World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 183.1 สาส์นท้าประลองจากหนานอู่ (1)

ตอนที่ 183.1 สาส์นท้าประลองจากหนานอู่ (1)

  หลังทำภารกิจเสร็จ พวกฟางผิงก็ยังไม่ได้ไปจากเมืองจินเฉิง

  ตอนทำภารกิจ พวกเขาออกนอกเส้นทางเพื่อไปพบกับเฉินเจียเซิงแห่งมหาลัยวิชายุทธจินหลิงอีกครั้ง

  โม๋อู่กับเฉินเจียเซิงไม่ได้มีอะไรบาดหมางกัน เฉินเจียเซิงพ่ายแพ้ให้กับจิงอู่สองครั้ง ส่วนโม๋อู่ชนะจิงอู่ ซึ่งถือว่าเป็นการล้างแค้นให้พวกเขาแล้ว

  ที่จริงพวกฟางผิงรู้สึกชื่นชมเฉินเจียเซิงมาก

  ตระกูลเฉินสละชีวิตยกตระกูลในการต่อสู้ปี 96

  ในปี 96 ถ้ำใต้ดินของประเทศจีนเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

  ทหารรักษาการณ์ทุกแห่งต่างก็ตึงเครียด ไม่มีทางช่วยเหลือพวกเขาได้เลย

  เนื่องจากสถานการณ์ที่เลวร้ายในติงหลิน ผู้อาวุโสตระกูลเฉินกัดฟันตัดสินใจพาทั้งตระกูลไม่เว้นแม้แต่คนหนุ่มสาวหรือคนเฒ่าคนแก่ก้าวเข้าสู่สนามรบ สุดท้ายพวกเขาก็สละชีวิตในสนามรบ

  ในการต่อสู้ครั้งนั้น ผู้อาวุโสตระกูลเฉินได้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขั้นเจ็ดขนาดใหญ่สามตัวจากถ้ำใต้ดิน

  ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสรั้งยอดฝีมือทั้งสามเอาไว้ กองทหารรักษาการณ์รอบนอกคงถูกเจาะทะลวงไปแล้ว เมื่อพวกมันขึ้นมาสู่ผืนโลกได้จะเกิดหายนะอย่างใหญ่หลวง

  มีผู้ฝึกยุทธมากมายสิ้นชีพในการรบครั้งนั้น

  อย่างไรก็ตามปรมาจารย์สิ้นชีพในการต่อสู้แทบไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่ประเทศจีนเอง

  ที่หายากยิ่งกว่านั้นก็คือปรมาจารย์นำพาผู้ฝึกยุทธทั้งตระกูลไปด้วยแล้วสิ้นชีพด้วยกันในสนามรบ

  บางทีเฉินเจียเซิงอาจทนไปจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เพราะมันเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของพวกเขาปกป้องมาด้วยชีวิต

  แม้แต่ก่อนเกาเข่า เขาก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเข้ามหาลัยวิชายุทธตงหลิน

  …

  ที่จริงทุกคนไม่ได้สนิทกับเฉินเจียเซิงนัก หลังดื่มชาไปพลางคุยกันไปพลาง พวกเขาก็ถามเรื่องการกระทำของผู้ฝึกยุทธขั้นสามและแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว

  เฉินเจียเซิงถอนหายใจกับการตัดสินใจของกลุ่มฟางผิงที่รับภารกิจผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด

  เขาไม่เสียใจที่อยู่มหาลัยวิชายุทธตงหลิน เขาแค่รู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์

  ตอนงานประลอง เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง แม้แต่ตอนนี้เขาก็ขัดเกลากระดูกได้ 75 ชิ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับกลุ่มฟู่ชางติ่งแล้ว เขาเป็นฝ่ายตามหลังอย่างไม่คาดคิด

  เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง ความเร็วฝึกฝนของเขาช้ากว่ากลุ่มฟู่ชางติ่ง

  เมื่อออกมาจากโรงน้ำชา ฟางผิงก็ส่ายหน้า  เราอาจไม่เจอตัวเขา มหาลัยวิชายุทธตงหลินใช้อำนาจรัฐยังไม่เจอตัวเลย เจ้าหมอนี่คงออกไปจากเมืองจินเฉิงแล้ว 

  พูดตรงๆ คนๆนี้เป็นแค่สายลับทางธุรกิจ

  ดังนั้นหมายจับจึงมีผลแค่ในตงหลิน กองทัพและกรมสืบสวนเมืองอื่นจะไม่ใช้กำลังคนจำนวนมากเพื่อสืบสวนหาสายลับเพียงคนเดียว

  ดังนั้นตราบใดที่เป้าหมายหลบหนีไปจากเขตอำนาจอย่างเขตของมหาลัยวิชายุทธตงหลิน เขาก็แทบปลอดภัยแล้ว

  ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ความหวังที่จะได้พบเขาในตงหลินแทบเป็นไปไม่ได้เลย

  ฟู่ชางติ่งกล่าวอย่างเสียใจอยู่บ้าง  เราเอาไงต่อดี? 

   ฉันอยากไปหนานเจียง พวกนายคิดว่าไง? 

   ไปมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเหรอ? 

  ทุกคนหายจากอาการผิดหวังอย่างรวดเร็ว จ้าวเหล่ยแววตาเป็นประกาย  นายชวนหวังจินหยางออกมาพบกันได้ไหม?.

   นายอยากท้าเขาประลองตัวต่อตัวเหรอ? 

  สีหน้าของจ้าวเหล่ยมืดลง เขากล่าวแห้งๆ  ฉันแค่อยากเจอเขา 

  ถ้าเขาไปท้าหวังจินหยาง เขาคงโง่แล้ว มันเป็นการหาที่ตายชัดๆ

   ไว้ว่ากัน ช่วงนี้พี่หวังเหมือนจะฝึกฝนอยู่ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาว่างไหม 

  ไม่มีใครคัดค้านที่จะไปหนานเจียง

  แถมหนานเจียงก็วุ่นวายกว่า

  ยิ่งกว่านั้น เวลานี้หนานเจียงก็มีเรื่องน่าสนุกเหมือนกัน เมืองเจียงเฉิงพึ่งจัดการประลองยุทธ ทีมต่อสู้จากทุกเมืองหลั่งไหลมาเข้าร่วม

  ถ้าพวกเขาไปหนานเจียง พวกเขาอาจได้ชมดูการประลองและได้เห็นระดับผู้ฝึกยุทธของหนานเจียง

  ไม่มีใครคัดค้าน ฟางผิงจึงกำหนดแผนการเดินทาง

  พวกเขาจะไปเมืองเจียงเฉิงก่อน ไปมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเผื่อได้เจอเหล่าหวัง จากนั้นก็ไปเยี่ยมผู้สำเร็จราชการจางดูว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรไหม

  หลังจากนั้นพวกเขาจะรับภารกิจต่อ ดูงานประลองยุทธ แล้วค่อยกลับไปมหาลัย ส่วนฟางผิงจะกลับไปเยี่ยมที่บ้าน

  หลังภารกิจเสร็จในเดือนมีนาคม ทุกคนจะต้องปักหลักอยู่มหาลัยสักพัก ไม่รับภารกิจอีกช่วงหนึ่ง

  …

  ณ วันที่ 20 มีนาคม มันเป็นไปตามที่ฟางผิงคาดไว้ พวกเขาไม่พบเป้าหมาย

  ทุกคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปจากเมืองจินเฉิง และรีบไปตามกำหนดการ

  การเดินชมสิ่งต่างๆเพิ่มระหว่างภารกิจก็เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ รั้งอยู่เมืองจินเฉิงระยะยาวไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย

  รถยนต์โลดแล่นไปยังเมืองเจียงเฉิง

  ระยะทางระหว่างเมืองจินเฉิงและเมืองเจียงเฉิงไม่มากนัก มันแค่ 300 กว่ากิโลเท่านั้น เดินทางดีๆใช้เวลาแค่สามชั่วโมง

   พวกนายคิดว่าพานเสี่ยวหยางหายไปไหน? 

  ฟู่ชางติ่งยังคงไม่เต็มใจนัก พวกเขาเสียเวลาไปหลายวัน แต่ไม่เจออีกฝ่ายแม้แต่เงา

   ใครจะรู้? ตงหลินอยู่ติดทะเล เขาอาจหนีไปทางทะเลแล้วก็ได้ 

   ต่อให้เขาไม่ได้หนีจากทะเล แต่สมัยนี้การคมนาคมก้าวหน้าไปมาก ตงหลินไม่ได้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกสักหน่อย ถ้าเขาหนีไปจากตงหลิน เราจะไปหาเขาได้ที่ไหน? 

   นอกจากว่าเขาจะถูกหมายจับทั่วประเทศ… 

   อ๊ะ! 

  ฟู่ชางติ่งถอนหายใจ  ฟางผิง นายเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว นายจะทะลวงขั้นสามตอนไหน? 

   ไว้ว่ากัน เว้นแต่จะมีทรัพยากรเพียงพอ ทะลวงขั้นสามไป ฉันก็ไม่มีประโยชน์ 

   เมื่อเทียบกันแล้ว เป็นขั้นสองอย่างตอนนี้และใช้ปราณและเลือดน้อยลงดีกว่า 

   ยิ่งกว่านั้นฉันยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้เลย ฉันระเบิดปราณและเลือดสูงสุดได้แค่ 150แคลเท่านั้น 

   แถม 150แคลไม่ถึงหนึ่งในสามของปราณและเลือดฉันอีกต่างหาก 

   พูดตรงๆมันเป็นได้แค่กระบวนท่าร้ายแรงเท่านั้น มันยังไกลจากกระบวนท่าไม้ตาย 

   ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดมีปราณและเลือดเกือบ 1000แคล ตราบใดที่ควบคุมพลังตนเองได้อย่างเชี่ยวชาญ พวกเขาระเบิดปราณและเลือดถึง 100แคลง่ายๆ 

   ถ้าพวกเขาเข้าใจกระบวนท่าร้ายแรง แม้แต่เป็นช่วงเริ่มต้น พวกเขาก็ระเบิดปราณและเลือดได้มากกว่า 200แคล 

   เมื่อพวกเขาเข้าใจกระบวนท่าไม้ตาย แค่กระบวนท่าเดียวก็กินปราณและเลือดไป 300-400แคล… 

   นายจะบอกว่า ถ้าฉันเป็นขั้นสามและเจอกับผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดที่เข้าใจกระบวนท่าไม้ตาย สถานการณ์จะไม่ต่างจากตอนนี้ จบในกระบวนท่าเดียวงั้นเหรอ? 

  จากนิยามยอดฝีมือขั้นสามสูงสุดที่มีปราณและเลือด 1000แคล ระเบิดปราณและเลือดได้ 100แคลถือว่าควบคุมพลังตนเองได้เชี่ยวชาญแล้ว

  ระเบิดปราณและเลือดได้ถึง 200-300แคลถือเป็นกระบวนท่าร้ายแรง

  สูงกว่า 300แคล เป็นกระบวนท่าไม้ตาย ถ้าระเบิดได้ถึง 500แคล ผู้ฝึกยุทธเช่นนี้ส่วนใหญ่จะไร้เทียมทานในระดับขั้นเดียวกัน

  แต่มีเงื่อนไขคือคนพวกนี้ต้องไม่พบเจอผู้ฝึกยุทธที่เทียบเคียงกัน

  หากเขาฟางผิงระเบิดพลังสูงสุด เขาถือเป็นปลาเล็กปลาน้อยในหมู่ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดที่สำเร็จกระบวนท่าร้ายแรง ไม่ว่าคนไหนก็สามารถสังหารเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว

   พวกเราเป็นตัวไร้ประโยชน์ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ 

  ทุกคนถอนหายใจอีกครั้ง เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้พวกเขาหัวเสียจริงๆ

  ฟางผิงใช้เวลาสองเดือนจากขั้นหนึ่งสูงสุดสู่ขั้นสองสูงสุด

  ความเร็วนี้น่าตกใจมาก

  กลับกันฟางผิงรู้สึกว่ามันธรรมดา เหล่าหวังเหมือนจะใช้เวลาประมาณสามเดือน เขาพึ่งทะลวงขั้นสองตอนต้นปี 2008 ช่วงเดือนมกราคม

  ตอนที่ฟางผิงเจอเขาช่วงกลางเดือนเมษา เขาก็เป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว

  เมื่อถึงเดือนพฤษภา เขาก็เป็นขั้นสามแล้ว

  ตอนเดือนตุลาคม เขาบรรลุสู่ขั้นสี่

  เขาใช้เวลาสามเดือนจากขั้นสองเป็นขั้นสาม และเวลาห้าเดือนจากขั้นสามเป็นขั้นสี่

  ถ้าฟางผิงอยากเป็นขั้นสามตอนนี้ เขาก็ทำได้ อย่างไรก็ตาม จากขั้นสามสู่ขั้นสี่ เขาต้องขัดเกลากระดุก 51 ชิ้น บางทีเตรียมทรัพยากเพื่อฝึกฝน ห้าเดือนอาจไม่พอด้วยซ้ำ

  …

  ณ เมืองเจียงเฉิง

  เมืองหลวงของมณฑลหนานเจียง

  นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางผิงมาเจียงเฉิง

  มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงอยู่แถบชานเมืองของเจียงเฉิง แม้จะเป็นชานเมือง แต่เพราะการมีอยู่ของมหาลัย สถานที่แห่งนี้จึงมีชีวิตชีวาเช่นกัน

   มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงดูห่วยมาก 

  หยางเสี่ยวม่านปากไม่มีหูรูด เมื่อเห็นประตูมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง เธอก็พูดออกมาโดยไม่ได้คิด

  เมื่อเธอพูดจบ จู่ๆก็มีคนข้างๆพูดเยาะเย้ย  พูดจาไม่ระวังจะนำมาสู่ปัญหา ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ฉันคงส่งเธอไปนอนโรงพยาบาลแล้ว 

  หยางเสี่ยวม่านมองอีกฝ่าย เธอเม้มปากโดยไม่ได้พูดอะไร

  อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ เขาเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ

  เตรียมผู้ฝึกยุทธเช่นนี้กำลังคุกคามเธอ บอกจะส่งเธอไปนอนโรงพยาบาล ถ้าเป็นโม๋อู่ สถานการณ์จะเป็นคนละเรื่อง

  กระนั้นการมายืนอยู่หน้าประตูมหาลัยอื่นแล้วพูดจาไม่ดีใส่มหาลัยก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อได้ยินแบบนั้น หยางเสี่ยวม่านก็ไม่สนใจที่จะทะเลาะด้วย ฟางผิงกับพวกยิ้มเป็นเชิงขอโทษ ชายคนนั้นจึงแค่นเสียงทีนึงแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

  หลังจากที่เขาจากไปแล้ว ฟางผิงถึงตำหนิอย่างไม่พอใจ  เธอเงียบได้ไหม? เธอมาสร้างปัญหารึไง? 

   ฉันแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เขาฟังสักหน่อย อีกอย่างนายไม่เห็นรึไง ฉันก็เงียบแล้วไง… 

  หยางเสี่ยวม่านรู้สึกกลัดกลุ้ม  ฉันเป็นขั้นสองโอเคมั้ย? ปล่อยให้เตรียมผู้ฝึกยุทธมาสั่งสอน ฉันก็ใจกว้างพอแล้วนะ 

   อีกอย่าง ฉันไม่ได้พูดโกหกสักหน่อย มันดูห่วยมาก 

   เธอน่ะเงียบไปเลย ถ้าปรมาจารย์ได้ยินแล้วตบเธอตาย เราไม่ขอความเมตตาให้เธอหรอกนะ 

  หยางเสี่ยวม่านหดคอ หนานอู่เป็นมหาลัยวิชายุทธโดยเฉพาะ อาจารย์ใหญ่ของมหาลัยแบบนี้ย่อมเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์

  พวกเขาไม่ได้คุยเรื่องนี้กันต่อ หลังยืนอยู่หน้าประตูสักพัก จู่ๆอู๋จื้อเห่าก็ปรากฏขึ้นมา

  เมื่อเห็นฟางผิง อู๋จื้อเห่าก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหัวเราะ  ฟางผิง พวกนายมาหนานอู่จริงๆเหรอเนี่ย เป็นแขกที่หาได้ยากมาก! 

   ตอนที่นายบอกว่าอยู่ที่หน้าประตู ฉันคิดว่าฉันได้ยินผิดไปเองซะอีก 

   จิ๊ จิ๊ ทีมแชมป์ของมหาลัยวิชายุทธมาเยือนด้วยกัน ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง! 

  ฟางผิงตำหนิเขาอย่างเบิกบาน  เลิกแสร้งทำได้แล้ว พอดีฉันมีธุระที่หนานเจียง ฉันเลยแวะมาดู 

   เป็นไงบ้าง? พวกเราเข้าไปได้ไหม? 

   ไม่มีปัญหา แค่บอกว่าพวกนายเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นฉันก็คงไม่เป็นไรแล้ว… 

  อู๋จื้อเห่าหัวเราะและพาพวกเขาเข้าไปข้างใน

  เมื่อพวกเขามาถึงที่ประตู อู๋จื้อเห่าก็พูดกับชายชราที่ป้อมยาม ชายชราแหงนหน้ามองพวกฟางผิงก่อนจะพยักหน้า ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป

  หลังจากที่กลุ่มฟางผิงเข้าไปแล้ว ชายชราถึงครุ่นคิดและพึมพำออกมา  พวกนั้นเป็นเด็กใหม่โม๋อู่? เกินไปไหม? ขั้นสองสูงสุดหนึ่งคนกับขั้นสองห้าคน ถ้าเราไม่มีหวังจินหยาง หนานอู่เทียบอะไรด้วยไม่ได้เลย… 

  ปัจจุบัน ในหมู่เด็กใหม่หนานอู่ มีผู้ฝึกยุทธไม่ถึงห้าสิบคนด้วยซ้ำ ขั้นหนึ่งสูงสุดไม่ถึงห้าคน

  มีเพียงไป๋อิ่นคนเดียวที่เป็นขั้นสอง

  อย่างไรก็ตามไป๋อิ่นยังอยู่ห่างไกลจากขั้นสองสูงสุด เขาอาจไม่ได้เป็นขั้นสองสูงสุดในปีหนึ่งด้วยซ้ำ

  ไป๋อิ่นเป็นหน้าตาของเด็กใหม่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง แต่โม๋อู่มีนักศึกษาขั้นสองเป็นจำนวนมาก

  …

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท