หลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านสองวัน ฟางผิงก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ
ขณะที่ฟางผิงกำลังผ่อนคลาย ฟางหยวนยุ่งมากจนหัวหมุน
บางครั้งฟางผิงก็สงสัย ระหว่างเขากับฟางหยวน ใครกันแน่ที่เป็นประธานบริษัท?
โทรศัพท์ของฟางหยวนดังไม่หยุด!
เจ้หยวนหยวน ได้เวลาประชุมแล้ว!
เจ้หยวนหยวน ช่วยพิจารณาข้อเสนอนี้หน่อยสิ ฉันวางแผนตั้งแผงลอยตอนปีใหม่…
เจ้หยวนหยวน…
ในฐานะเจ้ใหญ่ ฟางหยวนยุ่งมาก!
เมื่อคุยสายนึงจบ ก็มีอีกสายโทรเข้ามาต่อทันที
…
ฟางผิงนอนดูโทรทัศน์และเฝ้าดูฟางหยวนยุ่งจนหัวหมุน เขาเริ่มรู้สึกกังขากับชีวิต
ฟางหยวน ธุรกิจของน้องไม่มากไปหน่อยเหรอ?
ฟางหยวนรับโทรศัพท์จนมือเป็นระวิง เธอไม่มีเวลามาคุยกับพี่ชาย เธอแค่โบกมือปัดราวกับเธอยุ่งเกินกว่าจะมาตอบเขา
อื้อ หือ!
ฟางผิงขบขัน ดูทำเข้า!
เมื่อเธอวางสาย ฟางผิงก็ปั้นหน้าเป็น‘พี่ชาย’และกำลังสั่งสอนบทเรียนเธอ แต่แล้วโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง สมาชิกสมาคมหยวนผิงโทรมาสวัสดีปีใหม่เล็ก!
(ผู้แปล : ปีใหม่เล็ก หรือ ตรุษจีนเล็ก คือ วันก่อนตรุษจีน 1 อาทิตย์)
ฟางผิงรู้สึกแทบกระอักเลือด ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันที่ 23 เดือน 12 ของปฏิทินจันทรคติ พวกเขากำลังฉลองปีใหม่เล็กที่เมืองหยางเฉิง
ฟางหยวนมีคนอวยพรปีใหม่ แต่เขายังไม่มีสักคน!
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่พักหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางผิงก็โทรหาฟางหยวน สายโทรติด แปลว่าเงินยังไม่หมด
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดว่าฟางหยวนมีคนอวยพรปีใหม่ แต่เขาไม่มี มันจึงทำให้ฟางผิงรู้สึกจำใจ เขาปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไม่ได้
ฟางผิงเริ่มส่งข้อความสวัสดีปีใหม่เองด้วยความรู้สึกหมดหนทาง เขาส่งไปให้อาจารย์ ให้เหล่าหวัง ให้ถานเจิ้นผิง…
หลังส่งไป หลายข้อความ ในที่สุดฟางผิงก็ได้รับข้อความตอบกลับมา
คนที่พิมพ์ข้อความตอบกลับมาเป็นถานเจิ้นผิง ดูข่าวของหนานเจียง
ดูข่าว?
ฟางผิงงุนงงเล็กน้อย แต่เขาก็รีบเปลี่ยนไปดูช่องทีวีหนานเจียง
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สำเร็จราชการจางเดินทางไปดูงานแต่ละเทศมณฑลแต่ละเมือง เพื่อทำการประเมิน…
ในข่าว ผู้ประกาศข่าวหน้าตาดีกำลังอ่านข่าวดูงานของผู้สำเร็จราชการจาง
หลายวันมานี้ ผู้สำเร็จราชการจางนำทีมไปดูงานของมณฑลหนานเจียง เขาไปเยี่ยมแต่ละเทศมณฑลแต่ละเมือง แม้แต่เมืองหยางเฉิงก็มา แต่เวลานั้นฟางผิงไม่ได้อยู่บ้าน
จากข่าว ผู้สำเร็จราชการจางไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมวิชายุทธในหนานเจียงมากนัก
เขาได้ทำการประเมินบางอย่าง
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ การก่อตั้งผู้ฝึกยุทธทีมต่อสู้ในแต่ละมณฑลและแต่ละเมือง
ตามความเข้าใจของฟางผิง มันเป็นผู้ฝึกยุทธกองหนุน
นครระดับจังหวัดจะก่อตั้งทีมต่อสู้ที่มีผู้ฝึกยุทธไม่น้อยกว่า 30 คน
ส่วนนครระดับเทศมณฑลจะก่อตั้งทีมต่อสู้ที่มีผู้ฝึกยุทธไม่น้อยกว่า 5 คน
ตั้งแต่ปี 2009 ทุกเมืองทุกเทศมณฑลจะจัดงานประลองยุทธเป็นประจำ พร้อมกับแบ่งสรรเงินทุนเพื่อการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน…
อนาคต เงินอุดหนุนจากรัฐบาลทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับผลของการประลอง
นอกจากนี้ยังมีการประเมินเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่มเติม ซึ่งเป็นงานของทีมผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้ท้องถิ่น
แปลว่า…ผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้กำลังจะถูกผลักดันจริงๆเหรอ?
หลังดูข่าวสักพัก ฟางผิงก็คิ้วขมวด มันเป็นแค่การปฏิรูปหนานเจียง หรือปฏิรูปทั้งประเทศ?
ถ้าเป็นแค่เขตหนานเจียง งั้นมันอาจเกี่ยวข้องกับผู้สำเร็จราชการจาง
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นทั้งประเทศ การคัดเลือกผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้ในหมู่ประชาชนล่วงหน้าเพื่อเติมเต็มกำลังคนที่ลดลง มันก็แปลว่าสถานการณ์ในถ้ำใต้ดินไม่สู้ดีนัก
แต่การออกคำสั่งให้มีผู้ฝึกยุทธทีมต่อสู้ ต้องรู้ก่อนว่าในท้องถิ่นมีผู้ฝึกยุทธไม่กี่คนเท่านั้น
ยกตัวอย่างเมืองหยางเฉิง มีผู้ฝึกยุทธราว 20-30 คน
ครึ่งนึงเป็นคนของรัฐบาล อีกครึ่งทำธุรกิจ จะมีผู้ฝึกยุทธอาสาเข้าทีมต่อสู้แค่ไหนเชียว?
ตอนนี้เบื้องบนบังคับใช้อย่างจริงจัง แม้จะต้องนำไปรวมกับการแบ่งสรรเงินอุดหนุนของรัฐบาลก็ตาม
ไม่ว่าคุณจะต่อต้านมากแค่ไหน คุณก็ต้องก่อตั้งผู้ฝึกยุทธทีมต่อสู้
เมืองระดับเทศมณฑลยังไม่มีปัญหา เพราะมาตรฐานคือขั้นต่ำห้าคน แต่นครระดับจังหวัดต้องมีมากกว่า 30 คน
มณฑลหนานเจียงที่เดียวก็มีเมืองระดับเทศมณฑลมากกว่าร้อยเมือง และมีนครระดับจังหวัดมากกว่าสิบเมือง
เมื่อรวมเข้าด้วยกัน เช่นนั้นหนานเจียงก็อาจมีผู้ฝึกยุทธพร้อมต่อสู้มากกว่าพันคน
เมื่อเห็นแบบนั้น ฟางผิงก็โทรหาถานเจิ้นผิง
ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย ถานเจิ้นผิงก็ถาม เธอเห็นข่าวแล้วใช่ไหม?
อืม ผมเห็นข่าวแล้ว ลุงถานอยากให้ผมเห็นข่าวเหรอ…
ก่อนถึงปีใหม่ เมืองหยางเฉิงต้องตั้งผู้ฝึกยุทธทีมต่อสู้ด้วยเช่นกัน
แต่เมืองหยางเฉิงมีผู้ฝึกยุทธเท่าไหร่เชียว?
ยิ่งกว่านั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปเหมือนลุง ต่อให้พวกเขามาร่วมด้วย พวกเขาก็ทำได้แค่ยืนรอความตายอย่างไร้ค่า
ที่จริงเอกสารฉบับนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว เมืองหยางเฉิงก็หารือเรื่องนี้กันแล้ว
เมืองหยางเฉิงมีผู้ฝึกยุทธน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นวัยชรา ความตั้งใจของเมืองหยางเฉิงเราคือ ดูว่าเราจะดึงตัวผู้ฝึกยุทธจากภายนอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมต่อสู้ได้ไหม
ฟางผิง เธอสนใจไหม?
ผม?
ฟางผิงหัวเราะ ลุงถาน ผมยังมีเรียน…
มันไม่กินเวลาของเธอมากหรอก เมื่อมีการประลอง เธอก็แค่ต้องกลับมาเป็นตัวแทนประลองของเมืองหยางเฉิง
พวกเขาเป็นพี่น้องเมืองเดียวกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่แค่ระดับกลางๆ…
ลุงถาน อาจเป็นไปไม่ได้ คาบเรียนของมหาลัยค่อนข้างเคร่ง เวลาก็ค่อนข้างแน่น…
ที่หยางเฉิง หาผู้ฝึกยุทธห้าคนเป็นไปไม่ได้เลยเหรอ?
ปัญหาคือ…ไม่มีสักคนที่สู้ได้…
ถานเจิ้นผิงพูดความจริงด้วยความรู้สึกจนปัญญา
เมืองใหญ่ขนาดหยางเฉิง ปัจจุบันไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนเลยที่สู้ได้
มันเห็นได้จากกรมสืบสวน ตอนคดีหวงปิน พวกเขาไปขอความช่วยเหลือจากมหาลัยวิชายุทธทันที
แค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสอง นครระดับเทศมณฑลดันรับมือไม่ไหว เห็นได้ชัดแล้วว่ามันน่าสมเพชแค่ไหน
ไม่มีผู้ฝึกยุทธแม้แต่คนเดียวเลยเหรอ?
ฟางผิงตกใจ ถานเจิ้นผิงกล่าวอย่างอายๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย…แค่…แค่มันนานแล้วที่พวกเขาขัดเกลาฝีมือ แต่ตอนนี้เป็นช่วงเร่งด่วน…
ไม่หย่อนยานเกินไปหน่อยเหรอ!
ฟางผิงรู้สึกไม่น่าเชื่อเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่ผู้สำเร็จราชการจางอยากบังคับใช้ และก่อตั้งทีมต่อสู้ท้องถิ่น!
พวกเขายังถือเป็นผู้ฝึกยุทธอีกเหรอ?
ไม่ว่ายังไง เมืองหยางเฉิงก็มีผู้ฝึกยุทธ 20-30 คน แต่ตอนนี้พวกเขารวบรวมคนตั้งทีมต่อสู้ 5 คนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถานเจิ้นผิงรู้สึกอายๆ กระทรวงศึกษาและกรมสืบสวน และแม้แต่สำนักงานเมืองก็มีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้
หลังสงบสุขมานานปี ผู้ฝึกยุทธก็หย่อนยานเกินไปจริงๆ
เมื่อก่อน พวกเขาแค่ดูขั้นพลัง ไม่ได้ดูส่วนอื่น จึงไม่มีใครสนใจเรื่องวรยุทธ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ใช่ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องก่อตั้งทีมต่อสู้เท่านั้น แต่พวกเขายังต้องกำหนดขั้นพลังใหม่ด้วย นี่เป็นการบังคับให้ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดฝึกฝนวรยุทธ
โชคดีที่เบื้องบนให้เวลาพวกเขา ไม่ได้ลงดาบในทันที
อย่างไรก็ตามถานเจิ้นผิงเห็นอนาคต บางทีอาจมีแต่ผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้เท่านั้นที่มีอำนาจ
แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะไม่ต่างจากเดิม แต่ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดปัจจุบันก็ยังดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย ในอนาคต สถานการณ์นี้อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงจนแทบพลิกคว่ำ
ถานเจิ้นผิงคร่ำครวญเล็กน้อยและพูดขึ้นมาทันที ฟางผิง ถ้าเมืองหยางเฉิงเชิญหวังจินหยางกลับมาสอนวรยุทธให้ทีมต่อสู้ เธอคิดว่ามีหวังไหม?
เขา… หลังครุ่นคิด ฟางผิงก็พูดต่อ ไม่มีหวังเท่าไหร่ เขาเป็นขั้นสี่แล้ว ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย
แล้วเธอล่ะ?
ห๊ะ?
เธอเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่เกือบเป็นขั้นสองเช่นกัน ในแง่วรยุทธ เธอฝึกฝนมาอย่างดี แถมเธอยังเป็นศิษย์โม๋อู่ ในงานประลอง เธอก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม…ลุงคิดว่าให้เธอมาสอนวรยุทธก็ไม่เป็นปัญหา
ฟางผิง เธออยากเก็บไว้พิจารณาไหม?
นี่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของถานเจิ้นผิง
ส่วนหวังจินหยาง เขาแค่พูดเล่น ให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่กลับมาสอนวรยุทธให้ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือด แถมพวกเขายังล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสอง หวังจินหยางจะตกลงได้อย่างไร
ที่สำคัญกว่านั้น ต่อให้เขาตกลง แต่เมืองหยางเฉิงต้องจ่ายมากเท่าไหร่?
ตรงกันข้ามฟางผิงดูเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
ปัจจุบันฟางผิงเป็นขั้นหนึ่งสูงสุด แต่คนที่สอนวรยุทธให้ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมากนัก ทีมต่อสู้ที่เมืองหยางเฉิงรวบรวมมาส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสอง บางทีอาจไม่มีขั้นสองด้วยซ้ำ
สำหรับกลุ่มคนแบบนี้ ให้นักศึกษาหัวกะทิจากโม๋อู่มาชี้แนะก็เพียงพอแล้ว!
แถมราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่น่าแพงเกินไป
ลุงถานประเมินผมสูงไปแล้ว ให้ผมไปสอนวรยุทธงั้นเหรอ? ล้อกันเล่นแล้ว
ฟางผิงปฏิเสธทันที พูดเป็นเล่น ใครจะมีเวลามาชักช้าอยู่ตรงนี้กัน?
เมืองหยางเฉิงจะให้เขาเท่าไหร่?
ถ้าหลักล้านก็ประเมินตนเองสูงไป!
ฟางผิงคงโง่แล้วถ้าต้องเสียเวลาไปมากมายเพื่อเงินเล็กน้อยแค่นี้
ฟางผิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก สิ่งที่เขาคิดตอนนี้ก็คือ การก่อตั้งทีมต่อสู้ สถานการณ์ของรัฐบาลมันเลวร้ายแค่ไหน พวกเขาถึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสร้างผู้ฝึกยุทธกองหนุน?
เมี่อได้ยินฟางผิงปฏิเสธ ถานเจิ้นผิงก็จนใจ หลังปีใหม่ เมืองหยางเฉิงอยากเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิง ฟางผิงเธอสนใจมาดูหน่อยไหม?
ชุมนุมผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิง?
ทางเมืองต้องการจัดตั้งสมาคมผู้ฝึกยุทธของเมืองหยางเฉิงเพื่อช่วยเหลือกันและกัน ดังนั้นเราจึงอยากฟังความเห็นของทุกคน
ช่วงนี้ชีวิตในเมืองหยางเฉิงไม่ง่ายนัก เราหวังว่าผู้ฝึกยุทธที่ออกไปจากเมืองหยางเฉิงจะลงแรงมีส่วนช่วยบ้านเกิดบ้าง
หลังปฏิเสธครั้งแรกไป จะปฏิเสธอีกครั้งก็รู้สึกไม่เข้าท่านัก
หลังครุ่นคิดสักครู่ ฟางผิงก็กล่าว ถ้าตอนนั้นผมยังไม่กลับมหาลัย ผมจะร่วมด้วย
เยี่ยม พอถึงเวลา ลุงจะมาแจ้งอีกที
…
หลังวางสาย ฟางผิงก็ครุ่นคิด แต่แล้วจู่ๆฟางหยวนก็โผล่ขึ้นมาแล้วถามด้วยความสงสัย ทีมต่อสู้อะไรหรอ? พวกเขาอยากให้นายเป็นครูฝึกหรอ?
ยุ่ง!
ฟางผิงกลอกตามองบน เธอไม่รู้รึไงว่าความสงสัยฆ่าแมว?
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ความลับ ฟางผิงจึงพูด อนาคตจะมีการก่อตั้งผู้ฝึกยุทธทีมต่อสู้ในทุกเมืองในหนานเจียง อาจมีการประลองยุทธจัดขึ้นเป็นประจำ
นอกจากนี้ น้องต้องเป็นเด็กดีขึ้นนะ ตอนนี้ไม่ค่อยสงบ อย่าออกไปเถลไถลข้างนอก
หนานเจียงจะมีการประลองยุทธด้วยเหรอ?
ฟางหยวนคิดว่ามันแปลกๆ ฟางผิง ช่วงนี้มีการประลองมากมาย ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?
ผู้ฝึกยุทธที่ไม่สู้เนี่ย พวกเขาควรขุนให้อ้วนแทนงั้นเหรอ?
ฟางผิงแค่นเสียง ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดตอนนี้ก็แค่ขุนตัวเองให้อ้วนเท่านั้นแหละ!
เนื่องจากรัฐบาลให้สิทธิพิเศษคนเหล่านี้ ตอนนี้รัฐบาลย่อมไม่มีทางปล่อยพวกเขาไป
ในมหาลัยวิชายุทธ ในกองทัพ ในสถานที่ต่างๆมากมาย ทุกคนจำต้องปฏิบัติตามกฎ พยายามถึงได้รางวัล!
ณ ตอนนี้ ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดพวกนี้รับผลประโยชน์โดยไม่ได้พยายามเลย
มันไม่น่าแปลกใจที่หลายปีผ่านมา ชีวิตอิสระของผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดจะถูกกดดันยิ่งขึ้น แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดเจนมาก
แต่ไม่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดจะตระหนักถึงมันหรือไม่
เป็นไปได้มากว่าพวกเขาอาจตระหนัก ช่วงนี้ถานเจิ้นผิงแสดงท่าทีวิตกกังวล บางทีมันอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าวันเวลาที่มั่นคงปลอดภัยจบลงแล้ว
หวังว่าพวกเขาจะไม่สร้างปัญหานะ…
ฟางผิงพูดเบาๆ ตอนนี้รัฐบาลกำลังบังคับให้ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลง มันอาจทำให้เกิดความโกลาหล จะดีที่สุดถ้าพวกเขาไม่ก่อเรื่องใหญ่เกินไป ไม่ทำให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่เกินไป
เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ ฟางผิงก็หันไปมองฟางหยวนฉับพลัน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จวงกงของน้องถึงขั้นมั่นคงยัง?
ถึงแล้ว!
ฟางหยวนพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ นายไม่ถามหนู หนูคิดว่านายรู้อยู่แล้ว หนูถึงขั้นมั่นคงก่อนไปเซี่ยงไฮ้อีก!
ใช้เวลาไปครึ่งปีกว่าจะถึงขั้นนี้ น้องยังภูมิใจอีกเหรอ?
ฟางผิงกลอกตามอง จากนั้นเขาก็พูดเสริม มีความแข็งแกร่งเล็กน้อยเพื่อปกป้องตนเองยังดีกว่าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่
แม้ว่าพี่จะไม่อยากให้น้องเข้าสู่แวดวงยุทธ แต่อนาคตแวดวงนี้ก็อาจไม่ชัดเจนนัก
ฟางหยวนไม่เข้าใจว่าฟางผิงจะสื่อถึงอะไร เธอมองฟางผิงด้วยสีหน้าสับสน
ฟางผิงยิ้มพร้อมกับบีบแก้มเธอ แค่ฝึกฝนตัวเองให้ดีก็พอ น้องเริ่มฝึกเคล็ดเสริมสร้างได้เหมือนกัน เอาแบบนี้ พรุ่งนี้พี่จะขอให้หลิวรั่วฉีมาชี้แนะน้องฝึกฝน
ฝึกมาจนถึงตอนนี้ แต่ปราณและเลือดน้องก็ยังมีแค่นี้…
ฟางหยวนกล่าวอย่างไม่พอใจ ปราณและเลือดหนูสูงแล้ว ไม่กี่วันก่อน พ่อพาหนูไปตรวจปราณและเลือดที่กระทรวงศึกษา ตรวจได้ตั้ง 120แคล!
การที่นักเรียนมัธยมต้นปีสามมีปราณและเลือดถึง 120แคลถือว่าสูงมากจริงๆ
กระนั้นฟางผิงก็ยังไม่พอใจ อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น!
น้องต้องรู้ว่ามีหลายคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธก่อนสอบเกาเข่า ที่จริงมีผู้ฝึกยุทธขั้นสองด้วย
ปราณและเลือดต่ำสุดของผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งคือ 180แคล น้องมีเวลาสามปีเท่านั้นก่อนน้องจะสอบเกาเข่า
อิงตามความคืบหน้าของน้อง น้องจะถึง 180แคลในสามปีไหม?
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่แค่ปราณและเลือด 180แคล บางคนขัดเกลากระดูกหลายสิบชิ้นแล้ว!
เมื่อพวกฟู่ชางติ่งเข้ามหาลัย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธเท่านั้น ฟู่ชางติ่งยังขัดเกลากระดูก 31 ชิ้นอีกด้วย
ทั้งหมดนี้สำเร็จตั้งแต่ตอนมัธยมปลาย!
ด้วยอัตราก้าวหน้าของฟางหยวน มีโอกาสที่เธอจะไม่บรรลุถึงขั้นนั้นก่อนเกาเข่า
ช้าเกินไป!
ยังเหลือเวลาอีกสามปีเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าในสามปีสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ความคืบหน้าของฟางผิงไม่ได้ช้า แต่เขาไม่ได้อยู่บ้านตลอด ถ้าเกิดปัญหา ต่อให้เขาอยากมาช่วย เขาก็มาช่วยไม่ได้
ฟางหยวนเบ้ปาก มีสีหน้าผิดหวัง มันยังไม่ดีเหรอ? หนูคิดว่าหนูเก่งซะอีก ตอนนั้น คนที่สอบเกาเข่าแล้วเข้ามหาลัยวิชายุทธได้ก็มีปราณและเลือดประมาณนี้…
นั่นมันตอนนั้นแล้ว แถมคนพวกนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดา
ไม่ว่ายังไง พี่ชายของน้องก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง อย่าทำให้พี่ขายหน้า โอเคไหม?
โอ้…ขั้นสองหรอ?
ฟางหยวนตอบสนองช้าไปเล็กน้อย ฟางผิงพูดอย่างเย็นชา ใช่ขั้นสอง มีปัญหาไหม?
ไม่ใช่ว่านาย…นายทะลวงขั้นแล้ว? ฟางหยวนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
ฟางผิงเป็นขั้นสองแล้ว!
ตอนนี้น้องรู้ยังว่าอัจฉริยะหมายถึงอะไร? พี่ชายของน้องบรรลุขั้นสองได้ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะงานประลองยุทธ พี่คงทะลวงตั้งแต่เดือนธันวาแล้ว
ลองคิดดูสิ ในแปดเดือน จากคนธรรมดาสู่ขั้นสอง นี่แหละระดับของอัจฉริยะ!
แล้วน้องล่ะ?
ตั้งแต่ฝึกจวงกงมาถึงตอนนี้ มันผ่านมากว่าหกเดือนแล้ว แต่ปราณและเลือดน้องคือ 120แคล!
ถ้าน้องออกไปข้างนอก อย่าบอกคนอื่นล่ะว่าน้องเป็นน้องสาวของฟางผิง น่าอายเหลือเกิน…
ฟางหยวนรู้สึกไม่พอใจอีกครั้ง เธอคิด ‘หนูน่าอายขนาดนั้นเลยจริงเหรอ?’
ตะ…แต่ ฟางผิงเหมือนจะเป็นอัจฉริยะตัวจริง!
หลังไม่พอใจสักครู่ จู่ๆฟางหยวนก็พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ พี่ชาย พี่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองแล้ว ถ้าเพื่อนหนูรู้…
อย่าเอาไปพูด น้องรู้คนเดียวก็พอ น้องหัดถ่อมตนซะบ้าง
ฟางผิงตำหนิน้องสาวก่อนจะโทรหาหลิวรั่วฉี ขอให้เธอมาชี้แนะน้องสาว
หลิวรั่วฉีตอบตกลงอย่างกระตือรือร้นแกมรู้สึกอิจฉาไปด้วย ฟางผิงมีทรัพยากรสนับสนุนการฝึกฝนของน้องสาว ไม่มีทางเปรียบเทียบด้วยได้เลย
ขณะที่ฟางผิงวางแผนให้ฟางหยวน ข่าวเรื่องจัดตั้งผู้ฝึกยุทธทีมต่อสู้ของทุกเมืองก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่ว
นอกจากหนานเจียง มณฑลอื่นๆมากมายก็เลือกใช้นโยบายเดียวกัน
เมื่อฟางผิงเห็นข่าว หัวใจเขาก็บีบรัดขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนสถานการณ์จะแย่จริงๆ