World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 176 รับสมัครคนมีความสามารถ

ตอนที่ 176 รับสมัครคนมีความสามารถ

  ณ เขตหอพักนักศึกษาใหม่

  ฟางผิงไปยืมโต๊ะจากสำนักงานบริหาร ขณะที่เขามองไปรอบๆ จู่ๆเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เขาจึงรีบตะโกน  นั่นมัน…เฮ้ เจ้าอ้วน! 

  กัวเซิ่งที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เงยหน้ามอง เมื่อสังเกตเห็นฟางผิง เขาก็รู้สึกฉงน

   นายคือ…เหล่ากัว…กัวเซิ่งใช่ไหม? 

  ฟางผิงแทบลืมชื่ออีกฝ่ายไปแล้ว แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็นึกออก

  หลังเรียกชื่ออีกฝ่าย ฟางผิงยิ้มแล้วเอ่ยถาม  นายจำฉันได้ไหม? 

  กัวเซิ่งพยักหน้าอย่างโง่งม เขาย่อมจำอีกฝ่ายได้ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ!

  เขาเคยถูกฟางผิงทุบตีมาก่อน!

  แน่นอนกัวเซิ่งก็ไปชมงานประลองเมื่อหลายวันก่อนเช่นกัน เขาจะไม่คุ้นหน้าหัวหน้าทีมของโม๋อู่ได้อย่างไร?

   มาทางนี้สิ  ฟางผิงชวน  นายพึ่งกลับมามหาลัยเหรอ? 

   ใช่ 

   นายคงสนุกกับปีใหม่มาแน่ๆ นายดูอ้วนขึ้นเชียว 

   อ้วนขึ้น? 

  กัวเซิ่งดูซึมไปเล็กน้อย เขาพึมพำเบาๆ  ฉันไม่ได้กินเยอะสักหน่อย 

  ฟางผิงไม่ได้สนใจว่ากัวเซิ่งจะอ้วนขึ้นไหม เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา  ฉันเป็นขั้นสองแล้ว 

   อ๊ะ? 

  กัวเซิ่งยังคงสับสนมึนงง ทำไมฟางผิงถึงมาบอกเขาล่ะว่าเป็นขั้นสองแล้ว?

  หลังปิดเทอม ปราณและเลือดของกัวเซิ่งก็เพิ่มขึ้นมาถึง 150แคลแล้ว

  อย่างไรก็ตามอาจารย์ของโม๋อู่แนะนำว่าทุกคนควรเพิ่มปราณและเลือดให้ถึงขีดจำกัด ตอนนี้กัวเซิ่งรู้สึกว่าเขายังไม่ถึงขีดจำกัด ดังนั้นเขาจึงยังไม่ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ

  หลังได้ยินฟางผิงบอกว่าเป็นขั้นสองแล้ว กัวเซิ่งจึงอิจฉาเล็กน้อย

   ฉันอาจเป็นขั้นสองสูงสุดในเดือนหน้า  ฟางผิงพูดต่อ

   อ่า? 

   เป็นไปได้ว่าฉันอาจบรรลุขั้นสามหรือแม้แต่ขั้นสี่ในเทอมนี้ พอจบการศึกษาปีสี่ อย่างน้อยฉันจะเป็นขั้นห้าขั้นหก นายมีปรมาจารย์อยู่ที่บ้านไหม? 

   ไม่มี 

   พ่อนายเป็นแค่ขั้นหนึ่งใช่ไหม? แล้วปู่ของนายล่ะ? 

   ปู่ฉันเสียไปแล้ว  กัวเซิ่งตอบตามความจริง

   ถ้าเป็นแบบนั้น พ่อนายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในครอบครัวนายใช่ไหม? 

   เปล่า แม่ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสาม 

  ฟางผิงอึ้งไปเล็กน้อย เขาตั้งสติแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ไม่ว่ายังไงฉันก็มีอนาคตที่สดใสมากรออยู่ นายเห็นด้วยไหม? 

  กัวเซิ่งไม่รู้ว่าทำไมฟางผิงถึงมาอวดกับเขา แต่เขาก็ยังพยักหน้าและตอบตามความจริง  ใช่ อาจารย์ทุกคนต่างก็บอกว่าในรุ่นเรา นายเป็นอัจฉริยะทั้งการฝึกฝนและความคิด 

   นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อัจฉริยะอย่างฉันตั้งชมรมขึ้นมา ตอนนี้ฉันกำลังรับสมัครสหายที่มีใจเดียวกันมาต่อสู้ร่วมกันและค้นหาวิถีแห่งยุทธ นายอยากเข้าร่วมกับเราไหม? 

   ชมรม? 

  กัวเซิ่งสับสนงุนงงอีกครั้ง เขาพึ่งกลับมามหาลัย แต่จู่ๆเขาก็ถูกฟางผิงชวนเข้าชมรม

  เขาโดดเด่นขนาดนั้นเลยเหรอ?

  มีชมรมมากมายในโม๋อู่ อย่างไรก็ตามมีนักศึกษาใหม่ไม่กี่คนที่ถูกชวนเข้าชมรมอย่างชมรมวิถียุทธ

  ชมรมอื่นก็รับสมัครผู้ฝึกยุทธเช่นกัน เตรียมผู้ฝึกยุทธอย่างกัวเซิ่งไม่เข้าตาพวกเขาด้วยซ้ำ นอกเสียจากเขาจะขัดเกลาสองครั้ง

  ตอนนี้ฟางผิงอยากชวนเขาเข้าชมรม!

  กัวเซิ่งยืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างลังเล  มีค่าเข้าไหม? ฉัน…ถ้ามันแพงเกิน ฉันมีเงินไม่มาก… 

  ฟางผิงโกรธขึ้นมา  ฉันฟางผิงเป็นคนแบบนั้นรึไง?  เขาตำหนิกัวเซิ่ง

   สหายปีหนึ่ง ใครที่เดินผ่านไปมา หยุดแล้วมองมาทางนี้ ฟังฉัน! 

  สองวันนี้เป็นช่วงเปิดเทอม นักศึกษาส่วนใหญ่จึงเดินทางกลับมามหาลัย คำพูดของฟางผิงมุ่งที่นักศึกษาใหม่

  เวลานี้ฟางผิงกำลังขวางเส้นทางหลักไปเขตนักศึกษาใหม่ ซึ่งเป็นผลให้มีคนรายล้อมอยู่รอบตัวแปดถึงเก้าคนแล้ว

  เมื่อฟางผิงเห็นว่ามีผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็พูดเสียงดัง  ในโม๋อู่ มีเพียงผู้ฝึกยุทธเท่านั้นที่ได้รับการยกย่อง ถูกปฏิบัติเป็นศิษย์ของโม๋อู่ที่แท้จริง! 

   แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักศึกษาใหม่อย่างเรากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ! 

   ในหมู่นักศึกษาเกือบ 1600 คนในรุ่น 2008 ตอนนี้มีน้อยกว่า 500 คนเสียอีกที่เป็นผู้ฝึกยุทธ! 

   เส้นทางของการเป็นผู้ฝึกยุทธนั้นยากลำบาก และมันจะยากยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับนักศึกษาที่อ่อนแอ! 

   เตรียมผู้ฝึกยุทธอ่อนแอกว่าผู้ฝึกยุทธไหม? 

   ไม่จำเป็นเสมอไป! 

   ผู้ที่เข้าโม๋อู่ได้มีใครบ้างที่ไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ทำไมเราถึงคืบหน้าได้ช้าล่ะ? 

   อย่างแรกเลยเพราะเราขาดทรัพยากร ครอบครัวของเรายากจน จากบรรดานักศึกษาพันกว่าคนในโม๋อู่ ต่อให้เราพยายามแค่ไหน แต่เพราะฐานะครอบครัวที่ไม่ดี เราจึงได้แต่ตามหลังคนอื่น เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพยายามยิ่งขึ้น! 

   อย่างที่สองเพราะเราเริ่มต้นช้า นอกจากนี้เรายังไม่มีอาจารย์ขั้นสูง ไม่มีผู้อาวุโสขั้นสูงมาชี้แนะเหมือนคนอื่นๆ! 

   ฉันไม่ได้ดูแคลนอาจารย์ แต่พวกเรามีกันหลายคน อาจารย์ต้องชี้แนะศิษย์มากกว่าสิบคน นายคิดว่าอาจารย์จะมีเวลามาอธิบายให้เราฟังอย่างละเอียดเหรอ? 

   ดังนั้นเราต้องพึ่งพาตัวเอง! 

  หลังฟางผิงอธิบายเสียงดัง จำนวนผู้ชมก็เพิ่มขึ้น

  ตอนนี้ หลายคนถึงกับเปิดหน้าต่างมาดู บางคนก็ถึงกับลงมาจากอาคารเพื่อมามุงดูเขา

  เมื่อเห็นแบบนั้น ฟางผิงก็กระโดดขึ้นบนโต๊ะทันที เขาตะโกน  สหายทั้งหลาย ฉันขอถามหน่อย พวกนายพอใจรึไง? 

   พอใจรึไงที่จบการศึกษาในฐานะผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง! 

   พอใจรึไงที่ต้องตามหลังผู้อื่นไปทั้งชีวิต! 

   พอใจรึไงที่ตอนนี้ด้อยกว่าคนอื่น อนาคตก็ต้องด้อยกว่าคนอื่น! 

   พวกนายพอใจรึไง? 

  ฟางผิงคำราม ดังก้องไปทั่วเขตหอพัก

  ตอนนี้แม้แต่นักศึกษารุ่นพี่ก็ได้ยิน หลายคนเริ่มออกันอยู่ข้างหน้าต่างหอพัก

  แต่เมื่อฟางผิงตระหนักว่าไม่มีใครตอบกลับมาเลย เขาจึงรู้สึกว่าตนเองอาจคิดผิด เขาอดจ้องมองกัวเซิ่งไม่ได้

  กัวเซิ่งก็ไม่ได้โง่เขลาปานนั้น เขาหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น  ไม่! ไม่พอใจ! 

   ไม่พอใจ! 

  เตรียมผู้ฝึกยุทธบางคนก็ทนไม่ไหว ร้องตะโกนออกมา

   ถ้าพวกนายไม่พอใจ งั้นคำตอบคืออะไร? 

   เราต้องพึ่งพาตัวเอง! 

   พวกนายพึ่งพาตัวเองยังไง? พวกนายต้องเรียนรู้การพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาคนอื่น! 

   ฉันฟางผิง นักศึกษารุ่น 08 มาจากครอบครัวฐานะธรรมดา แต่ฉันพึ่งพาตัวเอง พึ่งพาความขยัน และตอนนี้ฉันก็กลายเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด! 

   มีใครคัดค้านเรื่องนี้ไหม? 

   มีใครไม่เชื่อไหม? 

   ตอนนี้ฉันบรรลุขั้นสองแล้ว ในเทอมนี้ฉันต้องบรรลุขั้นสามและตั้งเป้าไว้ที่ขั้นสี่! 

   ไม่ต้องพูดถึงนักศึกษาใหม่ สิ้นปีหนึ่ง ฉันตั้งเป้าที่จะท้าประลองประธานชมรมวิถียุทธ ฉันขอพูดตรงนี้เลย ฉันฟางผิงก็เป็นประธานชมรมวิถียุทธได้! 

  เมื่อสิ้นเสียงพูด ก็มีรุ่นพี่ยิ้มเยาะทันที  ประธานจางคือขั้นสี่… 

  ฟางผิงเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วคำรามเสียงดัง  เลิกพูดจาเหลวไหล! เพียงเพราะนายทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าฉันฟางผิงจะทำไม่ได้! 

   เลิกทำตัวน่ารำคาญ ถ้านายไม่พอใจก็ลงมา เรามาเจอกันบนสนามประลอง! 

   แก… 

  รุ่นพี่ชั้นบนรู้สึกโกรธ คนข้างๆถึงกับต้องรั้งตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ลงไปรับคำท้า

  เด็กปีหนึ่งชั้นล่างเป็นขั้นสองแล้ว แถมไม่รู้ขัดเกลากระดูกไปได้กี่ชิ้น

  แม้ว่ารุ่นพี่จะเป็นขั้นสองเช่นกัน แต่เขาก็เป็นเพียงขั้นสองชั้นต้น และใช่ว่าขั้นสองทุกคนจะเทียบเท่ากัน

  ในงานประลองฟางผิงไร้ซึ่งคู่ต่อกร แถมในงานประลองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสอง

  ฟางผิงไม่ได้ยั่วยุรุ่นพี่อีก แต่เขาพูดต่อ  ฉันเกิดมาจากครอบครัวธรรมดา แต่ฉันไม่เคยล้มเลิกความฝัน! 

   สักวันหนึ่ง ฉันฟางผิงจะกลายเป็นปรมาจารย์เช่นกัน! 

   ฉันหวังว่าวันหนึ่ง ทุกคนจะกลายเป็นปรมาจารย์ แต่นั่นก็แปลว่าเราต้องพยายามอย่างต่อเนื่อง 

   วันนี้ ฉันได้ก่อตั้งสมาคมผิงหยวน ฉันรับสมัครบุคคลที่มีความสามารถที่พึ่งพาตัวเอง บุคคลที่เต็มใจทำงานหนัก และบุคคลที่ใฝ่หาวิถีแห่งยุทธ ทุกคนจะได้รับการยอมรับโดยไม่สนฐานะครอบครัวหรือสถานะ! 

   แน่นอน เนื่องจากขาดกำลังคนช่วงแรก เราจึงจำกัดแค่นักศึกษาปีหนึ่ง จำนวน 100 คน! 

   อย่าถามฉันว่าเข้าร่วมชมรมนี้จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง มันไม่มีผลประโยชน์ ทุกคนจะได้ค้นหาวิถีแห่งยุทธร่วมกัน แบ่งปันประสบการณ์ของกัน และมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน! 

   ฉันจะช่วยมอบโอกาสเล็กๆให้พวกนายได้ติดต่อกับรุ่นพี่อันดับสูงๆ 

   ไม่ว่าพวกนายจะเรียนรู้อะไรจากรุ่นพี่เหล่านั้นได้ไหม มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกนาย! 

   จากนี้ไป สมาคมผิงหยวนจะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษาใหม่อย่างเป็นทางการ ผู้ที่สนใจมากรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ ผู้ที่ไม่สนใจ ฉันก็ไม่บังคับ! 

  หลังพูดมายาวเหยียด ฟางผิงก็จ้องมองกัวเซิ่ง อีกฝ่ายจะสนับสนุนเขาไหม?

  อันที่จริงกัวเซิ่งรู้สึกเลือดพล่านแล้ว เตรียมพร้อมฟันฝ่าเพื่อความฝันเดียวกัน!

  สักวันทุกคนจะกลายเป็นปรมาจารย์…

  ใครจะคิดล่ะว่าฟางผิงมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งแบบนี้!

  วินาทีถัดมา กัวเซิ่งก็ร้องเสียงหลง  ฉันอยากเข้าชมรม! 

   ดี ฉันจะนับด้วย ฉันฟางผิงไม่สนใจฐานะครอบครัวนาย ผู้ฝึกยุทธรุ่นฉันควรพึ่งพาตัวเอง! 

  …

  นอกฝูงชน

  ฟู่ชางติ่งกับอีกสองสามคนพึ่งมาถึง สีหน้าของพวกเขาดูสับสนกับภาพที่เห็น

  เกิดอะไรขึ้น?

  จู่ๆฟางผิงตั้งชมรมยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขากำลังรับสมัครทุกคนที่สนใจ แถมยังไม่ปฏิเสธใครอีก ตัดสินจากที่เขาพูด เขากำลังรับสมัครเตรียมผู้ฝึกยุทธโดยเฉพาะ เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย?

  ถ้าเขากำลังเฟ้นหาทีมไว้ลุยถ้ำใต้ดินในอนาคต เขาก็ควรเลือกคนจากคลาสฝึกพิเศษแทนสิ

  เนื่องจากเขาไม่ได้ทำแบบนั้น แล้วตกลงเขาทำไปเพื่อ?

  มันเป็นเหมือนที่ฟางผิงพูดจริงๆเหรอ? เพื่อช่วยเหลือกัน มุ่งมั่นพัฒนาตนเองและรวมกลุ่มกันเพื่อความฝัน?

   หลังฉลองปีใหม่ ฟางผิงเป็นบ้าไปแล้ว?  ฟู่ชางติ่งพึมพำ

  จ้าวเสวี่ยเหมยที่พึ่งมาถึงก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน  ไม่ใช่ว่าเขากลัวเรื่องยุ่งยากที่สุดเหรอ? ทำไมจู่ๆเขาถึงตั้งชมรมล่ะ? 

   ใครจะไปรู้  ฟู่ชางติ่งยักไหล่

  หยางเสี่ยวม่านส่ายหน้าแล้วโอดครวญ  เขาเป็นขั้นสองแล้ว 

  ฟู่ชางติ่งรู้สึกยินดีเมื่อเห็นความทุกข์คนอื่น  ฉันก็เป็นขั้นสองแล้ว 

  หยางเสี่ยวม่านแค่นเสียงเบาๆ เธอพึ่งหายจากอาการบาดเจ็บจากการประลอง การทะลวงขั้นสองจึงต้องรอไปก่อนสักสองสามวัน

  หลังพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ จู่ๆฟู่ชางติ่งก็เอ่ยถาม  เราเข้าด้วยไหม? 

   ทำไมเราต้องเข้า? 

   ฉันสงสัยว่าฟางผิงมีจุดประสงค์แอบแฝง ใครจะรู้ล่ะ มันอาจมีผลประโยชน์ก็ได้ เธอคิดว่าเขาจะยุ่งเรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์หรอ? 

  คำพูดของฟู่ชางติ่งทำให้ทุกคนมีสีหน้าเห็นด้วย

  ฟางผิงมักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ได้ประโยชน์

  ส่วนเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างเช่น ช่วงเลือกอาจารย์ตอนต้นเทอม เลือกหัวหน้าคลาสฝึกพิเศษ รางวัลอันดับหนึ่งช่วงทำภารกิจฝึกพิเศษ…

  เรื่องพวกนี้ฟางผิงไม่เคยนิ่งเฉย ฟางผิงเข้าร่วมตลอด

  แต่เขาไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมปกติอย่างเข้าชมรมหรือเลือกหัวหน้าคลาสปกติ

  ถ้าไม่มีผลประโยชน์ เจ้าเด็กนี่จะโปรโมทชมรมตัวเองเหรอ?

  ตอนนี้เขากำลังรับสมัครสมาชิกอย่างใหญ่โต มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่ได้วางแผนอะไรไว้!

  หยางเสี่ยวม่านกล่าวทันที  สองวันก่อน เขาขายยาชุดนึงให้ฉันราคาเกือบยี่สิบล้าน ฉันสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม? 

   อะไรนะ? เขาขายอีกยี่สิบล้าน? 

  ฟู่ชางติ่งรู้สึกโง่งม เขาสงบสติอารมณ์แล้วกล่าว  เจ้าหมอนี่มีความสามารถจริงๆ เทอมเดียว เขาอาจขายยาไปสี่สิบห้าสิบล้าน! 

   เขายังเป็นตัวแทนของนักศึกษายากจนได้อีกเหรอ?  หยางเสี่ยวม่านบ่น ในสถานการณ์แบบนี้ ฟางผิงยังถือว่าจนอีกเหรอ?

  ครั้งก่อนเธอเชื่อเรื่องไร้สาระของเขา สุดท้ายเธอก็ควักเงินมา 19.3 ล้านด้วยความสมัครใจ ตอนนั้นสมองของเธอคงเลอะเลือน บางทีคงเป็นเพราะอาการบาดเจ็บครั้งก่อนยังไม่หายดี

  …

  นักศึกษาปีหนึ่งโม๋อู่ฟางผิงก่อตั้งสมาคมผิงหยวน รับสมัครสมาชิกโดยไม่มีข้อกำหนดเข้าร่วม

  ข่าวนี้แพร่ออกไปทั่วเขตหอพักราวกับไฟป่า

  แม้แต่อาจารย์ในหอพักอาจารย์ก็คึกคัก แถมท่าตกใจก็คือฟางผิงประกาศว่าเขาจะท้าประลองประธานชมรมวิถียุทธจางอวี่ตอนปลายปีหนึ่ง

  ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ย่อมไม่ใช่หัวผักกาด

  ในโม๋อู่ ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ไม่ได้หายาก แต่ก็ไม่ได้หาง่าย ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในมหาลัย แต่ในมหาลัยมีนักศึกษาขั้นสี่ไม่เกินห้าคน

  ถ้าฟางผิงเอาชนะจางอวี่ตอนปีหนึ่งได้จริงๆ ต่อให้เขาไม่ใช่นักศึกษาที่แข็งแกร่งที่สุดในโม๋อู่ แต่อย่างน้อยเขาก็อยู่อันดับต้นๆของมหาลัย

  …

  ณ ออฟฟิศคณบดีสาขาศัสตราวุธ

  หวงจิ่งได้ข่าวฟางผิงเช่นกัน เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและมองดูถังเฟิง  เมื่อเราคิดว่าเขากล้าหาญและดุร้ายไม่พอ จู่ๆเขาก็แสดงออกอย่างดุร้ายจนพวกเราตกใจ คุณกล้าท้าประลองประธานชมรมวิถียุทธตอนปีหนึ่งไหม? 

  ถังเฟิงดูอึ้งๆ เขาถามอย่างสงสัย  เขาตั้งชมรมทำไม? 

   ไม่รู้…  เมื่อเขากล่าว หวงจิ่งก็นึกอะไรได้  คุณรู้ไหมว่าเขาอยากสร้างแพล็ตฟอร์มเพื่อช่วยแผนกโลจิสติกส์? 

   อืม 

   ก่อนหน้านี้มหาลัยปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องคนนอกเข้ามามหาลัย ฟางผิงก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาปล่อยผ่านไป เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเป็นคนส่งเอง? 

   อ่า?  ถังเฟิงดูค่อนข้างสับสน

   คุณรู้ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?  หวงจิ่งกล่าว

   โอ้ เข้าใจแล้ว!  ถังเฟิงพูดไม่ออกหัวเราะไม่ได้  เจ้าเด็กนี่…เจ้าเด็กนี่คำพูดองอาจมาก เขาหลอกได้แม้แต่ฉัน 

   ฉันคิดว่าเขาทำเพื่อประโยชน์ของเตรียมผู้ฝึกยุทธจริงๆซะอีก… 

  หวงจิ่งครุ่นคิด  ฉันควรพูดอย่างไรดี…ไม่มีใครทำนายอนาคตได้ ถ้าเขาทำสำเร็จ เขาอาจตอบแทนสมาชิกชมรมด้วยซ้ำ 

   เรารอดูก่อนจะดีที่สุด นอกจากนี้ถ้าใครถูกเขาหลอกก็ได้แต่โทษตัวเองที่ฉลาดไม่พอ หาประสบการณ์ในมหาลัยดีกว่าโดนคนนอกหลอก ถ้าถูกหลอกในถ้ำใต้ดิน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายยังไง 

   นั่นก็จริง มหาลัยต้องการคนร้ายกาจแบบนี้เช่นเดียวกับรองอาจารย์ใหญ่… 

  หวงจิ่งกระแอม สิงโตถังเพี้ยนไปแล้วรึไง?

  ถ้ามีใครได้ยินเข้า พวกเขาต้องโดนเขาสอนบทเรียนเป็นแน่

  …

  ข่าวเรื่องฟางผิงก่อตั้งสมาคมผิงหยวนแพร่กระจายราวกับไฟป่า

  อย่างไรก็ตามฟางผิงยังทำงานไม่เสร็จ

  หลังสังเกตเห็นผู้คนจำนวนมากมาลงทะเบียน ฟางผิงก็หยิบแบบฟอร์มมานับสักพักก่อนตะโกนออกมา  จำนวนสมาชิกเต็มแล้ว! ใครที่ไม่ได้เข้ารอบนี้ก็ขอโทษด้วย ช่วงเวลานี้เราคงไม่มีโอกาสได้รับสมัครคนอีก! 

   หวังว่าวันหนึ่ง ทุกคนจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจ! 

   ผู้ที่กรอกใบสมัคร ฉันไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่ยังยึดมั่นและพยายามหนักเพื่อบรรลุความฝัน 

   อย่างไรก็ตามฉันต้องขอแสดงความยินดีกับพวกนายด้วยที่กล้าหาญพอที่จะเดินออกมาก้าวแรก! 

  ฝูงชนมีความวุ่นวายเล็กน้อย

  เมื่อฟางผิงกล่าวว่าทุกคนจะไม่เสียใจ นักศึกษาบางคนก็มีสีหน้าอ่านได้ยาก บางคนก็มองเหยียดๆ ส่วนคนที่กรอกใบสมัครไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกมีความสุขหรืออย่างไรดี

   แค่นี้แหละ ทุกคนแยกย้ายได้  ฟางผิงสั่ง  อีกสองวัน ทุกคนใส่ใจข้อความโทรศัพท์ด้วย เราจะมานัดรวมตัวกันที่ชมรม 

   ทุกคนจะได้รู้จักกัน หวังว่าสมาคมผิงหยวนจะกลายเป็นชมรมที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของมหาลัยในเร็วๆนี้! 

   เราจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่เรายังไม่ละทิ้งความฝัน! 

  หลังล้างสมองอีกครั้ง ฟางผิงก็ส่งทุกคนออกไป สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

  ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานเขาก็รับสมาชิกได้ 100 คนแล้ว

  ต่อให้มีคนอยู่ต่อครึ่งเดียว เขาก็มีคนพอแล้ว เมื่อแบ่งออกเป็นห้ากะ ทำงานสลับกันทุกห้าวันก็น่าจะพอแล้ว

  เขากำลังจะดูข้อมูลใบสมัคร แต่จู่ๆฟู่ชางติ่งที่อยู่ข้างๆก็กล่าวอย่างโกรธๆ  ฉันสมัครแล้ว ทำไมนายไม่ให้เราเข้าชมรมด้วย? 

  ฟางผิงชำเลืองมอง จากนั้นก็หันไปมองหยางเสี่ยวม่านและอีกสองสามคนที่โกรธไม่แพ้กัน เขายิ้มมุมปากแล้วอธิบาย  พวกนายมาจากครอบครัวร่ำรวย พวกนายทนรับความลำบากไม่ไหว ฉันไม่ปรนนิบัติพวกนายแน่นอน 

   นาย! 

  ฟู่ชางติ่งรู้สึกโกรธ  นายกำลังดูถูกเรางั้นเหรอ? 

   เฮอะ  ฟางผิงแค่นเสียง  เอาแบบนี้ไหม นายไปอัดรุ่นพี่ที่ล้อเลียนฉันเมื่อกี้แล้วฉันจะรับเข้าชมรม 

  ฟู่ชางติ่ง  … 

  หยางเสี่ยวม่าน  … 

  จ้าวเสวี่ยเหมย  … 

  เจ้าหมอนี่ใจแคบขนาดไหนเนี่ย?

  รุ่นพี่เมื่อกี้แค่พูดใส่ฟางผิงประโยคเดียว แถมฟางผิงก็ตอกกลับไปแล้ว อีกฝ่ายถึงกับไม่กล้าพูดอะไร แต่ฟางผิงยังบอกให้พวกเขาไปอัดรุ่นพี่คนนั้นอีก!

  เมื่อเห็นสายตาตกใจของนักศึกษาโดยรอบ ฟางผิงก็ส่ายหน้าและถอนหายใจก่อนจะเดินจากไป  เด็กครอบครัวร่ำรวยก็เป็นซะแบบนี้แหละ เพราะงั้นฉันถึงไม่รับพวกนาย รับพวกนายเข้าชมรมก็มีแต่จะเป็นการทำลายบรรยากาศของสมาคมผิงหยวน 

   ในฐานะประธาน ฉันให้นายทำเรื่องง่ายๆแบบนี้ไม่ได้ แล้วอนาคตฉันจะให้นายทำธุระของชมรมโดยไม่ต้องกังวลได้ยังไง? 

   สหายเอ๋ยสหาย ไม่ว่าจะถูกหรือผิด นายก็ต้องอยู่ข้างฉันก่อนถึงจะนับเป็นสหายฉันได้ น่าเสียดายนายไม่ตรงตามความต้องการของฉัน…  ฟางผิงรำพึงอย่างเสียใจ สมาชิกที่พึ่งเข้าร่วมชมรมที่อยู่ข้างๆได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น  ประธานพูดถูก ผู้ฝึกยุทธรุ่นของเราควรเป็นเช่นนี้! 

  ‘เลอะเทอะ!’ พวกฟู่ชางติ่งตะโกนในใจ ต้องโง่ขนาดไหนถึงเชื่อคำพูดเจ้าฟางขี้เหนียว!

  เขาจะให้ผลประโยชน์ทุกคนได้แค่ไหนเชียว?

  พวกนายรอดูกันไปเถอะ ของๆพวกนายจะกลายเป็นของๆประธาน แต่ของๆประธานยังเป็นของๆประธาน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะถูกขายจนหมดตัว!

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท