หลังทำภารกิจเสร็จ พวกฟางผิงก็ยังไม่ได้ไปจากเมืองจินเฉิง
ตอนทำภารกิจ พวกเขาออกนอกเส้นทางเพื่อไปพบกับเฉินเจียเซิงแห่งมหาลัยวิชายุทธจินหลิงอีกครั้ง
โม๋อู่กับเฉินเจียเซิงไม่ได้มีอะไรบาดหมางกัน เฉินเจียเซิงพ่ายแพ้ให้กับจิงอู่สองครั้ง ส่วนโม๋อู่ชนะจิงอู่ ซึ่งถือว่าเป็นการล้างแค้นให้พวกเขาแล้ว
ที่จริงพวกฟางผิงรู้สึกชื่นชมเฉินเจียเซิงมาก
ตระกูลเฉินสละชีวิตยกตระกูลในการต่อสู้ปี 96
ในปี 96 ถ้ำใต้ดินของประเทศจีนเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่
ทหารรักษาการณ์ทุกแห่งต่างก็ตึงเครียด ไม่มีทางช่วยเหลือพวกเขาได้เลย
เนื่องจากสถานการณ์ที่เลวร้ายในติงหลิน ผู้อาวุโสตระกูลเฉินกัดฟันตัดสินใจพาทั้งตระกูลไม่เว้นแม้แต่คนหนุ่มสาวหรือคนเฒ่าคนแก่ก้าวเข้าสู่สนามรบ สุดท้ายพวกเขาก็สละชีวิตในสนามรบ
ในการต่อสู้ครั้งนั้น ผู้อาวุโสตระกูลเฉินได้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขั้นเจ็ดขนาดใหญ่สามตัวจากถ้ำใต้ดิน
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสรั้งยอดฝีมือทั้งสามเอาไว้ กองทหารรักษาการณ์รอบนอกคงถูกเจาะทะลวงไปแล้ว เมื่อพวกมันขึ้นมาสู่ผืนโลกได้จะเกิดหายนะอย่างใหญ่หลวง
มีผู้ฝึกยุทธมากมายสิ้นชีพในการรบครั้งนั้น
อย่างไรก็ตามปรมาจารย์สิ้นชีพในการต่อสู้แทบไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่ประเทศจีนเอง
ที่หายากยิ่งกว่านั้นก็คือปรมาจารย์นำพาผู้ฝึกยุทธทั้งตระกูลไปด้วยแล้วสิ้นชีพด้วยกันในสนามรบ
บางทีเฉินเจียเซิงอาจทนไปจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เพราะมันเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของพวกเขาปกป้องมาด้วยชีวิต
แม้แต่ก่อนเกาเข่า เขาก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเข้ามหาลัยวิชายุทธตงหลิน
…
ที่จริงทุกคนไม่ได้สนิทกับเฉินเจียเซิงนัก หลังดื่มชาไปพลางคุยกันไปพลาง พวกเขาก็ถามเรื่องการกระทำของผู้ฝึกยุทธขั้นสามและแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว
เฉินเจียเซิงถอนหายใจกับการตัดสินใจของกลุ่มฟางผิงที่รับภารกิจผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด
เขาไม่เสียใจที่อยู่มหาลัยวิชายุทธตงหลิน เขาแค่รู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์
ตอนงานประลอง เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง แม้แต่ตอนนี้เขาก็ขัดเกลากระดูกได้ 75 ชิ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับกลุ่มฟู่ชางติ่งแล้ว เขาเป็นฝ่ายตามหลังอย่างไม่คาดคิด
เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง ความเร็วฝึกฝนของเขาช้ากว่ากลุ่มฟู่ชางติ่ง
เมื่อออกมาจากโรงน้ำชา ฟางผิงก็ส่ายหน้า เราอาจไม่เจอตัวเขา มหาลัยวิชายุทธตงหลินใช้อำนาจรัฐยังไม่เจอตัวเลย เจ้าหมอนี่คงออกไปจากเมืองจินเฉิงแล้ว
พูดตรงๆ คนๆนี้เป็นแค่สายลับทางธุรกิจ
ดังนั้นหมายจับจึงมีผลแค่ในตงหลิน กองทัพและกรมสืบสวนเมืองอื่นจะไม่ใช้กำลังคนจำนวนมากเพื่อสืบสวนหาสายลับเพียงคนเดียว
ดังนั้นตราบใดที่เป้าหมายหลบหนีไปจากเขตอำนาจอย่างเขตของมหาลัยวิชายุทธตงหลิน เขาก็แทบปลอดภัยแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ความหวังที่จะได้พบเขาในตงหลินแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ฟู่ชางติ่งกล่าวอย่างเสียใจอยู่บ้าง เราเอาไงต่อดี?
ฉันอยากไปหนานเจียง พวกนายคิดว่าไง?
ไปมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเหรอ?
ทุกคนหายจากอาการผิดหวังอย่างรวดเร็ว จ้าวเหล่ยแววตาเป็นประกาย นายชวนหวังจินหยางออกมาพบกันได้ไหม?.
นายอยากท้าเขาประลองตัวต่อตัวเหรอ?
สีหน้าของจ้าวเหล่ยมืดลง เขากล่าวแห้งๆ ฉันแค่อยากเจอเขา
ถ้าเขาไปท้าหวังจินหยาง เขาคงโง่แล้ว มันเป็นการหาที่ตายชัดๆ
ไว้ว่ากัน ช่วงนี้พี่หวังเหมือนจะฝึกฝนอยู่ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาว่างไหม
ไม่มีใครคัดค้านที่จะไปหนานเจียง
แถมหนานเจียงก็วุ่นวายกว่า
ยิ่งกว่านั้น เวลานี้หนานเจียงก็มีเรื่องน่าสนุกเหมือนกัน เมืองเจียงเฉิงพึ่งจัดการประลองยุทธ ทีมต่อสู้จากทุกเมืองหลั่งไหลมาเข้าร่วม
ถ้าพวกเขาไปหนานเจียง พวกเขาอาจได้ชมดูการประลองและได้เห็นระดับผู้ฝึกยุทธของหนานเจียง
ไม่มีใครคัดค้าน ฟางผิงจึงกำหนดแผนการเดินทาง
พวกเขาจะไปเมืองเจียงเฉิงก่อน ไปมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเผื่อได้เจอเหล่าหวัง จากนั้นก็ไปเยี่ยมผู้สำเร็จราชการจางดูว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรไหม
หลังจากนั้นพวกเขาจะรับภารกิจต่อ ดูงานประลองยุทธ แล้วค่อยกลับไปมหาลัย ส่วนฟางผิงจะกลับไปเยี่ยมที่บ้าน
หลังภารกิจเสร็จในเดือนมีนาคม ทุกคนจะต้องปักหลักอยู่มหาลัยสักพัก ไม่รับภารกิจอีกช่วงหนึ่ง
…
ณ วันที่ 20 มีนาคม มันเป็นไปตามที่ฟางผิงคาดไว้ พวกเขาไม่พบเป้าหมาย
ทุกคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปจากเมืองจินเฉิง และรีบไปตามกำหนดการ
การเดินชมสิ่งต่างๆเพิ่มระหว่างภารกิจก็เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ รั้งอยู่เมืองจินเฉิงระยะยาวไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย
รถยนต์โลดแล่นไปยังเมืองเจียงเฉิง
ระยะทางระหว่างเมืองจินเฉิงและเมืองเจียงเฉิงไม่มากนัก มันแค่ 300 กว่ากิโลเท่านั้น เดินทางดีๆใช้เวลาแค่สามชั่วโมง
พวกนายคิดว่าพานเสี่ยวหยางหายไปไหน?
ฟู่ชางติ่งยังคงไม่เต็มใจนัก พวกเขาเสียเวลาไปหลายวัน แต่ไม่เจออีกฝ่ายแม้แต่เงา
ใครจะรู้? ตงหลินอยู่ติดทะเล เขาอาจหนีไปทางทะเลแล้วก็ได้
ต่อให้เขาไม่ได้หนีจากทะเล แต่สมัยนี้การคมนาคมก้าวหน้าไปมาก ตงหลินไม่ได้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกสักหน่อย ถ้าเขาหนีไปจากตงหลิน เราจะไปหาเขาได้ที่ไหน?
นอกจากว่าเขาจะถูกหมายจับทั่วประเทศ…
อ๊ะ!
ฟู่ชางติ่งถอนหายใจ ฟางผิง นายเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว นายจะทะลวงขั้นสามตอนไหน?
ไว้ว่ากัน เว้นแต่จะมีทรัพยากรเพียงพอ ทะลวงขั้นสามไป ฉันก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเทียบกันแล้ว เป็นขั้นสองอย่างตอนนี้และใช้ปราณและเลือดน้อยลงดีกว่า
ยิ่งกว่านั้นฉันยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้เลย ฉันระเบิดปราณและเลือดสูงสุดได้แค่ 150แคลเท่านั้น
แถม 150แคลไม่ถึงหนึ่งในสามของปราณและเลือดฉันอีกต่างหาก
พูดตรงๆมันเป็นได้แค่กระบวนท่าร้ายแรงเท่านั้น มันยังไกลจากกระบวนท่าไม้ตาย
ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดมีปราณและเลือดเกือบ 1000แคล ตราบใดที่ควบคุมพลังตนเองได้อย่างเชี่ยวชาญ พวกเขาระเบิดปราณและเลือดถึง 100แคลง่ายๆ
ถ้าพวกเขาเข้าใจกระบวนท่าร้ายแรง แม้แต่เป็นช่วงเริ่มต้น พวกเขาก็ระเบิดปราณและเลือดได้มากกว่า 200แคล
เมื่อพวกเขาเข้าใจกระบวนท่าไม้ตาย แค่กระบวนท่าเดียวก็กินปราณและเลือดไป 300-400แคล…
นายจะบอกว่า ถ้าฉันเป็นขั้นสามและเจอกับผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดที่เข้าใจกระบวนท่าไม้ตาย สถานการณ์จะไม่ต่างจากตอนนี้ จบในกระบวนท่าเดียวงั้นเหรอ?
จากนิยามยอดฝีมือขั้นสามสูงสุดที่มีปราณและเลือด 1000แคล ระเบิดปราณและเลือดได้ 100แคลถือว่าควบคุมพลังตนเองได้เชี่ยวชาญแล้ว
ระเบิดปราณและเลือดได้ถึง 200-300แคลถือเป็นกระบวนท่าร้ายแรง
สูงกว่า 300แคล เป็นกระบวนท่าไม้ตาย ถ้าระเบิดได้ถึง 500แคล ผู้ฝึกยุทธเช่นนี้ส่วนใหญ่จะไร้เทียมทานในระดับขั้นเดียวกัน
แต่มีเงื่อนไขคือคนพวกนี้ต้องไม่พบเจอผู้ฝึกยุทธที่เทียบเคียงกัน
หากเขาฟางผิงระเบิดพลังสูงสุด เขาถือเป็นปลาเล็กปลาน้อยในหมู่ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดที่สำเร็จกระบวนท่าร้ายแรง ไม่ว่าคนไหนก็สามารถสังหารเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
พวกเราเป็นตัวไร้ประโยชน์ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทุกคนถอนหายใจอีกครั้ง เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้พวกเขาหัวเสียจริงๆ
ฟางผิงใช้เวลาสองเดือนจากขั้นหนึ่งสูงสุดสู่ขั้นสองสูงสุด
ความเร็วนี้น่าตกใจมาก
กลับกันฟางผิงรู้สึกว่ามันธรรมดา เหล่าหวังเหมือนจะใช้เวลาประมาณสามเดือน เขาพึ่งทะลวงขั้นสองตอนต้นปี 2008 ช่วงเดือนมกราคม
ตอนที่ฟางผิงเจอเขาช่วงกลางเดือนเมษา เขาก็เป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว
เมื่อถึงเดือนพฤษภา เขาก็เป็นขั้นสามแล้ว
ตอนเดือนตุลาคม เขาบรรลุสู่ขั้นสี่
เขาใช้เวลาสามเดือนจากขั้นสองเป็นขั้นสาม และเวลาห้าเดือนจากขั้นสามเป็นขั้นสี่
ถ้าฟางผิงอยากเป็นขั้นสามตอนนี้ เขาก็ทำได้ อย่างไรก็ตาม จากขั้นสามสู่ขั้นสี่ เขาต้องขัดเกลากระดุก 51 ชิ้น บางทีเตรียมทรัพยากเพื่อฝึกฝน ห้าเดือนอาจไม่พอด้วยซ้ำ
…
ณ เมืองเจียงเฉิง
เมืองหลวงของมณฑลหนานเจียง
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางผิงมาเจียงเฉิง
มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงอยู่แถบชานเมืองของเจียงเฉิง แม้จะเป็นชานเมือง แต่เพราะการมีอยู่ของมหาลัย สถานที่แห่งนี้จึงมีชีวิตชีวาเช่นกัน
มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงดูห่วยมาก
หยางเสี่ยวม่านปากไม่มีหูรูด เมื่อเห็นประตูมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง เธอก็พูดออกมาโดยไม่ได้คิด
เมื่อเธอพูดจบ จู่ๆก็มีคนข้างๆพูดเยาะเย้ย พูดจาไม่ระวังจะนำมาสู่ปัญหา ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ฉันคงส่งเธอไปนอนโรงพยาบาลแล้ว
หยางเสี่ยวม่านมองอีกฝ่าย เธอเม้มปากโดยไม่ได้พูดอะไร
อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ เขาเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ
เตรียมผู้ฝึกยุทธเช่นนี้กำลังคุกคามเธอ บอกจะส่งเธอไปนอนโรงพยาบาล ถ้าเป็นโม๋อู่ สถานการณ์จะเป็นคนละเรื่อง
กระนั้นการมายืนอยู่หน้าประตูมหาลัยอื่นแล้วพูดจาไม่ดีใส่มหาลัยก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อได้ยินแบบนั้น หยางเสี่ยวม่านก็ไม่สนใจที่จะทะเลาะด้วย ฟางผิงกับพวกยิ้มเป็นเชิงขอโทษ ชายคนนั้นจึงแค่นเสียงทีนึงแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ฟางผิงถึงตำหนิอย่างไม่พอใจ เธอเงียบได้ไหม? เธอมาสร้างปัญหารึไง?
ฉันแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เขาฟังสักหน่อย อีกอย่างนายไม่เห็นรึไง ฉันก็เงียบแล้วไง…
หยางเสี่ยวม่านรู้สึกกลัดกลุ้ม ฉันเป็นขั้นสองโอเคมั้ย? ปล่อยให้เตรียมผู้ฝึกยุทธมาสั่งสอน ฉันก็ใจกว้างพอแล้วนะ
อีกอย่าง ฉันไม่ได้พูดโกหกสักหน่อย มันดูห่วยมาก
เธอน่ะเงียบไปเลย ถ้าปรมาจารย์ได้ยินแล้วตบเธอตาย เราไม่ขอความเมตตาให้เธอหรอกนะ
หยางเสี่ยวม่านหดคอ หนานอู่เป็นมหาลัยวิชายุทธโดยเฉพาะ อาจารย์ใหญ่ของมหาลัยแบบนี้ย่อมเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์
พวกเขาไม่ได้คุยเรื่องนี้กันต่อ หลังยืนอยู่หน้าประตูสักพัก จู่ๆอู๋จื้อเห่าก็ปรากฏขึ้นมา
เมื่อเห็นฟางผิง อู๋จื้อเห่าก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหัวเราะ ฟางผิง พวกนายมาหนานอู่จริงๆเหรอเนี่ย เป็นแขกที่หาได้ยากมาก!
ตอนที่นายบอกว่าอยู่ที่หน้าประตู ฉันคิดว่าฉันได้ยินผิดไปเองซะอีก
จิ๊ จิ๊ ทีมแชมป์ของมหาลัยวิชายุทธมาเยือนด้วยกัน ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!
ฟางผิงตำหนิเขาอย่างเบิกบาน เลิกแสร้งทำได้แล้ว พอดีฉันมีธุระที่หนานเจียง ฉันเลยแวะมาดู
เป็นไงบ้าง? พวกเราเข้าไปได้ไหม?
ไม่มีปัญหา แค่บอกว่าพวกนายเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นฉันก็คงไม่เป็นไรแล้ว…
อู๋จื้อเห่าหัวเราะและพาพวกเขาเข้าไปข้างใน
เมื่อพวกเขามาถึงที่ประตู อู๋จื้อเห่าก็พูดกับชายชราที่ป้อมยาม ชายชราแหงนหน้ามองพวกฟางผิงก่อนจะพยักหน้า ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
หลังจากที่กลุ่มฟางผิงเข้าไปแล้ว ชายชราถึงครุ่นคิดและพึมพำออกมา พวกนั้นเป็นเด็กใหม่โม๋อู่? เกินไปไหม? ขั้นสองสูงสุดหนึ่งคนกับขั้นสองห้าคน ถ้าเราไม่มีหวังจินหยาง หนานอู่เทียบอะไรด้วยไม่ได้เลย…
ปัจจุบัน ในหมู่เด็กใหม่หนานอู่ มีผู้ฝึกยุทธไม่ถึงห้าสิบคนด้วยซ้ำ ขั้นหนึ่งสูงสุดไม่ถึงห้าคน
มีเพียงไป๋อิ่นคนเดียวที่เป็นขั้นสอง
อย่างไรก็ตามไป๋อิ่นยังอยู่ห่างไกลจากขั้นสองสูงสุด เขาอาจไม่ได้เป็นขั้นสองสูงสุดในปีหนึ่งด้วยซ้ำ
ไป๋อิ่นเป็นหน้าตาของเด็กใหม่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง แต่โม๋อู่มีนักศึกษาขั้นสองเป็นจำนวนมาก
…