแบบนั้นได้ที่ไหนอีก?
…..
ทั้งสองคุยกันกว่าหนึ่งชั่วโมง
น้ำใจของหวังจินหยางเป็นที่สังเกตได้
หลังได้รับผลประโยชน์มากมายจากฟางผิง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะตอบคำถามฝึกยุทธแก่ฟางผิงเป็นอย่างดี
หลังคุยโทรศัพท์เสร็จ ฟางผิงก็สูดหายใจเต็มปอดหลายครั้ง
ฟางผิงเริ่มบ่มเพาะจริงๆก็ตอนบ่ายสามแล้ว
เขาเข้าใจวิธีบ่มเพาะคร่าวๆแล้ว แม้ว่าเขาจะทำผิดขั้นตอน อย่างมากเขาก็แค่ต้องพักฟื้นสองสามวัน ตราบใดที่เขาไม่ตายและโดนเส้นเลือดใหญ่
ถ้าไม่มีความสามารถในการมองเห็นภายในร่างกาย เขาก็ทำได้แต่พึ่งพาความรู้สึกเท่านั้น
หลังถอดเสื้อออก ฟางผิงก็ตั้งสมาธิบ่มเพาะไปตามแนวทางแผนภาพใน’เคล็ดเสริมสร้าง’และสังเกตเส้นเลือดลมในร่างกายไปพร้อมกัน
เมื่อปราณและเลือดถูกบีบอัด เส้นเลือดในร่างที่ปราณและเลือดแข็งแกร่งขึ้นก็จะชัดเจนขึ้น
“ค่อนข้างเจ็บ…”
“มันเป็นการบ่มเพาะครั้งแรก เส้นเลือดฉันเลยไม่ชิน”
“หลังผ่านครั้งแรกไปมันคงดีขึ้น ยังไงร่างกายมนุษย์ก็มีศักยภาพไม่จำกัด”
“…”
ฟางผิงยังคงสรุปสิ่งที่เขาเรียนรู้ขณะบ่มเพาะไปด้วย เมื่อบีบอัดปราณและเลือดจนถึงบริเวณขมับ เขาก็เริ่มกังวล
ถ้าเส้นเลือดบริเวณอื่นในร่างกายระเบิด มันก็ไม่ได้อันตรายกับเขามากนัก
ในทางกลับกัน ถ้าเส้นเลือดระเบิดใกล้สมอง เขาต้องแย่แน่
ใน’เคล็ดเสริมสร้าง’ มีเส้นเลือดลมน้อยมากที่ผ่านสมอง อันที่จริงมีเส้นเลือดลมหลักเส้นเดียวเท่านั้น
โชคดีการโคจรปราณและเลือดเป็นไปตามเส้นทางโคจรปกติในร่างกายมนุษย์ มันไม่มีการบุกเบิกเส้นทางใหม่อะไรทั้งนั้น
ไม่นาน ปราณและเลือดของฟางผิงก็โคจรผ่านเส้นเลือดลมใกล้สมองได้สำเร็จ
…..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ฟางผิงบ่มเพาะครั้งแรกลุล่วงไปอย่างราบรื่น
“ราบรื่นมาก!”
ฟางผิงยิ้มกว้าง แม้เขาจะบอกว่ามันราบรื่น แต่เขาก็แอบก่นด่าอยู่ในใจแล้ว
เขามีเลือดท่วมตัว
เส้นเลือดใหญ่ไม่มีปัญหา แต่เส้นเลือดฝอยบางเส้นระเบิด ทำให้เขาเลือดออกท่วมตัว
ถ้าฟางหยวนหรือหลี่อวี้อิงเข้ามาในห้อง พวกเธอคงช็อคทั้งน้ำตา
ฟางผิงรู้สึกว่าหลังบ่มเพาะครั้งแรก เส้นเลือดที่เคยบวมเจ็บปวดในร่างกายเขาก็ผ่อนคลายลง
ส่วนเลือด…ช่างมันเถอะ ยังไงปราณและเลือดเขาก็มีมากพอ
เขาเพ่งสมาธิและดูแถบหน้าจอของระบบ เขาอยากเห็นว่าปราณและเลือดเขาลดลงหรือไม่
ทรัพย์สิน : 3370800
ปราณและเลือด : 120แคล
จิตใจ : 140เฮิรตซ์
…..
“ลดลง 4แคล! ถ้าเป็นคนอื่น เม็ดยาปราณและเลือดธรรมดาเม็ดนึงไม่พอเติมเต็มที่เสียไปด้วยซ้ำ!”
“พูดอีกนัยนึง บ่มเพาะครั้งนึงมีมูลค่าถึงแสนหยวน!”
ฟางผิงปวดใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีไม่กี่คนที่สำเร็จเป็นผู้ฝึกยุทธก่อนเกาเข่า
แม้ว่าจะมีทุกอย่างพร้อม แต่การบ่มเพาะไม่ต่างจากการผลาญเงิน
จะมีใครอีกที่เต็มใจจ่ายเงินมากมายนอกจากตระกูลที่ร่ำรวย?
แถมการบ่มเพาะมีความเสี่ยงสูงเช่นกัน หนังสือบ่มเพาะหาได้จากผู้ฝึกยุทธเท่านั้น นักเรียนมัธยมปลายส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้รับมา
คนอื่นส่วนคนอื่น ฟางผิงไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้
หวังจินหยางห่วงว่าทรัพยากรของเขาจะหมดก่อน แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้มันเลย
ฟางผิงไม่ลังเลอีก เขาตั้งสมาธิเพื่อเพิ่มปราณและเลือดทันที
ทรัพย์สิน : 3365800
ปราณและเลือด : 125แคล
จิตใจ : 140เฮิรตซ์
“ขีดจำกัดเพิ่มขึ้น 1แคล!”
แววตาของฟางผิงเปล่งประกาย ขีดจำกัดปราณและเลือดเพิ่มขึ้น 1แคลหลังผ่านการบ่มเพาะครั้งเดียว มันไม่ได้ช้าเลย
แน่นอน มันได้ผลสำหรับเขาเท่านั้น
นักเรียนคนอื่นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามวันเพื่อให้ปราณและเลือดฟื้นฟูเอง สามวันกับเงินแสนหยวนเพื่อแลกกับ 1แคล…คนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจทำแน่นอน
“ฉันไม่ต้องรอให้ปราณและเลือดฟื้นฟู คนอื่นบ่มเพาะได้หนึ่งครั้งต่อสามวัน ส่วนฉันบ่มเพาะกี่ครั้งก็ได้เท่าที่ต้องการ ขอแค่ร่างกายทนไหวก็พอ…”
“สรุประบบใช้แบบนี้นี่เอง!”
“เฒ่าหวัง สำหรับฉัน ขั้นสามก็ไม่เท่าไหร่! รอก่อนเถอะ ฉันจะทำให้คุณตกใจตายเลย!”
ฟางผิงพูดกับตัวเอง เขาไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าได้ สีหน้าเขารวมกับเลือดที่อาบทั่วตัวทำให้เด็กร้องไห้ได้ง่ายๆเลย