ฟางผิงไม่ได้กังวลใจกับการพัฒนาของชมรมนัก
เวลานี้ เขาเริ่มการจัดส่งในรั้วมหาลัยแล้ว สำหรับกลุ่มนักศึกษาหัวกะทิ การทำเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด
ฟางผิงไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เป็นทางการเกินไป ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมนักศึกษาเหล่านี้
พวกเขาไม่ใช่คนงานของเขา ทั้งไม่ได้ค่าจ้างจากเขา ตอนนี้ทุกคนถูกกระตุ้นด้วยความกระตือรือร้นเท่านั้น
การมีข้อจำกัดมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
…
หลังเตรียมการมาสักระยะ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซดิสแทนซ์ก็ได้เปิดให้บริการแลกเปลี่ยนทรัพยากรภายในโม๋อู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
เนื่องจากมันพึ่งเริ่มต้น ฟางผิงจึงยังไม่คิดค่าธรรมเนียม การแลกเปลี่ยนทรัพยากรเกิดขึ้นทางออนไลน์โดยตรง ถัดจากนั้นสมาชิกชมรมก็จะส่งสินค้าให้ลูกค้าต่างๆ
นักศึกษาบางคนก็เร่งรีบ มีหลายคนเลยที่ยอมใช้ไม่กี่คะแนนเพื่อแลกยาปราณและเลือดสามัญ และรอให้สินค้ามาส่งถึงหน้าประตู
หลายคนก็ลองใช้ระบบใหม่ ดังนั้นวันแรกแพลตฟอร์มจึงมียอดสั่งซื้อหลายร้อยรายการ!
โดยรวมแล้วผลออกมาไม่เลว ส่วนระบบยังอยู่ในช่วงแรกเริ่ม ทุกคนยังมีความกังวลเหลืออยู่ จึงยังไม่กล้าแลกเปลี่ยนทรัพยากรเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว
ตอนกลางคืน ฟางผิงเลี้ยงข้าวทุกคน
ครั้งนี้เขาใช้จ่ายเงินไปมากทีเดียว เขาใช้เงินห้าหมื่นหยวนที่มหาลัยจัดสรรให้เป็นเงินทุนของชมรมเดือนแรกเพื่อเลี้ยงอาหารทุกคน
เขาจองโต๊ะสิบโต๊ะสำหรับคนร้อยคน
สำหรับนักศึกษาที่เป็นเพียงเตรียมผู้ฝึกยุทธ งานเลี้ยงโต๊ะละห้าพันย่อมเป็นงานเลี้ยงที่หรูหรา
ฟู่ชางติ่งกับพวกรู้สึกทำใจเชื่อยาก ฟางผิงยอมควักเงินมากขนาดนี้เชียว?
พวกเขาไม่รู้เรื่องเงินทุนของชมรม เวลานี้มีเพียงโจวเยว่หง หัวหน้าสำนักงานของชมรม เท่านั้นที่ทราบเรื่องเงินทุนที่มหาลัยมอบให้ ส่วนคนที่เหลือต่างก็คิดว่าฟางผิงควักเงินจ่ายเอง
หลังทานมื้อค่ำเสร็จก็ไม่มีใครเมาแอลกอฮอล์สักคน ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงของมหาลัยทั่วๆไป
ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเตรียมผู้ฝึกยุทธ แทบจะไม่แตะต้องเหล้าบุหรี่เลย
ผู้ฝึกยุทธบางคนก็ไม่สนใจเรื่องนี้ เมื่อพวกเขาบรรลุขั้นหนึ่ง เหล้าบุหรี่ก็ไม่ถือเป็นข้อห้ามอะไรนัก
อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาสติสัมปชัญญะ จึงไม่มีผู้ฝึกยุทธมากนักที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์ส่งผลต่อระบบประสาท
หากไม่มีวัฒนธรรมดื่มเหล้า การบอกลาหลังงานเลี้ยงจึงง่ายขึ้นมาก ทุกคนแค่บอกลากันและแยกย้ายตามทางของตนเอง
…
บนถนนนอกมหาลัย
เมื่อเห็นคู่รักมากมายเฉลิมฉลองกันมีความสุขกันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกคนก็พลันตระหนักถึงอะไรบางอย่าง
วันนี้วาเลนไทน์เหรอ?
ฟู่ชางติ่งเผลอพูดออกมา ทุกคนจึงหันมามองหน้ากันไปมาและเงียบไปครู่หนึ่ง
เนื่องจากพวกเขาทุ่มเทให้กับการฝึกยุทธ จึงมีนักศึกษาไม่มากนักที่มีเวลาไปหาความรัก
ทุกคนที่เข้าโม๋อู่ต่างก็สละทั้งเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อเพื่อวิถีแห่งยุทธ
มันเป็นแค่เทศกาลของคนต่างชาติ สนใจไปทำไม? ฟางผิงตอบอย่างไม่พอใจ แต่หยางเสี่ยวม่านและสาวๆคนอื่นต่างก็อิจฉาผู้หญิงรอบๆที่ถือช่อดอกไม้สวยสดงดงาม
ในโม๋อู่ มันหายากมากที่นักศึกษาจะคบหากัน
แน่นอนฟู่ชางติ่งย่อมเป็นคนโรแมนติกมากกว่าฟางผิง เขาผละออกจากกลุ่มทันทีและกลับมาพร้อมกับดอกกุหลาบช่อใหญ่อย่างรวดเร็ว
อันนี้ของเธอ อันนี้ของเธอ…
เขาแจกดอกกุหลาบให้สาวๆในชมรมคนละดอก หลังแจกครบทุกคนก็ยังมีดอกกุหลาบเหลืออยู่มากมาย เพราะสาวๆที่เข้าชมรมมามีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นแบบนั้น ฟู่ชางติ่งก็แจกกุหลาบให้ผู้ชายเช่นกันแล้วหัวเราะเบาๆ มันเป็นเทศกาล มาสนุกกับวาเลนไทน์กันเถอะ
ตอนนี้เราจะไม่ปล่อยให้ความรักมาถ่วงเส้นทางแห่งยุทธ เมื่อเราประสบความสำเร็จ เราค่อยหาแฟนตามต้องการ!
ไม่จำเป็นต้องอิจฉาไป พวกนายคิดเหรอว่านักศึกษาโม๋อู่จะหาแฟนไม่ได้จริงๆ?
หลังได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็หัวเราะ ความหดหู่จางหายไป
แม้ว่าคู่รักริมถนนจะพลอดรักในที่สาธารณะกันต่อ แต่พวกเขานักศึกษาโม๋อู่ตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นแล้ว ต่อให้พวกเขาไปหาแฟนได้ พวกเขาก็ไม่ทำ
ฟู่ชางติ่งพูดจาหยอกล้อสักพักก่อนจะเอาดอกกุหลาบทัดหูฟางผิง ฟางผิง อนาคตนายอยากได้แฟนแบบไหน?
ฟางผิงไม่ได้เอากุหลาบออก กลับกันเขาเอากุหลาบที่ฟู่ชางติ่งเอาให้เมื่อกี้มาทัดหูฟู่ชางติ่งแทน เขาตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ คนที่อ่อนโยนกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่ง แต่ฉันหวังว่าเธอจะเป็นผู้ฝึกยุทธ เราจะได้มีบางอย่างเหมือนกัน…
ขณะที่เขาพูด หยางเสี่ยวม่านก็หันมามองทั้งฟางผิงและฟู่ชางติ่งด้วยสายตาแปลกๆ พวกนายให้กุหลาบกัน พวกนายเป็นเกย์กันรึเปล่า?
ไปไกลเลย ฟางผิงโต้กลับด้วยรอยยิ้ม เขาไม่พูดหัวข้อนี้ต่อ แต่เอ่ยถามแทน เธอทะลวงสู่ขั้นสองสำเร็จแล้วเหรอ?
หยางเสี่ยวม่านก็คร้านจะพูดเรื่องความสัมพันธ์เช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของฟางผิง เธอก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่เธอก็ตอบอย่างไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันบาดเจ็บ ฉันคงทะลวงไปนานแล้ว!
แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป ฉันต้องพยายามขัดเกลากระดูกแขนขาให้ครบก่อนสิ้นปีหนึ่ง
เราต้องพยายามไปให้ถึงขั้นสามตอนปีสอง!
กระดูกแขนมีอยู่ 64 ชิ้น กระดูกขามีอยู่ 62 ชิ้น ไม่ว่าจะเลือกขัดเกลากระดูกแขนหรือกระดูกขาตอนปีหนึ่ง แต่หลังบรรลุขั้นสอง จำนวนกระดูกที่ต้องขัดเกลาก็ยังมีมากกว่า 60 ชิ้น
ยังมีเวลาอีกห้าเดือนก่อนสิ้นปีหนึ่ง และมีเวลาไม่ถึงเจ็ดเดือนก่อนจะเริ่มปีสอง
เพื่อขัดเกลากระดูกให้เสร็จตามกำหนดการ เธอจำเป็นต้องขัดเกลากระดูกเฉลี่ย 10 ชิ้นต่อเดือน 3 ชิ้นต่อวัน
หากมีทรัพยากรเพียงพอ มันยังพอเป็นไปได้
อย่างไรก็ตามหากมีทรัพยากรไม่เพียงพอ มันเป็นเรื่องยากมาก
อย่างน้อยที่สุด จำนวนปราณและเลือดที่ต้องใช้นั้นมากมายมหาศาล
การฟื้นฟูปราณและเลือดหลังบรรลุขั้นสองจำเป็นต้องใช้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง เพราะยาปราณและเลือดสามัญไม่ส่งผลมากนัก
ใช้หนึ่งเม็ดต่อสามวัน ใช้สิบเม็ดต่อหนึ่งเดือน เวลาเพียงครึ่งปีต้องใช้ถึงหกสิบเม็ด ตีเป็นเงิน 18 ล้าน
ยาปราณและเลือดไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องใช้ เพื่อเพิ่มความเร็วขัดเกลากระดูก ยาชำระกระดูกก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน หากไม่มีเงินมากกว่า 20 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุขั้นสองในหนึ่งเทอม แม้แต่ 30 ล้านก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก
ฟู่ชางติ่งคร่ำครวญ การฝึกยุทธจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ พอเราบรรลุขั้นสาม…เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าถ้ำใต้ดิน
ภารกิจถ้ำใต้ดินเป็นภารกิจที่นักศึกษาได้เงินมากสุด
หลังบรรลุขั้นสามแล้ว หากยังอาศัยภารกิจธรรมดาเพื่อบรรลุขั้นสี่ ความยากไม่ต่างอะไรกับการปีนป่ายขึ้นสวรรค์
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาทำได้แต่เข้าถ้ำใต้ดินเพื่อหาคะแนนเพิ่ม หรือไม่ก็อาศัยการสนับสนุนจากตระกูล
หลังแสดงความรู้สึก ฟู่ชางติ่งก็มองฟางผิงแล้วเอ่ยถาม นายทะลวงขั้นสองมาก็ผ่านไปเดือนนึงแล้ว ตอนนี้นายขัดเกลากระดูกไปกี่ชิ้นแล้วล่ะ?
ฟางผิงบรรลุขั้นสองหลังงานประลอง
นับตั้งแต่วันนั้น มันก็ผ่านมาเดือนนึงแล้ว ทุกคนต่างก็สงสัยว่าเขาขัดเกลากระดูกไปได้กี่ชิ้นแล้ว
ก่อนที่ฟางผิงจะได้พูดอะไร หยางเสี่ยวม่านก็ออกความเห็นอย่างฉับพลัน จ้าวเหล่ยขัดเกลากระดูก 71 ชิ้นแล้ว ฉันมั่นใจว่านายขัดเกลากระดูกไปมากกว่าเขาใช่ไหม?
แขนขาทั้งสี่ข้างมีกระดูกรวม 126 ชิ้น จ้าวเหล่ยขัดเกลากระดูกไป 71 ชิ้นแล้ว ความก้าวหน้าของเขาไม่ถือว่าเชื่องช้าเลย
เทอมก่อนทุกคนได้คะแนนมามากมาย ความเร็วการฝึกฝนของพวกเขาจึงค่อนข้างเร็ว
หยางเสี่ยวม่านพึ่งทะลวงขั้นสองเมื่อวาน แต่เธอยังไม่ได้เริ่มขัดเกลากระดูก
ส่วนฟู่ชางติ่งก็คืบหน้าไม่ต่างกับจ้าวเหล่ย
ทุกคนทะลวงขั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน มีเพียงฟางผิงเท่านั้นที่เร็วกว่าพวกเขาไปไม่กี่วัน กระนั้นเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้ง ทุกคนจึงคาดเดาว่าเขาอาจขัดเกลากระดูกไปได้ประมาณ 75 ชิ้นแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของทุกคน ฟางผิงก็คลี่ยิ้ม 96 ชิ้น
เท่าไหร่นะ?
พูดเป็นเล่น!
ฟางผิงพึ่งทะลวงขั้นไปเดือนก่อน ขัดเกลากระดูก 34 ชิ้นในหนึ่งเดือน ฟางผิงคิดว่าพวกเขาโง่กันจริงๆเหรอ?
ทำไม? นายไม่เชื่อฉันเหรอ? ไม่กี่วันมานี้ ฉันใช้ยาชำระร่างกาย 10 เม็ดเพื่อเสริมสร้างกระดูก ใช้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งมากกว่า 10 เม็ดเพื่อฟื้นฟูปราณและเลือด ฉันมั่นใจว่าพวกนายคงรู้อยู่แล้วว่าฉันฟื้นฟูปราณและเลือดได้เร็ว ฉันเลยฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่อง ฉันก้าวหน้าเร็วเท่านี้มันน่าแปลกใจนักเหรอ?
แต่ นายเอายาปราณและเลือดมากขนาดนั้นมาจากไหน…
ฟางผิงขายยาปราณและเลือดไปแทบนับไม่ถ้วน!
มีคนให้มา
ใครจะโง่ให้นายกัน…
ขณะที่ฟู่ชางติ่งพูด เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาถามเบาๆ ปรมาจารย์เหรอ?
นายคิดอะไร?
เปล่า! ฟู่ชางติ่งเบ้ปาก เจ้าหมอนี่ได้รับการสนับสนุนจากคนอื่น เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมนัก
ฟางผิงมักอ้างว่าตนเองยากจน แต่เขามีปรมาจารย์หนุนหลัง แบบนี้ยังเรียกว่ายากจนอีกเหรอ?
จ้าวเสวี่ยเหมยเงียบมาตลอด ตอนนี้เธอถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย นายขัดเกลากระดูกไป 96 ชิ้นแล้วจริงเหรอ?
ช่วงงานประลอง เธอบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าหยางเสี่ยวม่าน เวลานี้เธอก็ยังไม่หายดี
เธอจำเป็นต้องรอจนถึงเดือนหน้า เธอถึงจะทะลวงขั้นสองได้
ถ้าเธอทะลวงขั้นสองเดือนหน้า แล้วฟางผิงล่ะ?
ถ้าเขายังขัดเกลากระดูกชิ้นละวัน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เขาจะขัดเกลากระดูกแขนขาครบแน่นอน
ช่องว่างระหว่างฟางผิงกับทุกคนค่อยๆกว้างขึ้น มันจะกว้างขึ้นจนไปถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามทัน
ฟางผิงเข้าใจความรู้สึกบางส่วนของจ้าวเสวี่ยเหมย เขาเผยรอยยิ้ม สามขั้นล่าง ต่อให้เร็วกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เมื่อเธอบรรลุขั้นสาม หรือสูงกว่าขั้นสาม เธอค่อยตามให้ทันตอนนั้นแหละ!
หวังจินหยางบรรลุขั้นสี่แล้ว แต่พอฉันขั้นสี่ เขาก็อาจยังขั้นสี่อยู่
พอฉันกลายเป็นปรมาจารย์ เขาก็อาจยังขั้นสี่อยู่ไม่ไปไหน
เพราะงั้นตอนเธอต่ำกว่าขั้นสาม เธอไม่ต้องสนใขเรื่องพวกนี้หรอก
สามขั้นกลาง…
ทุกคนถอนหายใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบรรลุสามขั้นกลาง มีเพียงฟางผิงเท่านั้นที่กล้าคุยโวเรื่องการเป็นปรมาจารย์
…
หลังคุยกันสักพัก ทุกคนก็กลับมาถึงมหาลัย
หลังฟางผิงกลับมาหอพัก เขาก็พักอยู่แปปนึงก่อนจะไปห้องฝึกอีกครั้ง
แม้ว่าไม่กี่วันนี้เขาจะยุ่งอยู่กับการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่เขาก็ไม่เคยละเลยการฝึกฝน
เขาใช้ยาชำระร่างกายที่แลกมาไปสิบเม็ดแล้ว
แถมจำนวนค่าทรัพย์สินที่หายไปน่าตกใจกว่านั้นอีก
นี่แหละเป็นเหตุผลที่เขาขัดเกลากระดูกได้ถึง 96 ชิ้นในเวลาอันสั้น
หลังดูค่าสถานะ ฟางผิงก็อดถอนหายใจไม่ได้ การฝึกยุทธผลาญเงินทองไปมหาศาล
ทรัพย์สิน : 13,000,000
ปราณและเลือด : 400แคล (439แคล)
จิตใจ : 380เฮิรตซ์ (399เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 96 ชิ้น (90 %) 110 ชิ้น (30 %)
ตั้งแต่กลับมามหาลัยวันที่ 4 จนถึงตอนนี้ผ่านมา 10 วัน ฟางผิงขัดเกลากระดูกไป 26 ชิ้น ค่าทรัพย์สินหมดไปเกือบ 14 ล้าน
แถมนี่ยังเป็นเพราะเขาใช้ปราณและเลือดเสริมสร้างกระดูกตลอดเวลาเพื่อลดค่าใช้จ่ายแล้ว
จากกระดูกแขนขาทั้งหมด 126 ชิ้น ตอนนี้ฟางผิงเหลืออีก 30 ชิ้นเท่านั้นที่ยังไม่ได้ขัดเกลา
อิงจากความเร็วปัจจุบัน เขามีโอกาสขัดเกลากระดูกแขนขาสำเร็จก่อนสิ้นเดือน
แน่นอนเขาจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าเขามีค่าทรัพย์สินเพียงพอ หรือไม่ก็เขาต้องรอไปอีกสองสามวันเพื่อให้ปราณและเลือดฟื้นฟูเอง
หากไม่มีค่าทรัพย์สิน อนาคตฉันอาจคงปราณและเลือดสูงสุดอยู่ตลอดเวลาไม่ได้อีก ซึ่งแปลว่าความเร็วการฝึกฝนของฉันจะลดลงอย่างมาก หากพบเจอกับอันตราย ฉันก็จะเสี่ยงยิ่งกว่าเดิม
ฟางผิงเคยชิ้นกับการฟื้นฟูปราณและเลือดด้วยค่าทรัพย์สิน จนเขารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยหากค่าทรัพย์สินหมด
ถ้าถึงเวลานั้น ต่อให้ดาบใหญ่จะคมแค่ไหน หากไม่มีปราณและเลือด ฟางผิงก็ไม่อาจใช้กระบวนท่าไม้ตายได้โดยปราศจากความกลัว
ฟางผิงปัดความคิดอื่นทิ้งไปแล้วฝึกต่อสักพัก จากนั้นเขาก็ไปอาบน้ำ
พูดตามตรง นี่ไม่ใช่การอาบน้ำแล้ว แต่เป็นการผลาญเงิน!
อาบน้ำครั้งนึงมีค่าใช้จ่ายหลักล้าน จะมีใครอีกที่ทำตัวฟุ่มเฟือยอย่างเขา?
…
วันที่สอง วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์
มหาลัยไม่มีคาบเรียนหลัก แต่ฟางผิงก็ยังตื่นแต่เช้า
วันนี้ หลู่เฟิ่งโหรวอยากพาเขาไปยังเขตสำคัญของโม๋อู่ ฟางผิงรู้สึกคาดหวัง
ณ ที่หลบภัย
หลู่เฟิ่งโหรวมาถึงเช้ากว่าฟางผิงอีก
เมื่อเห็นฟางผิงเดินมา เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเดินนำพาเขาไปยังทางใต้ของโม๋อู่ พื้นที่ชายฝั่งทางใต้เป็นเขตหวงห้ามของนักศึกษาใหม่มาโดยตลอด
แม้ว่ามันจะอยู่ในบริเวณรั้วมหาลัย แต่บริเวณนั้นมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ปกติแล้วนักศึกษาใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้วยซ้ำ
ฟางผิงเดินตามหลู่เฟิ่งโหรว จากนั้นสักครู่เขาก็อดถามออกมาไม่ได้ อาจารย์ ทางใต้โม๋อู่มีอะไรกันแน่?
พอไปถึงนายก็รู้เอง หลู่เฟิ่งโหรวตอบ
เป็นไปได้ไหมว่ามีทางเข้าถ้ำใต้ดิน? ฟางผิงเผลอคาดเดาออกมาอีกครั้ง
หลู่เฟิ่งโหรวตอบอย่างเฉยเมย ทางเข้าถ้ำใต้ดินไม่ได้อยู่โม๋อู่ แต่มันก็อยู่ใกล้กันมาก มีอุโมงค์ในเขตทางใต้ที่นายไปถึงทางเข้าถ้ำใต้ดินได้โดยตรง นายอยากไปดูไหม?
ฮ่าๆ ช่างมันเถอะ ผมยังไม่มีแผนจะไปตอนนี้
งั้นก็อย่าถาม หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเขา เดินต่อโดยไม่ชะงักฝีเท้า
ระหว่างทาง พวกเขาก็ได้เจอกับอาจารย์และนักศึกษาอยู่หลายคน
เมื่อเห็นหลู่เฟิ่งโหรว นักศึกษายังทำตัวปกติ ส่วนอาจารย์พอทักทายเธอเสร็จ พวกเขาก็รีบหลบเลี่ยงเธอไป ท่าทีของพวกเขาทำให้ฟางผิงรู้สึกไม่พอใจ หลู่เฟิ่งโหรวโด่งดังมากจริงๆ
หลังจากเดินมากว่าสิบนาที ทั้งสองก็มาหยุดที่หน้าประตูใหญ่
พื้นที่ทางใต้ถูกมหาลัยกั้นด้วยกำแพงสูงตระหง่าน สมาชิกชมรมวิถียุทธรวมถึงอาจารย์ของมหาลัยจะตรวจตราบริเวณนี้ทุกวัน
ประตูถูกสร้างขึ้นเพื่อแบ่งระหว่างเขตมหาลัยกับเขตทางใต้ มีผู้ฝึกยุทธยืนเฝ้าอยู่
ชายกลางคนหัวล้านเห็นหลู่เฟิ่งโหรวเดินพาฟางผิงมาทางประตู เขาก็หัวเราะเสียงดัง หลู่เฟิ่งโหรว นี่เป็นศิษย์ใหม่ที่คุณรับมาเหรอ? เจ้าหนูนี่บอกว่าจะยื่นคำท้าจางอวี่ตอนสิ้นเทอม แต่ตอนนี้เขายังไปไม่ถึงระดับนั้น
หลู่เฟิ่งโหรวกล่าวอย่างหงุดหงิด พูดจาไร้สาระ เปิดประตู มันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?
ชายคนนั้นไม่ได้โกรธเคือง เขาคลี่ยิ้มและสังเกตฟางผิงสักครู่ จากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับเปิดประตู เจ้าหนูนี่ก้าวหน้าได้ไม่เลว กระนั้นสามขั้นล่างกับสามขั้นกลางก็ต่างต่างกันเกินไป
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุขั้นสามในปีนี้ แต่จางอวี่เป็นขั้นสี่แล้ว
พอถึงเวลานั้นก็ยอมแพ้เถอะ อย่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บแล้วเสียเวลาเปล่า
ฟางผิงยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไร
แม้เขาจะไม่รู้ว่าอาจารย์คนนี้เป็นใคร แต่เขาคุยกับหลู่เฟิ่งโหรวด้วยท่าทีแบบนี้ก็แปลว่าเขาอาจเป็นขั้นหกหรือขั้นหกสูงสุด
การคุยโวต่อหน้าอาจารย์ที่มีความสามารถสูงเช่นนี้จะไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา
เมื่อชายกลางคนเห็นว่าฟางผิงไม่พูดอะไร เขาก็กล่าวอย่างเรียบเฉย นักศึกษาสมัยนี้น่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ ช่างเถอะ เข้าไปได้ ครั้งหน้าเธอมาคนเดียวได้ ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์พามาด้วย
ขอบคุณครับอาจารย์
เข้าไป
ชายกลางคนไม่สนใจฟางผิงอีก เขาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้และเริ่มฮัมเพลงเบาๆ
ฟางผิงได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็รีบเดินตามหลู่เฟิ่งโหรว ทันทีที่เขาข้ามประตูมา เขาก็อยู่เขตใต้ของมหาลัยแล้ว
เมื่อก้าวขาย่ำพื้นที่นี้ ฟางผิงก็ได้ยินเสียงคลื่นยักษ์!
เขาเงยหน้าขึ้นมอง พื้นทีหลายพันกิโลเมตรตรงหน้าเขาไม่มีกำแพงล้อมรอบ ไม่มีสิ่งอื่นใด มีแต่ทะเลโล่งๆ!
หลู่เฟิ่งโหรวยืนนิ่ง เธอยิ้มบางๆ นายรู้สึกไหมว่าวิสัยทัศน์นายกว้างขึ้น?
ในโม๋อู่ ประตูมหาลัยจะทำให้นายเห็นแค่มุมมองเดียว
อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่สิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นมา มีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์รู้สึกเหมือนตนเองเล็กจ้อย
ทะเลอันงดงามสาดซัดขึ้นมาบนชายฝั่งไม่หยุด
เมื่อวันหนึ่งมนุษยชาติพิชิตมหาสมุทรและดวงดารา นั่นแหละอาจเป็นเวลาที่เราเลิกกลัวถ้ำใต้ดิน
แม้แต่ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ก็ไม่กล้าเอ่ยอ้างว่าตนเองพิชิตธรรมชาติ…
หลู่เฟิ่งโหรวถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวต่อไป ฟางผิงมองแนวชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลก่อนจะก้าวตามเธอไป