World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 159 โม๋อู่ชนะ!

ตอนที่ 159 โม๋อู่ชนะ!

  เว่ยปินถูกหามลงจากเวที

  สามคนจากแปดมหาลัยพันธมิตรต่างก็โดนกระบวนท่าของฟางผิงเข้าไป แม้ว่าพวกเขาจะสภาพดูดีกว่าผู้บาดเจ็บตอนเช้า แต่ที่จริงแล้วพวกเขาบาดเจ็บกว่าไป๋อิ่นเสียอีก

  …

   เขาชนะสามตาติดแล้ว 

  ฟู่ชางติ่งอยู่หลังเวทีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

  ถ้าฟางผิงเอาชนะคู่ต่อสู้ห้าคนติด งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวที

  ทางทฤษฎี มันฟังดูไม่เลวเลย แต่หลังจากเตรียมตัวมานาน เหน็ดเหนื่อยแทบตาย แต่ดันไม่มีโอกาสได้ฉายแสง ใครจะไปรับได้!

  จ้าวเหล่ยยังคงเงียบ สีหน้าเขาบอกกลายๆว่าไม่สนใจ

  ฟางผิงอยากทำอะไรก็ทำไป อยากสู้ก็สู้ไป ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีอยู่แล้ว

  ยังมีอีกสามคนอยู่ก่อนเขา จ้าวเหล่ยมั่นใจมากว่าแปดมหาลัยพันธมิตรต่อกรกับทั้งสามไม่ได้แน่

  …

  ฟางหยวนนั่งอยู่ชั้นล่างด้วยสีหน้าโง่งม

  ฟางผิงแข็งแกร่งขนาดนี้เลย?

  ในสายตาของทุกคน ฟางผิงเอาชนะทีมคู่ต่อสู้ไปสามคนแล้วโดยแทบไม่ได้ออกแรงเลย

  การประลองสามรอบผ่านไป แต่เขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

   เขาไม่ได้โม้… 

  ฟางหยวนพึมพำ จากนั้นใบหน้าน้อยๆก็เผยรอยยิ้มออกมา  ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งเขาแข็งแกร่งก็ยิ่งดี… 

  …

  ในแถวหลัง อู๋จื้อเห่ามองหน้าคนอื่นๆสักพักก่อนจะพูดออกมา  ท่านปู่รองกวน(กวนเอ้อเย่)กลับชาติมาเกิด? 

  (ผู้แปล : เป็นอีกหนึ่งชื่อไว้เรียกกวนอู)

  ฉากฟางผิงถือดาบฟ่งจุ่ยวาดออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขานึกถึงท่านปู่รองกวน

  หลิวรั่วฉีพูดแก้  มันคือดาบฟ่งจุ่ย เป็นดาบที่ฮองตงเคยใช้ ไม่ใช่กวนกง(ท่านกวน) 

  (ผู้แปล : เป็นเทพนามของกวนอู)

   เธอจริงจังอยู่เรื่อย… 

  อู๋จื้อเห่าไม่ได้พูดอะไรกับเรื่องนี้ แต่จากนั้นเขาก็บ่นออกมา  เจ้าหมอนี่เทพเกินไปแล้ว! 

   เขาแข็งแกร่งมาก! 

  ไม่มีใครคัดค้าน ฟางผิงแข็งแกร่งจริงๆ ไม่งั้นต่อให้เขาฟื้นฟูปราณและเลือดเองได้ เขาก็คงเอาชนะคู่ต่อสู้สามคนติดง่ายๆแบบนี้ไม่ได้หรอก

  …

  บนเวทีประลอง ฟางผิงกลืนเม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งไปอีกสองเม็ด

  ระหว่างการประลองสามรอบ เขากินยาไปหกเม็ดแล้ว เม็ดยาของเขาถูกใช้ไปจนหมด

  แต่เขายังมีเม็ดยาระดับสามัญเหลืออีกเพียบ แถมยังมีเม็ดยาขั้นสองอีกสี่เม็ด

   มันสูญเปล่า 

  ฟางผิงพึมพำอุบอิบ เม็ดยาที่เขาทานไปสูญเปล่าอย่างแท้จริง ประโยชน์เดียวของมันคือปราณและเลือดเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ซึ่งช่วยให้เขาขัดเกลากระดูกและเส้นเลือดลม

  จางจิ่งต่งจากแปดมหาลัยพันธมิตรก้าวขึ้นมาบนเวทีด้วยความรู้สึกกระสับกระส่าย

  ไม่ใช่ว่าพวกเขาใจไม่สู้

  แต่คู่ต่อสู้ดันโกงเกินไป แล้วพวกเขาจะสู้ยังไง?

  ประลองไปสามรอบ ปราณและเลือดของฟางผิงก็กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

  คำพูดของอาจารย์แล่นเข้ามาในหัวของจางจิ่งต่ง แม้ว่าปราณและเลือดของฟางผิงจะฟื้นฟู แต่เขาก็เหนื่อยจากการต่อสู้ ร่างกายมีขีดจำกัด

  แม้ว่าแปดมหาลัยพันธมิตรจะถูกกำหนดให้พ่ายแพ้ แต่พวกเขาจะพ่ายแพ้เพราะฟางผิงตัวคนเดียวไม่ได้!

  ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะแล้ว ถ้าพวกเขาห้าคนถูกคนๆเดียวจัดการ แปดมหาลัยพันธมิตรจะเอาหน้าไว้ที่ไหน!

  …

  จางจิ่งต่งจดจำคำพูดของอาจารย์ไว้ในใจ นอกจากนี้เขายังเปลี่ยนอาวุธเป็นพลองอัลลอยคลาสดีที่อาจารย์พึ่งให้มา

  เมื่อเขาขึ้นมาบนเวที เขาก็เริ่มตั้งท่าป้องกันอย่างสุดความสามารถ!

  เป้าหมายเขาคือผลาญกำลังกายของฟางผิงให้หมด!

  มันก็ถูกที่ปราณและเลือดช่วยเพิ่มกำลังกายให้ได้ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้เหมือนกัน

  เวลานี้ สิ่งที่เขาต้องทำคือผลาญกำลังกายของฟางผิง!

  แต่เขาไม่เร็วเท่าฟางผิง!

  ขณะที่เขาถอยห่าง ฟางผิงก็ควงดาบฟันจากบนลงล่าง

  จางจิ่งต่งกัดฟันรับไว้ จากนั้นก็ก้าวถอยหลบเลี่ยง

  แต่ฟางผิงไล่ตามอีกฝ่ายอย่างไร้ปราณี

  เมื่อตามทัน ฟางผิงก็ไม่รอช้า เงื้อมดาบขึ้นมาฟันทันที

  จางจิ่งต่งโต้กลับ แต่ฟางผิงก็ไม่เกรงใจ โดนโต้กลับมาทีนึง ฟางผิงก็สวนกลับไปดาบนึง

  …

   ปราณและเลือดฟางผิง…แม้ว่าจะไม่ได้ฟื้นฟู แต่มันก็สูงกว่า 300แคลเสียอีก 

  หลิวหัวหรงถอนหายใจ เฉินเสวี่ยเยี่ยนกล่าวด้วยบรรยากาศจริงจัง  มันไม่ใช่แค่นั้น อาจสูงถึง 320แคลด้วยซ้ำ 

   ฉันไปสอบถามเรื่องฟางผิงมาแล้ว เขาขัดเกลาสามครั้ง! 

   ขัดเกลาสามครั้ง? 

  หลิวหัวหรงประหลาดใจในตอนแรก จากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว  พอมองย้อนกลับไป มันก็สมเหตุสมผล ว่ากันว่าคนที่ขัดเกลาสามครั้งหมายถึงคนๆนั้นจะมีปราณและเลือดมากกว่า 200แคลในขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธ มีแต่เตรียมผู้ฝึกยุทธที่บรรลุถึงขั้นนี้เท่านั้นถึงบอกได้ว่าขัดเกลาสามครั้ง! 

   คนนอกอาจไม่รู้เรื่องแบบนี้มากนัก ทุกท่านแค่ต้องรู้ว่าผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้งจะมีปราณและเลือดสูงกว่า กระดูกที่แข็งแกร่งกว่าคนในระดับขั้นเดียวกัน

   ทุกท่านอย่าผลีผลามทำตาม ในประเทศจีนที่ใหญ่โต ปีนึงมีคนบรรลุขัดเกลาสามครั้งไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องพยายามขัดเกลากระดูกมากกว่าหนึ่งครั้ง 

  หลิวหัวหรงจบคำอธิบายด้วยคำเตือน

  ถ้าพวกเขาต้องค่อยๆเปิดเผยทุกอย่างต่อสาธารณะ พวกเขาก็ควรให้ข้อมูลที่ประชาชนไม่เข้าใจอย่างเหมาะสม

  ตัวอย่างเช่น การขัดเกลากระดูกสามครั้ง…

  แต่ก่อนเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อสาธารณะ แต่ตอนนี้ปล่อยให้พวกเขารู้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย

  เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ผู้ชมด้านล่างก็ส่งเสียเอะอะเกรียวกราว

  หลายคนพึ่งรู้เลยว่า ในขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธจะสามารถสั่งสมปราณและเลือดได้สูงถึงเพียงนั้น!

  แม้ว่าจะผ่านไปสักพัก ถานเจิ้นผิงก็ยังไม่ได้สติกลับมา

  เตรียมผู้ฝึกยุทธที่มีปราณและเลือดสูงกว่า 200แคล?

  งั้นตัวเขา ผู้ฝึกยุทธที่มีปราณและเลือด 250แคลยังถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดอีกเหรอ?

  นอกจากนี้ ผู้ฝึกยุทธที่ขึ้นประลองที่เขาเห็นในวันนี้ ไม่มีคนไหนเลยที่มีปราณและเลือดต่ำกว่าเขา! ไม่สิ ทุกคนมีปราณและเลือดสูงกว่าเขาหมดเลย!

  แถมพลังที่ระเบิดออกมาจากกระบวนท่าพวกเขายังน่าสิ้นหวังมาก พวกเขาสามารถสังหารเขาได้ในกระบวนท่าเดียว!

  …

  สถานการณ์บนเวทีทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง

  จางจิ่งต่งเสียพลองยาวไปแล้ว มือเขาชุ่มโชกด้วยเลือด แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ตอนนี้เขากำลังวิ่งวนรอบเวทีประลองด้วยเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด

   แฮ่ก… 

  ผู้ชมบางคนที่อยู่แถวหน้าถึงกับได้ยินเสียงเขาหอบหายใจอย่างหนัก

  จางจิ่งต่งไม่สนใจภาพลักษณ์แล้ว บางครั้งเขาก็เกลือกกลิ้งบนพื้นเพื่อหลบการโจมตีของฟางผิง บางครั้งเขาก็กระเด็นหลุดนอกเวทีไป แต่ในกรณีนั้นเขาจะคว้าขอบสนามไว้และและกลับมาเล่นวิ่งไล่จับกับฟางผิงต่อ

  ชุดฝึกวิชาที่สวมอยู่มีแต่รอยขาดวิ่น เลือดไหลออกจากมุมปาก กล้ำกลืนกลับไปไม่ไหว

  ฟางผิงมีเม็ดเหงื่อเกาะหน้าผากเล็กน้อย เขาต้องพักสักครู่ เขาเร็วกว่าอีกฝ่ายน่ะถูก แต่อีกฝ่ายละทิ้งการป้องกันวิ่งหนีไปรอบสนามเต็มความสามารถ

  กลับกันฟางผิงต้องปลุกปลอบสมาธิ กันไม่ให้อีกฝ่ายโจมตีกลับกะทันหัน เมื่อเทียบกันแล้ว อีกฝ่ายใช้สมาธิน้อยกว่าเขา

  หลังไล่ล่าไปสักพัก ฟางผิงก็พูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด  ถ้านายไม่ยอมแพ้ตอนนี้ นายได้ตายแน่! 

  เขาพูดไม่ผิด จางจิ่งต่งโดนเขาโจมตีหลายกระบวนท่า บาดแผลตามร่างกายมากมาย หากเขายังไม่ยอมแพ้ นับแค่เลือดออกอย่างเดียว เขาก็ต้องตาย

  จางจิ่งต่งสีหน้าซีดลง แต่เขาก็ยังหลบเลี่ยงฟางผิงโดยไม่พูดอะไรสักคำ

  ปรมาจารย์จากแปดมหาลัยพันธมิตรถอนหายใจเฮือกใหญ่จากที่นั่งชั้นสอง  ยอมแพ้ 

  จางจิ่งต่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตนแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นเสียชีวิตกลางเวทีได้เลยหากไม่ยอมแพ้ เหมือนที่ฟางผิงพูดไว้

  หลังปรมาจารย์เอ่ยยอมแพ้แทนเขา จางจิ่งต่งก็หมดกำลังใจ เขาล้มลงกับพื้นเสียงดัง ‘โครม’

  เจ้าหน้าที่ทางแพทย์หลายคนขึ้นมาบนเวทีเพื่อหามเขาลงไป

  กรรมการมองฟางผิงด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาถามเสียงดัง  ฟางผิง สู้ต่อไหม? 

  ฟางผิงล้วงกระเป๋ากางเกง จากนั้นเขาก็พูดอย่างอายๆ  ไม่ครับ ผมจะให้โอกาสคนข้างหลังผมบ้าง 

  ยอดยุทธบนชั้นสองมีสายตาเฉียบแหลม มีคนหัวเราะออกมาเกือบจะในทันที  เขายาหมดแล้ว! 

   เขากินยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งไปหกเม็ด บางทีมันคงเป็นขีดจำกัดเขาแล้ว 

   ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งค่อนข้างอ่อนแอ บางทีมันอาจเป็นขีดจำกัดแล้วจริงๆ 

   แบบนี้แหละดีแล้ว ถ้าเขาประลองต่อ แปดมหาลัยพันธมิตรคงไม่เหลือหน้าแล้ว 

   ฉันคิดอีกอย่าง บางทีเจ้าหนูนี่คงกลัวตกเป็นเป้าความไม่พอใจของตาแก่ไร้ยางอายหลายๆคน… 

  มีคนพูดหยอกล้อ ไม่มีใครคิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ถังเฟิงพึมพำเบาๆ  เจ้าเด็กนี่ปลิ้นปล้อนมาก ยาอาจยังไม่หมด 

  ฟางผิงจะก้าวขึ้นเวทีโดยไม่ได้เตรียมพร้อมงั้นเหรอ?

  ถ้าฟางผิงบอกยาหมด ตัวเขาถังเฟิงนี่แหละเป็นคนแรกที่ไม่เชื่อคำพูดของฟางผิง!

  ในสายตาเขา ฟางผิงเป็นตัวแทนของความกลับกลอกปลิ้นปล้อน

  การที่เขายอมแพ้กะทันหันอาจเป็นอย่างที่คนเมื่อกี้พูด เป็นการไว้หน้าแปดมหาลัยพันธมิตร

  ยังไงเสียพันธมิตรก็ประกอบด้วยมหาลัยชั้นสองแปดมหาลัย พวกเขามีปรมาจารย์มากกว่าสิบคน

  ถ้าฟางผิงย่ำยีสมาชิกทีมทั้งห้าด้วยตัวคนเดียว ต่อให้ปรมาจารย์ไม่รู้สึกแค้นเขา แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

  เขาเอาชนะคู่ต่อสู้สี่คนไม่เพียงแต่เป็นการแสดงฝีมือเท่านั้น มันยังแสดงให้เห็นอีกว่าเขารู้จักหยุดเมื่อสมควรหยุด

  …

  ฟางผิงเดินลงจากเวทีอย่างสบายๆ

  เขาใช้ปราณและเลือดไปมหาศาล แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ผู้เข้าประลองเพียงคนเดียวที่ก้าวลงจากเวทีโดยไม่มีอาการบาดเจ็บคือฟางเหวินเสียง ผู้ที่ขึ้นสังเวียนเป็นคนสุดท้ายของจิงอู่

  ฟู่ชางติ่งเดินมาหาเขา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า  ในที่สุดนายก็ลงมา! 

  ‘ในที่สุดก็ถึงตาฉันแสดงฝีมือ!’

  ฟางผิงเอ่ยเตือน  อย่าผลีผลาม คนสุดท้ายของทีมย่อมเอาชนะไม่ได้ง่ายๆ 

   เว่ยปินก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน แต่ฉันแค่แข็งแกร่งกว่า 

  ฟู่ชางติ่งกรอกตามองบน เขาแบกหอกเดินขึ้นเวทีโดยไม่ลดตัวมาตอบ อีกด้านหนึ่ง ไช่ชิงไห่จากแปดมหาลัยพันธมิตรก็เดินขึ้นมาด้วยสีหน้าทั้งเศร้าทั้งฮึกเหิม

  ทั้งทีมเหลือเขาอยู่คนเดียว

  ไม่มีใครให้กำลังใจเขาได้!

  อีกสี่คนถูกส่งไปห้องพยาบาลแล้ว

  …

  หลังเวที

  เมื่อฟางผิงเดินกลับมา ไป๋รั่วซีก็ยิ้ม  เธอกินยาไปหมดแล้วจริงสิ? 

   ครับ หมดแล้วจริงๆ! 

  ฟางผิงร้องทุกข์  มหาลัยให้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งผมมาแค่ 5 เม็ด ผมใช้ไปหมดแล้ว แถมยังต้องควักกระเป๋าใช้ของตัวเองด้วย อาจารย์ไป๋ มหาลัยต้องจ่ายคืนด้วย ไม่งั้นผมก็ไม่ไหวนะ 

   ถ้ามหาลัยให้ยาผม 20 เม็ด ผมจะจัดการทั้งทีมจิงอู่! 

   ถ้ามหาลัยให้ผม 10 เม็ด ผมจัดการได้มากสุดสี่คน… 

   ถ้าไม่ให้เลย ผมจัดการได้แค่คนเดียว อย่างที่อาจารย์เห็น ปราณและเลือดผมลดเร็วมาก 

  ก่อนที่ไป๋รั่วซีจะได้พูดอะไร ถังเฟิงที่พึ่งมาถึงก็แค่นเสียง  เพ้อฝัน! 

   อาจารย์ถังไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยเหรอ? ผมอยู่ที่นี่ ต่อสู้เพื่อโม๋อู่ โม๋อู่คงไม่ให้ผมไปเสี่ยงชีวิตโดยให้ผมใช้ทรัพยากรของตัวเองจนหมดหรอกใช่ไหม? 

   ผมมาจากครอบครัวยากจน ไม่เหมือนจ้าวเหล่ย ไม่เหมือนหยางเสี่ยวม่าน 

   พ่อแม่ผมเป็นคนธรรมดาทั้งคู่ พวกท่านทำงานทั้งวันทั้งคืนเพียงเพื่อให้ผมเข้ามหาลัยวิชายุทธ พวกท่านอายุ 50 แต่แก่กว่าคนอายุ 60 เสียอีก… 

   ผมเป็นตัวแทนของมหาลัย แต่มหาลัยไม่ชดเชยยาให้ผม… 

  ฟางผิงเศร้าเสียใจ!

   โม๋อู่จะปฏิบัติต่อนักศึกษายากจนที่มีส่วนช่วยเหลือมหาลัยแบบนี้ได้อย่างไร? 

  ทุกคนในทีมโม๋อู่รู้สึกอักอ่วน เขาพูดไม่ผิด

  ฟางผิงจัดการคู่ต่อสู้สี่คนติด ทำให้พวกเขาไม่ต้องเหนื่อย แม้ว่าพวกเขาจะเสียโอกาสฉายแสง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ประหยัดยา

  ในเมื่อเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญ โม๋อู่ก็ควรชดเชยให้เขามากกว่านี้จริงๆ

  ถังเฟิงพูดไม่ออก จากนั้นสักครู่เขาก็กล่าว  เดี๋ยวเราจะมอบยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งให้คุณ 5 เม็ด… 

   ห้า? 

  ฟางผิงเศร้าเสียใจ คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด  ห้าเม็ดไม่ใกล้เคียงกับคำว่าพอเลย! เรายังต้องประลองอย่างน้อยสองรอบ… 

   คุณจะได้เป็นด่านสุดท้าย! 

  ถังเฟิงแค่นเสียง ฟางผิงแข็งแกร่ง แต่ก็โลภเช่นกัน!

  ความแข็งแกร่งของทั้งสี่ทีมถูกแสดงออกมาแล้ว พวกเขาจัดลำดับทีมได้ใหม่ การส่งฟางผิงเป็นด่านสุดท้ายหมายความว่าเขาจะขึ้นเวทีประลองน้อยลง

  แถมยังไม่อาจปล่อยให้สมาชิกคนอื่นๆของโม๋อู่เป็นผู้ชมได้นานกว่านี้ นั่นมันขัดกับจุดประสงค์เดิมของพวกเขา

  ฟางผิงเม้มปาก

  ถ้าเขาขึ้นเวทีประลองเป็นคนสุดท้าย เม็ดยาห้าเม็ดก็ค่อนข้างเยอะแล้ว

  ขณะที่พวกเขาคุยกัน พวกเขาก็ไม่ได้ลืมสังเกตการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

  …

  บนเวทีประลอง

  ฟู่ชางติ่งโกรธมากจนแทบกระอักเลือด!

   บัดซบ ทำไมแกไม่เป็นหัวหน้าทีม? 

   เว่ยปิน ไอ้คนหลอกลวง! 

  ฟู่ชางติ่งโกรธมากจริงๆ

  ไช่ชิงไห่แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด!

  ขั้นว่างเปล่า! เจ้าหมอนี่บรรลุขั้นว่างเปล่าอีกคน!

  นอกจากนั้น ไช่ชิงไห่ยังไม่ได้ใช้อาวุธ ใช้แต่เพลงเตะเท่านั้น!

  ปราณและเลือดที่ระเบิดจากเพลงเตะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าฟางผิง เพลงเตะแต่ละกระบวนระเบิดพลังอย่างน้อย 60แคล ฟู่ชางติ่งเผลอไปเล็กน้อย เป็นผลให้หอกเขากระเด็นไปด้วยลูกเตะเดียว แขนเขาแทบหักจากเพลงเตะนี้!

  ฟู่ชางติ่งโกรธจัด เขาใช้หอก นั่นน่ะถูกต้อง แต่คนส่วนใหญ่คงลืมไปแล้วว่า ตอนเขาฝึกวิชาหอก เขาก็ฝึกเพลงเตะควบคู่กันไปด้วย!

  ไช่ชิงไห่เก่งกาจไม่เบา แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอ

  หลังเสียหอกไป ฟู่ชางติ่งเหมือนจะหมดภาระ เขาเริ่มประชันเพลงเตะกับไช่ชิงไห่!

  ทั้งสองฝ่ายกัดกันไม่ปล่อย พวกเขาใช้ขาแทนอาวุธ ประสานแข้งกันครั้งแล้วครั้งเล่า

  ฟางผิงที่อยู่หลังเวทีอดลูบขาตัวเองไม่ได้ เขารู้สึกพูดไม่ออก  ไม่เจ็บรึไงนั่น? 

   ฟู่ชางติ่งหน้าเขียวแล้ว นายคิดว่าจะไม่เจ็บรึไง? 

  ถังซ่งถิงพูดติดตลก  เขาจะแพ้ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ ถ้าเขาเอาชนะคนเดียวยังไม่ได้ทั้งๆที่นายพึ่งชนะไปสี่คน ชื่อเสียงเขาคงย่อยยับ เจ้าหมอนี่ถือดี ต่อให้ขาหักก็คงไม่ยอมแพ้ 

  หยางเสี่ยวม่านเบื่อหน่าย  ไช่ชิงไห่ไม่เลว แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ฟู่ชางติ่งแพ้ ปราณและเลือดของเขาก็คงหมด ฉันไม่เชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นอีกคนที่ฟื้นสภาพกลับมาจุดสูงสุดหลังกินยาไปสามวิ 

  ไช่ชิงไห่ค่อนข้างมีฝีมือ ฟู่ชางติ่งอยู่ในทีมไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะอ่อนแอ

  ช่วงกำหนดสาขาตอนมหาลัยเปิดใหม่ เขาทำให้ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ

  ช่วงทำภารกิจ แม้ว่าเขาจะมีสาวๆเครื่องประดับติดสอยห้อยตามไปด้วย แต่เขาก็ทำคะแนนได้มากกว่าหยางเสี่ยวม่าน

  คนแบบนี้จะอ่อนแอไปได้อย่างไร?

  แต่ไช่ชิงไห่บีบบังคับให้ฟู่ชางติ่งทำลายภาพลักษณ์ของตัวเอง นั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว

  เวลานี้ทั้งสองฝ่ายกำลังวัดกันระหว่าง ปราณและเลือด จิตตานุภาพ และการทนต่อความเจ็บปวด

  คนไหนทนไม่ไหวก่อนจะเป็นผู้แพ้

  โชคดีปราณและเลือดของผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งมีขีดจำกัด แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ระเบิดปราณและเลือดเต็มกำลัง แต่หลังจากแลกเปลี่ยนเพลงเตะกันมากกว่าสิบกระบวน ปราณและเลือดของไช่ชิงไห่ก็หมดไปก่อน

  เขาใช้เพลงเตะปัดหอกฟู่ชางติ่งทิ้งไปตอนแรก เขาจึงใช้ปราณและเลือดไปมากกว่า

  …

  ไม่กี่นาทีต่อมา ฟู่ชางติ่งก็เดินกลับมาหลังเวทีด้วยสีหน้าภูมิใจ

   ฉันชนะ! 

   อืม 

   ไม่เลว 

   แค่เส้นทางสั้นๆ ทำไมนายถึงใช้เวลาเดินนานขนาดนี้? 

   เหล่าฟู่ นายไม่เจ็บเหรอ? 

   … 

  ฟู่ชางติ่งสีหน้าเรียบเฉย  ไม่เป็นไร มันแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย 

  จู่ๆฟางผิงก็เตะเข้าที่หน้าแข้งของฟู่ชางติ่ง ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ฟู่ชางติ่งก็ทรุดลงกับพื้นครวญครางเสียงดัง

  ฟางผิงอาย เขาพูดแห้งๆ  นายจะโทษฉันใช่ไหม? 

   อ้าก! โคตรเจ็บ! ฟางผิงลอบโจมตีฉัน ไร้ยางอายมาก! 

  ฟูชางติ่งยอมตายดีกว่าที่จะยอมรับว่าเขาเหลือแรงเฮือกสุดท้ายแล้ว ดังนั้นเขาจึงยืนกรานว่าฟางผิงลอบโจมตีเขาจนเขาบาดเจ็บอย่างหน้าด้านๆ

  ทุกคนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ สีหน้าฟางผิงก็ดูอึมครึมเช่นกัน เจ้าหมอนี่โทษฉันจริงๆด้วย!

  ด้านนอก เสียงกรรมการประกาศ  โม๋อู่ชนะ!  ดังก้องไปทั่วโรงยิม

  หลังการประลองรอบบ่ายจบลง ฟางผิง หัวหน้าทีมโม๋อู่ก็กลายเป็นจุดสนใจ ชื่อของฟางผิงถูกสลักลงในความทรงจำของทุกคนเป็นครั้งแรก

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท