โลกภายนอกพลุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เมื่อฟางผิงมาหลังเวที เพื่อนร่วมทีมเขาก็เปี่ยมไปด้วยความยินดีไม่ต่างกัน
หยางเสี่ยวม่านยิ้มกว้าง แปดมหาลัยพันธมิตรก็งั้นๆแหละ ความแข็งแกร่งของเว่ยปินไม่แน่ชัด แต่เฉินหงเหว่ยกับจางกว่างหลินเรารู้แล้ว
คนนึงจากมหาลัยครุศาสตร์หัวตง อีกคนจากมหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน
ความแข็งแกร่งของทั้งสองอย่างมากก็พอๆกับถังซ่งถิง…
เฮ้ย เลิกใช้ฉันเป็นเกณฑ์ได้แล้ว!
ถังซ่งถิงไม่ค่อยพอใจนัก เขาคิดในใจ ‘ทำไมฉันต้องเป็นเกณฑ์วัดความแข็งแกร่งของทุกคนด้วย’
ขณะที่พวกเขาคุยกัน ถังเฟิงก็เดินเข้ามาและคำรามเสียงทุ้ม อย่าประมาท!
จากนั้นเขาก็มองมาทางฟางผิง ฟางผิง พรุ่งนี้คุณขึ้นประลองเป็นคู่แรก!
ผม?
ฟางผิงประหลาดใจ แบบนั้น…มันจะเป็นการเปิดเผยไพ่ตายให้ทุกคนรู้ไหม?
มั่นใจตัวเองมากไม่ใช่เหรอ? คุณคิดจริงๆเหรอว่าคุณแข็งแกร่งที่สุดในโม๋อู่?
ถังเฟิงหัวเราะเยาะ อย่าดูถูกคนอื่นไป ประลองคู่แรกต้องชนะอย่างเหนือชั้น ถ้าคุณเก่งจริง งั้นก็เอาชนะทั้งห้าคนไปเลย ให้ฉันดูหน่อยว่าคุณมีคุณสมบัติได้คะแนนฟรีจริงไหม!
เมื่อฟางผิงได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าอาการใจแคบของถังเฟิงโผล่มาอีกครั้ง
ถังเฟิงไม่สนใจว่าฟางผิงจะรู้สึกอย่างไร เขาพูดต่อ ฟางผิงคนแรก ฟู่ชางติ่งคนสอง หยางเสี่ยวม่านคนสาม จ้าวเสวี่ยเหมยคนสี่ และจ้าวเหล่ยเป็นด่านสุดท้าย!
จ้าวเหล่ยอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็พูดออกมาไม่ได้
เขากังวลว่าเขาอาจไม่มีโอกาสได้ขึ้นประลองด้วยซ้ำ
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ ถ้าผมขึ้นเวที งั้นคนอื่นไม่มีโอกาสแสดงความสามารถแน่นอน อาจารย์ มันไม่ยุติธรรมกับพวกเขาเลย…
ถังเฟิงดูน่าเกลียด ‘เจ้าเด็กนี่ อวดดีไม่มีขีดจำกัด!’
ถังเฟิงหันหลังเดินกลับไป คร้านที่จะคุยกับเขาอีก ถ้าคุณชนะก็ดีไป แต่ถ้าคุณแพ้เพราะความประมาท ฟางผิง ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่คุณจะแบกรับไว้ได้!
ถังเฟิงพูดหนักไปหน่อย แต่ถ้าฟางผิงแพ้เพราะความประมาทและทำให้โม๋อู่เสียเปรียบในการประลองนัดแรก โม๋อู่จะสูญเสียไปนับหมื่นล้าน ฟางผิงย่อมแบกรับไม่ไหวจริงๆ
เข้าใจครับ!
เอาล่ะ ไปทำธุระของตัวเองเถอะ สองสามวันนี้ ถ้าไม่มีอะไรก็พยายามอย่าออกจากมหาลัย
สิ้นเสียงพูด ถังเฟิงก็เดินจากไปแล้ว
ทันทีที่ถังเฟิงหายลับสายตาไป ฟู่ชางติ่งก็อ้อนวอนไม่หยุด ฟางผิง อย่าเก็บคนเดียวหมดนะ อย่างน้อยก็เหลือให้ฉันสักสองคน
แล้วฉัน…
พวกนายคิดว่าพวกเขาเป็นแค่ผักกาดขาวจริงๆเหรอ?
ฟางผิงกลอกตามองบน คิดอยู่สักครู่ก่อนจะพูดต่อ ความแข็งแกร่งของเว่ยปินอาจไม่อ่อนแอ ถ้าเขาเป็นคนสุดท้าย งั้นฉันจะปล่อยให้พวกนายจัดการ ไม่งั้นฉันจะแสดงความแข็งแกร่งออกมาสักหน่อย
คงไม่ดีถ้าให้คนอื่นรู้ไพ่ในมือเราง่ายๆ
จิงอู่ต่างหากที่เป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริง ฉันจำเป็นต้องระวังหานซวี่
ฟางผิง ฉันละนับถือความมั่นใจของนายจริงๆ… จ้าวเสวี่ยเหมยกลั้นหัวเราะไม่ไหว ดูเหมือนฟางผิงจะเชื่อจริงๆว่าขอแค่เขาเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาสักหน่อย เขาจะจัดการคู่ต่อสู้ทั้งห้าได้
อยากคิดอะไรก็คิด ยังไงเสีย ฉันจะเหลือกากเดนให้เธอสักนิดนึง
ฟางผิงหัวเราะ แต่เวลานั้นโทรศัพท์เขาก็เกิดสั่นขึ้นมา
ฟางผิงเหลือบมองหมายเลขโทรศัพท์แวบนึงและรีบกล่าวออกมา ฉันยังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อนนะ
ไปเถอะ
…
ไม่กี่นาทีต่อมา
ณ ร้านอาหารตะวันตกแถวประตูหลักของโม๋อู่
ฟางหยวนจ้องมองฟางผิงด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ จากนั้นเธอก็พูด พี่ไปเป็นหัวหน้าทีมได้ยังไง?
อู๋จื้อเห่างงไม่ต่างกัน เขารีบพูดเสริม นั่นสิ นายพึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธได้ไม่นานไม่ใช่เหรอ? จู่ๆนายเป็นขั้นหนึ่งสูงสุดได้ไง? แถมยังกลายเป็นหัวหน้าทีมโม๋อู่อีก
ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธมา 4-5 เดือนแล้ว เป็นขั้นหนึ่งสูงสุดมันแปลกขนาดนั้นเลยรึไง?
ฟางผิงหัวเราะเบาๆ ไม่ว่ายังไง ฉันก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นเกลาสามครั้ง ไม่น่าแปลกหรอกที่ฉันจะก้าวหน้าเร็วกว่าค่าเฉลี่ยหน่อย แถมช่วงก่อน โม๋อู่มอบรางวัลให้ใจปล้ำมาก ฉันเลยได้ทรัพยากรมาบ้าง บรรลุถึงขั้นหนึ่งสูงสุดย่อมเป็นเรื่องปกติ
แล้วทำไมพี่ถึงเป็นหัวหน้าทีมได้ล่ะ…
ธรรมดา พี่เก่งที่สุด พี่ก็ต้องเป็นหัวหน้าทีมสิ เอาล่ะ พอได้แล้ว เลิกถามคำถามไร้สาระเถอะ
ทันใดนั้นฟางหยวนก็นึกถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยถามด้วยความรู้สึกเจือปนด้วยความกังวล พี่ มันอันตรายไหม?
ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นแค่การประลอง มันไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย อีกอย่างพี่ชายของน้องแข็งแกร่งมาก การประลองครั้งนี้ไม่มีคู่ต่อสู้หน้าไหนต่อกรกับพี่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก
งั้นหนูจะโทรบอกพ่อกับแม่…
ไม่ต้อง ไว้ค่อยคุยกันหลังประลอง ยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต อย่าพึ่งบอกเลย
ฟางหยวนพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก การประลองยุทธไม่เป็นอันตรายนัก
นักศึกษาประลองกระชับมิตรกัน แลกเปลี่ยนฝีมือกัน มันอันตรายตรงไหน?
เนื่องจากฟางผิงบอกให้เธอเก็บเป็นความลับ ฟางหยวนก็ไม่อยากละเมิดความตั้งใจเขา ยังไงเสียพอเธอกลับไป เธอก็บอกพ่อแม่ได้ตลอดเวลา
เวลานี้ทุกคนยังรับความจริงไม่ได้ที่ฟางผิงกลายเป็นนักศึกษาใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดของโม๋อู่
ระหว่างทานอาหาร ดูเหมือนทุกคนจะเหม่อลอยกันไปไกล
ตอนแรกตอนที่พวกเขาได้ยินข่าวว่าฟางผิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธไปแล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่ามันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่พรักพร้อมและสิทธิพิเศษที่โม๋อู่มีให้นักศึกษา
แต่ตอนนี้ฟางผิงเป็นตัวแทนโม๋อู่ขึ้นประลอง พวกเขาใช้คำว่าสิทธิพิเศษมาอธิบายไม่ได้แล้ว
ยังไงเสียโม๋อู่ก็มีผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนที่ไม่มีคุณสมบัติพอเข้าร่วมการประลอง
…
วันนี้ฟางผิงก็ไม่ได้ไปเดินเที่ยวกับน้องสาวและเพื่อนๆ
หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จ ฟางผิงก็กลับมหาลัยก่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประลองนัดแรกในวันพรุ่งนี้
…
ณ วันที่ 11 มกราคม
ตอนเช้า
โรงยิมโม๋อู่
ฟางผิงกับคนอื่นๆมากันแต่เช้า ผู้เข้าร่วมประลองได้รับการยกเว้นให้ไปนั่งกับปรมาจารย์บนชั้นสอง
ผู้ชมที่ซื้อตั๋วทยอยเข้ามาเต็มโรงยิม ระบบตั๋วเข้าชมอนุญาตให้ผู้ชมมาชมได้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายด้วยตั๋วใบเดียว
มหาลัยวิชายุทธขายตั๋วโดยไม่ได้หวังผลกำไร ที่เปิดให้ชมได้ 5000 คนนั้น มันเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
ถ้าพวกเขาขายตั๋วตามการประลอง ไม่เพียงแค่น่ารำคาญเท่านั้น มันยังเกิดปัญหาได้ง่ายอีก
ชั้นแรก
ตำแหน่งพิธีกรของหลิวหัวหรงถูกย้ายไปอยู่มุมหนึ่ง ไกลจากเวทีประลองตรงใจกลาง สถานการณ์บนเวทีประลองจึงเห็นได้อย่างชัดเจน แถมการประลองยังไม่ถูกขัดด้วย
บนชั้นสอง ฟางผิงเห็นฟางหยวนกับคนอื่นๆ เด็กสาวมองหาเขาไปรอบๆ แต่เด็กสาวก็ต้องผิดหวังที่ไม่พบพี่ชาย
ทีมจิงอู่กับพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธเวลานี้ยังไม่ได้อยู่บนเวที พวกเขาอยู่ที่หลังเวที
เว่ยปินกับคนที่เหลือนั่งอยู่อีกด้านนึงของฟางผิง
ก่อนที่การประลองจะเริ่ม ชั้นสองก็คึกคักกันแล้ว
ตอนแรกฟางผิงคิดว่าปรมาจารย์ล้วนเป็นประเภทลึกลับและเงียบขรึม
ไม่นานฟางผิงก็รู้แล้วว่าตัวเขาเข้าใจผิด
จิงอู่เจอกับพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธ ฮ่าๆ ได้เห็นการแสดงดีๆแล้วสิ ฉันไม่รู้ว่าจิงอู่จะส่งหานซวี่ขึ้นประลองไหม แต่ถ้าหานซวี่จัดการเด็กของนายหมด เหล่าเว่ย พวกนายไม่ควรวุ่นวายพูดเรื่องความไม่ยุติธรรมอีก
คนที่พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวงจิ่งแห่งโม๋อู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนจากพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธก็โต้กลับ ห่วงเรื่องตัวเองเถอะ โม๋อู่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสอง แต่แกขาดความแข็งแกร่งประเภทนี้ ตลอดหลายปีมานี้ แกก็ยังอาศัยแต่ข่าวเก่า ใครกันที่เสียหน้าตอนถูกหวังจินหยางจากหนานอู่กวาดผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งไปทั้งมหาลัย!
อะแฮ่ม อะแฮ่ม…
ผู้นำของมหาลัยวิชายุทธในเซี่ยงไฮ้หลายท่านกระแอมออกมาเบาๆ คำพูดเขาทำให้หลายคนรู้สึกจุก
ไม่ใช่แค่โม๋อู่ที่พ่ายแพ้ต่อหวังจินหยาง
อย่างไรก็ตาม โม๋อู่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงอับอายที่สุด พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเพื่อลดความอับอาย
หวงจิ่งยิ้มบางๆ อย่าเอาแต่ใช้ความผิดปกติมาโต้เถียง พอเปิดปาก นายก็พูดแต่ชื่อหวังจินหยาง พอปิดปากมันก็ยังเป็นชื่อหวังจินหยาง นายเข้าใจสถานการณ์ของเด็กคนนั้นไม่ชัดเจนอีกเหรอ?
แถมไม่ใช่ว่าไม่มีใครในโม๋อู่เอาชนะเด็กคนนั้นได้ มันก็แค่ไม่จำเป็น
เหอะเหอะ แบบนั้น ถ้าแกแพ้มันเป็นเพราะไม่จำเป็น แต่ถ้าแกชนะ มันเป็นแค่เรื่องปกติงั้นเหรอ?
จากนั้นจู่ๆคนจากจิงอู่โพล่งออกมา โม๋อู่คือโม๋อู่ จิงอู่คือจิงอู่ หวังจินหยางไม่ได้เปรียบในจิงอู่เลย พอเขาได้ยินว่าจางซู่กลับมา เด็กคนนี้ก็หนีไปทันที นายรู้ไหม เขาฉลาดไม่เบาเลยนะ
จิงอู่หัดพูดจาดูถูกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
จิงอู่ก็นะ อย่าขุดเอาเรื่องเก่าๆมาพูดดีกว่า หลายปีมานี้โม๋อู่มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง ถ้านายมีความสามารถจริง งั้นก็พิสูจน์ด้วยการกระทำซะ
…
ปรมาจารย์ไม่มีท่าทีเข้าข้างฝ่ายใด กลับกันพวกเขาต่างก็ต่อสู้เพื่อขุมพลังของตนเอง เป็นตัวแทนของขุมพลังของตน เวลานี้ พวกคุณสองคนถากถางฉัน งั้นพวกเราทั้งสองก็จะถากถางพวกคุณ
ฟางผิงฟังพวกเขาเถียงกันอย่างเพลิดเพลินจนเกือบลืมไปแล้วว่าการต่อสู้ข้างล่างกำลังจะเริ่มแล้ว
โชคดี กรรมการเป่านกหวีดขัดคำพูดพวกเขา
ล่างเวที การประลองเริ่มขึ้นแล้ว!
บนหน้าจอขนาดใหญ่ ปรากฏรายชื่อผู้เข้าประลองของแต่ละทีม
จิงอู่ : หานซวี่ หลี่หราน จางเจิ้งกวง…
พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธ : ซุนหมิงซวี่ ไป๋อิ่น…เฉินเจียเซิง
ทั้งสองฝ่ายต่างนำหัวหน้าทีมมาประลองนัดแรก เห็นได้ชัดว่าทุกฝ่ายต่างต้องการความมั่นคงในการประลองนัดแรก
เวลานี้ ไม่มีใครเข้าใจความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ หากพ่ายแพ้ในการประลองนัดแรก ขวัญกำลังใจก็จะลดลง ดังนั้นการส่งสมาชิกทีมที่แข็งแกร่งที่สุดจึงเหมาะสมยิ่ง
หัวหน้าทีมพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธออกมาในรอบแรก แถมเฉินเจียเซิงผู้ฝึกยุทธขั้นสองยังเป็นปราการด่านสุดท้าย มันอาจเป็นกลยุทธ์ป้องกันไม่ให้พวกเขาทั้งห้าพ่ายแพ้ในคราวเดียวจนทำให้เสียชื่อ
ฟางผิงกับพวกหันเหความสนใจไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจยอดยุทธระดับปรมาจารย์ถากถางกันอีก