ตอนที่ 94 คนบ้าฉินเฟิ่งชิงผู้รนหาที่ตาย
เนื่องจากฟางผิงกับฟูชางเติ่งสัญญาว่าจะทําเรื่องใหญ่ด้วยกัน ทั้งสองจึงสนิทกันยิ่งขึ้น
หลังซื้อของกลับมาหอพัก ทั้งสองก็ลงไปโรงอาหารโดยไม่รบกวนเพื่อนบ้านคนอื่น มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้มีโรงอาหารมากมาย แค่บริเวณหอพักก็มีโรงอาหารสามที่แล้ว
ฟางผิงเป็นเด็กใหม่และไม่ค่อยรู้เรื่องมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ แม้ว่าฟูชางติ่งจะเป็นนักศึกษาใหม่ แต่เขารู้อะไรมากมาย ระหว่างทางไปโรงอาหาร เขาอธิบาย “ในโม่อู่ ที่พักและอาหารไม่จําเป็นต้องใช้เงินจ่าย เพราะค่าใช้จ่ายของพวกนี้ไม่แพงนัก โม่อู่พยายามจัดหาทุกอย่างเพื่อนักศึกษา”
“แน่นอน มันเป็นเพราะมันไม่มีค่านัก ในมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ สิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินไม่ใช่ของแพง แต่ของที่มีค่าใช้จ่ายต่างหากที่โคตรแพง”
“เม็ดยา เคล็ดวิชา และอาวุธล้วนมีค่าใช้จ่าย แน่นอนมันไม่จําเป็นต้องเป็นเงิน เป็นคะแนนก็ได้เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางผิงก็ถามอย่างสงสัย “ฉันจําเป็นต้องจ่ายค่าเทอมไหม?”
“หืม…”
ฟูชางติ่งหัวเราะ เขาไม่คิดเลยว่าฟางผิงจะสนใจเรื่องนี้จริงๆ ” พวกเขาจะเก็บค่าเทอม แต่ก็ต่อเมื่อนายเลือกสาขาที่เรียนแล้ว”
” ค่าเทอมจะแตกต่างกันไปแต่ละสาขา แม้ว่าราคาจะไม่ต่างกันมากก็ตาม”
“โอ้”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน พวกเขาก็มาถึงโรงอาหารสอง
โรงอาหารของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้หรูหรามากเช่นกัน โครงสร้างคล้ายคลึงกับห้องอาหารที่โรงแรมโม๋อู่ แต่แทนที่จะเป็นโต๊ะสี่คนทั่วๆไป มันไม่มีบริกร มันเป็นโรงอาหารสไตล์บุฟเฟต์ และอาหารก็อร่อยมาก!
มีทั้งเนื้อสัตว์ ทั้งผัก ซุปกระดูกที่หอมกรุ่นมาแต่ไกล นอกจากนี้ยังมีผลไม้และนมให้ทุกคนทานกันตามต้องการ
ขณะที่เขาเลิกอาหารกับฟางผิง ฟูชางติ่งก็อธิบาย “นี่เป็นเพียงวัตถุดิบอาหารทั่วๆไป มันไม่มีฤทธิ์ฟื้นฟูปราณและเลือดมากนัก มันช่วยให้อิ่มท้องเท่านั้น”
“โรงอาหารทุกแห่งจะมีชั้นสองที่ต้องจ่ายเงิน ที่ชั้นสองนายจะสั่งอาหารได้ ซึ่งรวมถึงอาหารผสมสมุนไพรที่ช่วยเติมเต็มปราณและเลือด”
“ถ้าสภาพการเงินนายพอไหว เราควรไปกินชั้นสองดีกว่า”
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะไม่ได้ต่อสู้ แต่การฝึกฝนตามปกติก็ผลาญปราณและเลือด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เม็ดยาฟื้นฟูทุกครั้ง ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ฝึกยุทธจะใช้อาหารแทนเม็ดยา
ฟางผิงสงสัยว่าถ้าเขาไม่ได้หยิบอาหารทันทีที่เข้ามาโรงอาหาร ฟูชางติ่งคงขึ้นไปชั้นสองแล้ว เห็นได้ชัดว่าสหายคนนี้ไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดา
แน่นอน ความคิดนี้ไร้สาระมาก
ผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกสองครั้งสําเร็จโดยไม่ได้ใช้ทรัพยากรของมหาลัย ต่อให้ไม่ถึงสิบล้านก็คงเกือบๆ
เงินไม่ใช่ประเด็นหลัก เหล่าคนที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งได้ พวกเขาย่อมมีผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ขึ้นไปอยู่ในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่มีนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนใดที่เป็นคนเรียบง่าย
หลังทั้งสองตักอาหารเสร็จ พวกเขาก็ไปหาที่นั่งเงียบๆกินกัน ฟูชางติ่งไม่มีอารมณ์กินเท่าไหร่ เขามองไปรอบๆแล้วถอนหายใจ ” อันที่จริงมีอีกเหตุผลที่ทําไมฉันถึงไม่เลือกมหาลัยวิชายุทธปักกิ่ง”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าทางใต้มีสาวสวยมากมายพบเห็นได้ทุกที่”
“แต่นับตั้งแต่ฉันมาถึง ฉันเห็นสาวๆน้อยมาก แถมคนที่ฉันเห็น.เอ่อ…เฮ้อ…”
ฟูชางติ่งผิดหวังเล็กน้อย ที่จริงตอนนี้โรงอาหารก็มีสาวๆ แต่มีไม่มาก หลังกวาดสายตาดูทั่วโรงอาหาร ก็ไม่เห็นสาวสวยสักคน
“ดูเหมือนเราได้แต่รอจนนัดรวมตัวกันช่วงบ่ายแล้วค่อยดูใหม่อีกรอบ เพราะโรงอาหารไม่ค่อยมีคนมากิน”
หลังคบหากันสักพัก ฟางผิงก็ตระหนักว่าฟูชางซึ่งเป็นคนช่างพูด ส่วนใหญ่จะเป็นเขาเพ้อเจ้อไปคนเดียว ไม่ว่าฟางผิงจะตอบหรือไม่ก็ตาม
แวบแรกที่เห็น เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนชั้นสูงที่สง่างาม พอมาดูตอนนี้ มันเป็นความจริงที่ครอบครัวเขาฐานะดี แต่เขาไม่ได้เป็นคนสํารวมเลย
แน่นอน ไม่ใช่ว่าเขาทําตัวแบบนี้กับทุกคน
ไม่นาน ฟางผิงก็รู้ว่าฟูชางติงไม่ใช่แค่ช่างพูด
เมื่อทานข้าวเสร็จและกลับมาหอพัก ฟางผิงก็สังเกตว่าประตูห้องเพื่อนบ้านห้อง 85 เปิดอยู่ เขาจึงทักทายเพื่อนบ้านที่ยืนอยู่โถงทางเดิน
ฟางผิงคุยกับชายที่ค่อนข้างเหมือนผู้หญิงคนนี้ และได้รู้ว่าเขาชื่อชุยเจียอวิ้น เพื่อนบ้านเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นนักและค่อนข้างน่าเบื่อ ฟางผิงหยุดการสนทนาหลังคุยได้ไม่กี่ประโยค แม้แต่ฟู ชางติ่งที่เป็นกันเองมากก็ทําแค่แนะนําตัวก่อนจะเงียบไป
ที่เขาเป็นกันเองกับฟางผิงเพราะเขามองฟางผิงไม่ออก กลับกันชุยเจียอวิ้น เขามองชุยเจียอวิ้นออกในครั้งเดียว ปราณและเลือดอีกฝ่ายเกิน 150แคล แต่ยังไม่ถึง 180แคล ยังไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง และมันยืนยันได้ยากว่าชายคนนี้จะไปถึงขั้นนั้นไหม
เตรียมผู้ฝึกยุทธแบบนี้อยู่ห่างไกลจากฟูชางติ่งนัก และเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก ฟูชางติ่งย่อมไม่พูดอะไรมาก
14.30 น.
ฟางผิงกําลังจัดห้อง แต่จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงฟูชางติ่งดังจากนอกประตู
“ฟางผิง ถึงเวลาไปรวมตัวแล้ว!”
“รอแปป!” ฟางผิงตอบ หลังทําความสะอาดเพิ่มเล็กน้อย เขาก็ออกจากห้อง
ฟูชางซึ่งไม่ใช่คนเดียวที่อยู่โถงทางเดิน มีคนประมาณ 100 คนที่อาศัยอยู่ชั้นสอง เวลานี้หลายคนออกมาจากห้องแล้ว
ไม่มีใครคุยกันมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเหมือนฟูชางติ่งกับฟางผิงที่คุยกันเองในกลุ่มสองสามคน
วันแรกของมหาลัย ไม่มีใครพร้อมหาเพื่อนเท่าไหร่
เมื่อฟางผิงออกมา เขาก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะ “ฟูชางติ่ง บังเอิญจัง นายก็มานี่หรอ!”
ฟางผิงหันไปมองและเห็นชายร่างสูงหุ่นดีกําลังจ้องมองฟูชางติ่ง ตัดสินจากน้ำเสียง ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูไม่ค่อยสนิทกันนัก
ฟูชางติ่งดูไม่แปลกใจเลยราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าคนๆนี้จะมามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ เขาหันไปมองและยิ้มบางๆ ”ถังซงถิง แทนที่จะไปมหาลัยวิชายุทธปักกิ่ง นายดันมารนหาเรื่องที่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้แทนงั้นเหรอ?”
“เหอะเหอะ รนหาเรื่องรึเปล่า ขึ้นอยู่กับนายเหรอ?”
ถังซงถิงส่งเสียงอึดฮัดทางจมูก “นายมาเรียนนี้ก็ดีแล้ว ฉันกลัวว่านายจะไม่มาต่างหาก!”
“นายนี้คุยโวจริงๆ”
ฟูชางติ่งเปล่งเสียงดัง เฮอะ และเมินอีกฝ่าย เขาหันไปมองฟางผิง “เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมปลายที่แพ้ฉันมาสามปี เขาคิดว่าทําคะแนนสอบวัฒนธรรมศึกษาได้สูงกว่าฉันไม่กี่คะแนนแล้วจะพลิกสถานการณ์ได้ ตลกมั้ย?”
เขาไม่รอให้ฟางผิงตอบ เขาเดินออกไปและพูดขึ้นมา “ไปกันเถอะ เจ้าหมอนี่แทบบ้าหลังสําเร็จแค่ครั้งเดียว ไม่จําเป็นต้องสนใจมันหรอก”
ฟูชางติ่งไม่ได้ลดเสียงลงไม่ได้แอบคุย
ไม่ไกลจากตรงนั้น ถังซ่งถิงก็ได้ยินเช่นกัน สีหน้าเขาเปลี่ยนไป
เขากับฟูชางติ้งมาจากโรงเรียนมัธยมปลายเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่ง ฟูชางติงบอกว่าเอาชนะเขามาสามปีไม่ใช่เรื่องโกหก
โรงเรียนมัธยมปลายปักกิ่งต่างจากโรงเรียนมัธยมปลายหยางเฉิงที่มีแรงกดดันมากกว่าแข่งขัน กันมากกว่าและมีรางวัลเป็นเม็ดยา นอกจากนี้ยังมีคลาสวิชายุทธและสอบประจําเดือน นักเรียนจะได้รับรางวัลมากมายถ้าหากได้ผลสอบคะแนนดี
ถังซงถิงกับฟูชางติ่งแข็งแกร่งกันทั้งคู่ พวกเขาสู้กันเพื่อเม็ดยาหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าครอบครัวพวกเขาจะฐานะดี แต่สู้เพื่อเม็ดยาที่โรงเรียนมอบให้ยังคงคุ้มค่า
ฟูชางติ่งไม่เพียงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเท่านั้น แต่เขายังขัดเกลาสองครั้งในวัยนี้ด้วย รางวัลจากโรงเรียนมัธยมปลายทําให้เขาก้าวหน้าขึ้นมาก
ถังซงถิงอ่อนแอกว่าฟูชางติ่งเล็กน้อย อย่างไรก็ตามคะแนนสอบวัฒนธรรมศึกษาและทั่วไปศึกษาของเขาสูงกว่าฟูชางติ่ง ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องแบ่งสรรหอพัก ถังซงถิงจึงได้ห้อง 8 ซึ่งอยู่ไกลห้องฟูชางติ่งมากทีเดียว
กระนั้นถังซงถิงก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าฟูชางติ่ง
แม้เขาจะแพ้อีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ยอมเสียความมั่นใจ เมื่อฟูชางติ่งเดินผ่านเขาโดยไม่หันมามองแม้แต่แวบเดียว ถังซงถิงจึงกล่าวอย่างเย็นชา “เราจะได้เห็นดีกัน!”
” ฉันจะรอ!”
ฟูชางติ่งไม่สนใจเลย ระหว่างสอบเกาเข่า เขาทะลวงขั้นและกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแต่ไม่ได้ขัดเกลากระดูก ระหว่างช่วงวันหยุด เขาขัดเกลากระดูกขาซ้ายเสร็จและค่อยๆขัดเกลากระดูกขาขวาด้วยเช่นกัน
ส่วนทางด้านถังซงถิง เขารีบร้อนทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธโดยไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง แม้ว่าทั้งสองจะขัดเกลากระดูกแขนขาสําเร็จไปข้างนึ่งแล้ว แต่ฟูชางติ่งก็ยังไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องสําคัญ
อันที่จริงในหมู่ผู้ฝึกยุทธ 52 คนของโม่อู่ มีไม่ถึง 10 คนที่ขัดเกลาสองครั้งสําเร็จ มันอาจน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ
จํานวนคนที่ขัดเกลากระดูกแขนขาหลังขัดเกลาสองครั้งก็มีน้อยเช่นกัน ดังนั้นฟูชางติ่งจึงไม่กลัวใครเลย
คนอื่นก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งสองเช่นกัน ไม่มีใครออกความเห็นอะไร พวกเขายืนดูฟูชางติ่งและถังซงถิงอยู่เงียบๆ ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ คนนึ่งอยู่ห้อง 8 คนนึงอยู่ห้อง 15
ใน 50 ห้องแรก ความต่างของพลังไม่ใหญ่นัก พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่ตอนสอบเกาเข่าจะไม่ได้ตรวจสอบความสามารถเชิงยุทธ ประเด็นหลักที่ส่งผลต่อการแบ่งสรรหอพักขึ้นอยู่กับคะแนนสอบวัฒนธรรมศึกษาและทั่วไปศึกษา ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
เช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ อันดับห้องพักขึ้นอยู่กับคะแนนสอบวัฒนธรรมศึกษา นักศึกษาห้อง 1 อาจไม่ได้มีความสามารถเชิงยุทธแข็งแกร่งกว่าห้อง 50 เสมอไป
จากห้อง 50 เป็นต้นไป มีทั้งนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธหรือขัดเกลาสองครั้งสําเร็จ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้อาจฟังทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธหรือขัดเกลากระดูกสองครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้ทะลวง แม้สถานะของพวกเขาเกือบจะเท่าผู้ฝึกยุทธ แต่นักศึกษาเหล่านี้ก็ยังอ่อนแอกว่าถ้าต้องสู้กับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง
ในหมู่อัจฉริยะ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะให้ความสนใจกับอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะมากกว่า เนื่องจากห้องฟางผิงคือห้อง 86 ซึ่งอยู่ตําแหน่งเกือบสุดท้าย จึงมีคนสังเกตเห็นเขาไม่กี่คน
ฟางผิงยินดีเช่นกันที่เป็นแบบนั้น นอกจากเติมเต็มความอยากโชว์ออฟและเสียเวลา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทําตัวเด่นตอนนี้ ถ้าอยากโชว์ออฟจริงๆ มันก็ควรทําต่อหน้าอาจารย์ เพราะอาจารย์เป็นคนจัดสรรทรัพยากรและเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะให้ความช่วยเหลือ
เห็นได้ชัดว่านักศึกษามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ไม่ได้เป็นคนโง่ รวมถึงถังซ่งถิงด้วย
ที่ปลุกปั่นกันก่อนหน้านี้ มันเป็นแค่ความเคยชินของพวกเขา ทั้งสองเป็นศัตรูกันมานาน เมื่อเห็นหน้ากัน พวกเขาจึงยั้งตัวเองไม่อยู่
เมื่อฟูชางติ่งเดินไป ถังซงถิงก็เดินลงไปชั้นล่างโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อพบว่าไม่มีอะไรให้ดูแล้ว คนอื่นจึงเริ่มมุ่งหน้าไปจุดรวมตัวที่สนามกีฬาหนึ่ง
สนามกีฬาหนึ่ง
สนามกีฬาของโม่อู่ใหญ่มากและมีที่นั่งผู้ชม มีคนจํานวนมากมารออยู่ก่อนแล้ว รวมถึงอาจารย์และนักศึกษาที่มานั่งรออยู่ที่ผู้นั่งผู้ชมก่อนที่นักศึกษาใหม่อย่างฟางผิงจะมาถึง
เมื่อนักศึกษาใหม่ค่อยๆมากัน ก็มีคนบนที่นั่งผู้ชมหัวเราะเสียงเบา “ปีก่อนเราถูกมองเหมือนลิงในสวนสัตว์ ปีนี้ในที่สุดเราก็ได้สนุกกับความรู้สึกดูลิงน้อยแสดง มันไม่เลวเลย”
” หุบปาก! ตั้งใจหาต้นกล้าดีๆ เพื่อเราจะได้พาเข้าชมรม”
คนที่พูดเมื่อกี้กุ้ยปาก จากนั้นก็ชี้ไปที่สองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ “คนจากชมรมวิถียุทธมาแล้ว ต่อให้มีต้นกล้าดีๆ เราก็คงไม่ได้เลือกเป็นคนแรก เราได้แต่เลือกของเหลือของพวกเขาเท่านั้นแหละ”
เมื่อพูดถึงชมรมวิถียุทธ ทุกคนก็เงียบเสียงลงและหันไปมองสองสามคนที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา
ณ บริเวณใกล้เคียง
ฉินเฟิ่งชิงรู้สึกร้อนใจ เขากอดอกขมวดคิ้ว “ฉันกําลังขัดเกลากระดูกลําตัว พวกนายรับสมาชิกใหม่ยังไม่พออีกเหรอ? ทําไมฉันต้องมาด้วย!”
“พวกนายจงใจขัดจังหวะกระบวนการขัดเกลาของฉัน เพราะประธานกลัวฉันท้าทายตําแหน่งหลังขัดเกลาเสร็จใช่ไหม?”
หญิงสาวที่หน้าตาค่อนข้างดีที่นั่งอยู่ข้างๆเผยรอยยิ้มออกมา “นายควรไปพูดกับประธานแทนนะ เหตุผลที่นายถูกเรียกตัวมา เพราะนายเป็นรองประธานคนเดียวที่ยังอยู่มหาลัย ส่วนคนอื่นไม่มีใครอยู่เลย”
“ไหนๆนายก็พึ่งทําภารกิจเสร็จ นายน่าจะพักสักสองสามวัน อย่าเอาแต่ฝึกทั้งวันสิ มันไม่ดีนะ”
”เหลวไหล!” ฉินเฟิงชิงแผดเสียง รําคาญอย่างเห็นได้ชัด “ฉันบอกแล้วว่าประธานอิจฉาฉัน!”
“ไม่ว่านายจะพูดยังไง ประธานก็ไปถึงขั้นสี่แล้ว นายมั่นใจเหรอว่าเขากลัวนาย?”
“ขั้นสี่” ฉินเฟิ่งชิงอุ้ยปากและบ่นพึมพํา “ไปถึงขั้นสี่แล้วมันยังไง? ฉันก็ใกล้ถึงขั้นสี่แล้ว!”
“ชิ!”
ฉินเฟิ่งชิงขี้เกียจเถียงกับเธอ “รู้เรื่องหวังจินหยางยัง?” เขาพูด แต่น้ำเสียงเขายังออกแนวรคาญ
เมื่อชื่อหวังจินหยางถูกพูดถึง สมาชิกชมรมวิถียุทธก็เงียบทันที
หญิงสาวที่พูดเมื่อกี้กัดฟันกรอดๆ “รู้แล้ว เจ้าสารเลวนเสียสติไปแล้วจริงๆ! อย่าให้ฉันได้เจอนะ…”
ฉินเฟิ่งชิงบ่นด้วยความโกรธ “เลิกโม้ได้แล้ว อย่าคิดว่าเขาจะไม่จัดการเธอเพราะเธอเป็นผู้หญิง หยั่งกับว่าคนที่ถูกทุบตีคราวแล้วไม่ใช่เธออย่างนั้นแหละ”
“บ้าเอ้ย ฉันกลับมาเตรียมขัดเกลากระดูกลําตัวให้เสร็จเพื่อไปหาเรื่องเขา ตอนนี้เจ้าหมอนี่กวาดขั้นสามของทางเหนือไปแล้ว แต่ประธานยังมอบภารกิจให้ฉันทําอีก ถ้าฉันแข็งแกร่งนะ ฉันจะจัดการหวังจินหยางซะ แล้วประธานจะเป็นรายต่อไป!”
“แค่กๆๆ”
ไม่กี่คนที่อยู่ข้างเขากระแอมทันที เตือนให้เหล่าฉันอย่าพูดจาเหลวไหล
หวังจินหยางเป็นศัตรู เขาจะพูดอะไรก็ได้ อย่างไรก็ตามประธานเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง แถมยังเป็นประธานชมรมวิถียุทธ
ถ้าประธานรู้เรื่องนี้ เขาคงสอนบทเรียนให้ฉินเฟิ่งชิงแน่
ในขณะเดียวกันหญิงสาวโกรธมาก เธอหันไปถลึงตามองเขา “ฉันจะเอาคําพูดของนายไปฟ้องประธานแน่!”
“เชิญเลย เธอรู้วิธีประจบดีนี่ ถ้าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประธาน ฉันทุบตีเธอไปแล้ว!”
“ฉินเฟิ่งชิง!”
หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอับอาย “นายหมายความว่ายังไง ฉันมีความสัมพันธ์กับประธานยังไง?”
ฉินเฟิ่งชิงอุ้ยปาก “เธอคิดว่าฉันตาบอดเหรอ? จ จิ้ พวกเธอสบตากันแลกเปลี่ยนความรู้สึก ฉันก็สังเกตเห็นทันที
“ฉันไม่รู้เธอใช้อะไรมอง เธอไปสนใจคนหน้าตาอัปลักษณ์อย่างประธานได้ไง?”
“แค่เพราะเขาเป็นขั้นสี่ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์หรอกนะ เลือกผู้ชายไม่ยอมเลือกผู้ชายหน้าตาดี ดันไปเลือกหน้าตาน่าเกลียด…”
“หุบปาก!”
คําพูดนี้ไม่ได้มาจากปากหญิงสาว ไม่ใช่สมาชิกชมรมหรือแม้แต่ประธานที่พวกเขาพูดถึง แต่มันมาจากอาจารย์ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆพวกเขา
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิ่งชิงพูดจาเหลวไหลขึ้นเรื่อยๆ เธอก็โกรธ “ฉินเฟิ่งชิง ดูอยู่เงียบๆไป เชื่อไหมถ้าฉันได้ยินเรื่องเหลวไหลจากปากคุณอีก ฉันจะโยนคุณออกไป!”
ฉินเฟิ่งชิงรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เขาก็หัวเราะแห้งๆ “โอเคๆ ผมหยุดแล้ว ถ้าผมเห็นว่าอาจารย์หมินอยู่ด้วย ผมคงไม่พูดหรอก”
“ใครล่ะจะไม่ทราบว่าอาจารย์หมิ่นประทับใจประธานของเรา”
หมิ่นเยว่มองเขาด้วยสีหน้าอันตราย “พูดต่อสิ!”
“อะแฮ่ม ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงสัมผัสถึงกลิ่นอายเป็นอันตราย เขานั่งตัวตรงทันที “นักศึกษาใหม่มาแล้ว!” เขาพูดจ ริงจัง
ทุกคนโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขาเปลี่ยนหัวข้อแล้ว
มันไม่สําคัญว่าเหล่าฉันจะขุดหลุมฝังตัวเองต่อไหม แต่ถ้าเขาพูดต่อ พวกเขาจะมีปัญหาตามไปด้วยน่ะสิ
เป็นอย่างที่ฉินเฟิ่งชิงพูด นักศึกษาใหม่กลุ่มใหญ่กําลังเดินเข้ามาในสนามแล้ว