World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 188 สังคมมันซับซ้อน

ตอนที่ 188 สังคมมันซับซ้อน

  ผลการประลองที่จัดที่หนานอู่แพร่กระจายไปทั่วเมืองเจียงเฉิงอย่างรวดเร็ว

   หนานอู่พ่ายแพ้ย่อยยับ! 

   กู้เสียงแพ้ให้แก่ฟางผิง 

   ฟางผิงอาจเข้าสู่สิบอันดับแรกของอันดับผู้ฝึกยุทธขั้นสองของมหาลัยวิชายุทธ 

   เมืองหยางเฉิงถือครองความลับอะไรอยู่? มีหวังจินหยางปรากฏตัวขึ้นมาไม่พอ ยังมีฟางผิงอีกคน 

   เด็กรุ่นใหม่แซงหน้าคนรุ่นก่อน รูปแบบการสอนของหนานอู่มีปัญหา? จำเป็นต้องปฏิรูป? 

   … 

  มีหลายคนในแวดวงยุทธเมืองเจียงเฉิงที่คุยกันเรื่องผลลัพธ์การประลองหนานอู่กับโม๋อู่อย่างดุเดือด

  ทีมหนานอู่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดทุกคน มีแม้แต่หนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสามทั่วๆไปเลย

  ในด้านความแข็งแกร่งเชิงยุทธ หนานเจียงไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ผู้บัญชาการนครระดับจังหวัดโดยทั่วไปจะอยู่ที่ขั้นสี่

  ผู้บัญชาการของนครระดับเทศมณฑลอย่างหยางเฉิงเป็นแค่ขั้นสามเท่านั้น

  แม้ฟางผิงกับคนอื่นๆจะเป็นเพียงนักศึกษา แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ล่างสุดของแวดวงยุทธหนานเจียง

  แถมสามปรมาจารย์ยังไปชมการประลองด้วย นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในหนานเจียง

  หนานเจียงมีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน

  มีปรมาจารย์อยู่ห้าท่าน ผู้สำเร็จราชการจางติ้งหนาน อาจารย์ใหญ่หนานอู่ ผู้บัญชาการทหารของกองทัพที่ประจำการอยู่หนานเจียง ประธานพันธมิตรหอการค้าหนานเจียง และสุดท้าย เจ้าสำนักของสำนักยุทธเจิ้งหยาง

  สามปรมาจารย์ แถมยังมีหวงจิ่งจากโม๋อู่เป็นหนึ่งในนั้นมาชมการประลองของผู้ฝึกยุทธขั้นสอง มันเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง

  ประเทศจีน ปรมาจารย์ไม่ได้หายากนัก เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีปรมาจารย์มากที่สุดในโลกด้วยซ้ำ แต่ประเทศจีนกว้างใหญ่เกินไป

  แต่หนานเจียงเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยพัฒนานัก ดังนั้นปรมาจารย์จึงพบเห็นในที่สาธารณะได้ยาก

  เมื่อมีปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นมา การประลองในหนานอู่จึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

  ด้วยเหตุนี้ฟางผิงผู้ฝึกยุทธหนุ่มจากเมืองหยางเฉิงจึงค่อยๆมีชื่อเสียงในแวดวงวิชายุทธ

  …

  ณ โรงแรม

  หนานอู่ส่งรางวัลแก่ความพยายามของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

  ทุกคนรู้สึกโง่งมหลังเห็นฟางผิงเก็บยาปราณและเลือดขั้นสอง 6 เม็ดใส่กระเป๋าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

  ไป๋รั่วซีอดถามอย่างขบขันไม่ได้  เธอ…เธอจะไม่ให้หยุนซีจริงเหรอ? 

  ฟางผิงตอบอย่างแปลกใจ  เธอบอกว่าเธอให้ผม 

  ฟางผิงไม่เข้าใจปฏิกิริยาพวกเขา ทำไม? เธอจะกลับคำพูดเหรอ?

   … 

  คนอื่นๆรู้สึกหมดคำจะพูด เฉินหยุนซีอดพูดไม่ได้  ฉันบอกว่าจะให้ แต่…แต่นายไม่เกรงใจหน่อยเหรอ? 

   ฉันคิดว่านายจะรู้สึกเกรงใจบ้าง! 

   แสร้งปฏิเสธหน่อยก็ได้! 

   ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้านายเอาเม็ดยาไปจากมือฉัน! น่าโมโหนัก! 

  เมื่อเห็นทุกคนมองมา ฟางผิงจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างสุภาพ  ขอบคุณนะ พอฉันกลายเป็นปรมาจารย์ ฉันจะคืนให้ 

   … 

  หยางเสี่ยวม่านตำหนิอย่างไม่พอใจ  นายพอได้แล้ว! 

   ฉันบาดเจ็บ! พวกเธอจะทำกับคนเจ็บแบบนี้เหรอ? 

  สีหน้าของฟางผิงบ่งบอกว่าไม่พอใจ ‘รอบนี้ฉันขาดทุนไปเยอะมาก!’

  โชคดีที่เขาได้รับเม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองหกเม็ด ซึ่งทำให้เขาได้ค่าทรัพย์สินคืนมาสามล้าน

  ค่าทรัพย์สินเขามีเกือบสิบล้านแล้ว

  เขาใช้ไปบ้างตอนประลองกับหนานอู่ แต่ก็ไม่ได้มาก ตอนนี้เขามีค่าทรัพย์สินอยู่ประมาณ 9.2 ล้าน

  เขานับทรัพยากรของตัวเองอีกครั้ง เขาไม่ได้ใช้เม็ดยาไปมากนัก

  ยาปราณและเลือดขั้นสอง 8 เม็ด ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 16 เม็ด ยาปราณและเลือดสามัญ 30 เม็ด และยาชำระกระดูกขั้นสอง 2 เม็ด

  มูลค่าตลาดรวมแล้วประมาณ 15 ล้าน

  เม็ดยาพวกนี้บวกกับ 100 คะแนน ทำให้ฟางผิงมีทรัพย์สินกว่าสิบล้าน

  ถ้าเขาเอาไปขาย เขาอาจได้ค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไปอีก

  หลังพิจารณาสักครู่ ฟางผิงก็พลันเอ่ยถามขึ้นมา  พวกนายอยากได้เม็ดยาไหม? 

  ทุกคนตกใจ!

  ฟางผิงยาขาดแคลนเม็ดยาไม่ใช่รึไง?

  เขาไม่ต้องใช้ยาฝึกยุทธเหรอ?

  แต่เขาเริ่มขายยาอีกแล้ว!

  ‘แถมนายพึ่งเอายาสามเม็ดไปจากเฉินหยุนซี นายจะขายมันแล้ว? มันเหมาะสมไหม?’

  นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋รั่วซีได้ยินเรื่องเช่นนี้ เธอสับสนเช่นกัน ขายยา?

  ฟางผิงพูด  ฉันตกลงกับอาจารย์หลี่จากแผนกโลจิสติกส์แล้ว ถ้าฉันขายยาแล้วใช้เงินสดซื้อยากับอาจารย์หลี่ ฉันจะได้กำไรจากส่วนต่างราวครึ่งล้าน 

   อย่างมองฉันแบบนั้นสิ ฉันเคยบอกพวกนายแล้ว เด็กยากจนต้องเริ่มหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็กๆ 

   เงินครึ่งล้านไม่มีค่าสำหรับพวกนาย แต่สำหรับฉันมันเป็นเงินมหาศาล 

   น้องสาวฉันต้องไปเปิดแผงลอยขายของข้างถนนทุกวันหลังเลิกเรียนเพียงเพื่อเป็นเงินค่าขนมไม่กี่สิบหยวน เธออายุเพียงสิบสี่ปี… 

  ฟู่ชางติ่งฉีกหน้าเขา  นายแค่แบ่งเงินของนายนิดหน่อยให้ครอบครัว ครอบครัวนายก็ร่ำรวยแล้ว นายเล่นใหญ่ให้ทุกคนสงสารแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ? 

  ฟางผิงกล่าวอย่างจริงจัง  มันต่างกัน ฉันได้เงินเร็ว แต่ก็เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอดเวลา 

   เด็กจากครอบครัวยากจนควรยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เพราะงั้นฉันเลยไม่ขัดที่น้องสาวฉันไปเปิดแผงลอย 

   ตอนที่ฉันอยู่มัธยมปลาย ฉันไม่มีเงินไปหาข้อมูลในร้านเน็ตด้วยซ้ำ… 

   หยุด! 

  ฟู่ชางติ่งขัดเขาด้วยท่าทางหมดแรง  พอเถอะ ใช่ นายจน จนเอามากๆ 

   ว่ามา นายอยากขายเท่าไหร่? 

   ยาปราณและเลือดขั้นสอง 8 เม็ด ขั้นหนึ่ง 16 เม็ด สามัญ 30 เม็ด บวกกับยาชำระกระดูกขั้นสอง 2 เม็ด 

   ราคาตลาดเป็น 15.4 ล้าน… 

   เลิกอ้างราคาตลาดได้แล้ว 13 ล้านพอ 

  ฟางผิงสีหน้าหม่นลง เขาถลึงตามองฟู่ชางติ่งแล้วหันหน้าไปทางเฉินหยุนซีด้วยรอยยิ้ม  หยุนซี ครอบครัวเธอมีผู้ฝึกยุทธค่อนข้างมากใช่ไหม? 

  เฉินหยุนซีสับสนงุนงง

   ฉันจะขายยาพวกนี้ให้ เธอแค่ให้ฉันสิบห้าล้านพอ ฟังดูเป็นไง? 

   หือ? 

   ฉันลดให้เธอสี่แสน หยุนซี เธอไม่เคยทำธุรกิจอะไรเลยตั้งแต่เด็กถูกไหม? 

   ถ้าพ่อแม่เธอหรือครอบครัวเธอรู้ว่าเธอได้กำไรสี่แสนจากการทำธุรกิจครั้งแรก พวกเขาต้องดีใจแน่ 

   พวกเขาจะไม่คิดงั้นเหรอว่าลูกสาวเติบโตขึ้น ดูแลตัวเองได้มากขึ้น 

   สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่กำไร แต่เป็นความจริงที่ว่าเธอเรียนรู้การยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง 

   มันก็แค่สิบห้าล้าน เธอน่าจะมีเงินในกระเป๋าอยู่มากถูกไหม? 

   เมื่อเธอกลับบ้านไป บอกพวกเขาว่า ‘ฉันเฉินหยุนซีดูแลตัวเองได้’ ครอบครัวเธอต้องแปลกใจแน่ มันคงเป็นความรู้สึกที่งดงาม… 

  ทุกคนยืนดูฟางผิงหว่านล้อมเฉินหยุนซีอย่างสับสน

  เฉินหยุนซีไม่ได้โง่ แต่เธอไม่เคยซื้อยาด้วยตัวเอง เพราะครอบครัวเธอเตรียมไว้ให้เสมอ

  ฟางผิงบอกว่าราคาตลาด 15.4 ล้าน และจะขายให้เธอ 15 ล้าน ซึ่งดูเหมือนราคาจะไม่ได้แพง

  เธอหันไปมองหยางเสี่ยวม่านและคนอื่นๆโดยไม่รู้ตัว หยางเสี่ยวม่านอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟางผิงก็พูดแทรกขึ้นมา  หยางเสี่ยวม่าน ในฐานะเพื่อน เธออย่าอิจฉาฐานะครอบครัวของเฉินหยุนซี จงใจสร้างปัญหาให้เฉินหยุนซีอยู่ภายใต้ปีกของพ่อแม่และครอบครัวไปตลอด! 

   มันจะไม่ดีต่อการเติบโตของเฉินหยุนซี! 

   มันเป็นเพราะความด้อยประสบการณ์ของหยุนซี ครั้งก่อนที่มหาลัย เธอถึงถูกสิงโตถัง เอ่อ…อาจารย์ถังดูถูก 

   เมื่อเราล้มเหลว เราก็จะเรียนรู้จากความล้มเหลว มีแต่ประสบการณ์เท่านั้นที่ทำให้เราเติบโต รู้จักการดูแลตัวเอง เธอจะได้เข้าใจว่าสังคมมันซับซ้อนแค่ไหน 

   เด็กๆจะเติบโตขึ้นสักวันหนึ่ง เธอต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพ่อแม่ไปตลอดชีวิตเหรอ? 

   คนแบบนี้ ต่อให้มีความสามารถเชิงยุทธสูงส่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์! 

  ทุกคนเข้าใจความหมายของคำพูดเขา

  ‘ฉันหลอกเฉินหยุนซีก็เพื่อตัวเธอเอง’

  ‘เธอไม่รู้ว่าจิตใจคนเลวร้ายแค่ไหน ฉันฟางผิงยอมขาดทุนเล็กน้อย เป็นคนเลวร้ายสักครั้งเพื่อให้เธอเข้าใจว่าสังคมซับซ้อนแค่ไหน’

  หยางเสี่ยวม่านพูดไม่ออก เธอจ้องมองฟางผิงสักครู่แล้วกล่าวอย่างจนใจ  นายชนะ! 

  ฟู่ชางติ่งก็บ่นพึมพำเช่นกัน  ภาษาเป็นศาสตร์อย่างนึงจริงๆ 

  จ้าวเหล่ยกับคนอื่นๆก็มองมาที่ฟางผิง จากนั้นก็หันไปมองเฉินหยุนซี

  เฉินหยุนซีไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอมองฟางผิงแล้วกล่าวทันที  นายหลอกฉันเหรอ? 

   เปล่า… 

  ฟางผิงค่อนข้างอายเมื่อเห็นสายตาของเธอ จากนั้นสักครู่เขาก็กล่าว  ก็ได้ ฉันหลอกเธอ ที่จริงยาพวกนี้ขายได้ประมาณ 14.5 ล้าน 

   ฉันกำหนดราคาสูงขึ้นห้าแสน…แต่เธอก็รู้… 

   ก็ได้ ฉันจะเลิกพูดว่าตัวเองจน 14.5 ล้านก็ได้ช่างเถอะ 

   ยังไงเสียเราก็เป็นเพื่อนร่วมทีมกัน 

   ฉันจะไม่ซื้อแล้ว!  เฉินหยุนซีรู้สึกว่าฟางผิงอาจมีเจตนาไม่ดี เธอส่ายหน้า

  ฟางผิงขมวดคิ้ว  ก็ได้ แล้วแต่เลย ฉันเป็นหัวหน้าเธอ ฉันเลยหวังว่าเธอจะดูแลตัวเองได้มากขึ้น แต่ตอนนี้เธอดันอยากปล่อยให้เงินในกระเป๋าของตัวเองเน่าอยู่ในธนาคารแทนที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า 

   ฉันขอถามเธอหน่อย เธอน่าจะมีเงินในบัญชีเยอะใช่ไหม? 

   เธอมีอย่างน้อยเป็นสิบๆล้านใช่ไหม? 

   เก็บไว้ในธนาคารแล้วเป็นประโยชน์อะไรได้บ้างไหม? 

   มันเป็นส่วนช่วยให้เธอฝึกยุทธไหม? 

   ถ้าเธอเอามาซื้อเม็ดยา อย่างน้อยมันก็เป็นประโยชน์ต่อการฝึกยุทธ เธออยากพึ่งพาครอบครัวไปตลอดชีวิตเหรอ? 

   เธอเกือบยี่สิบแล้ว แต่เธอช่วยเหลือตัวเองได้น้อยกว่าน้องสาวฉันอีก…ก็ได้ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน 

   แต่… 

  เฉินหยุนซีเสียใจ คำพูดของฟางผิงทำให้เธออายจนแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี

   อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย อาการบาดเจ็บของฉันยังไม่หายดี ฉันขอตัวไปพักก่อน 

  ฟางผิงลุกขึ้น ทำท่าจะออกไป เมื่อเห็นแบบนั้นเฉินหยุนซีจึงคิดอยู่ครู่นึงแล้วตะโกนเรียก  งั้นฉันจะซื้อ! ขายให้ฉันได้ไหม? 

   14.5 ล้าน? 

   …14 ล้าน! 

  เฉินหยุนซีกัดฟันต่อรองด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ

   ก็ได้ ตกลง! 

  หลังพูดจบ เขาก็หยิบเม็ดยากองใหญ่ออกมาจากเสื้อแล้ววางไว้ตรงหน้าเธอ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม  เธอทำกำไรได้ 1.4 ล้านจากการทำธุรกิจครั้งแรก! เฉินหยุนซี เธอมีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจ เธอจะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัว! ฉันสนับสนุนเธอ! 

   เธอโอนเงินให้ฉันทีหลังก็ได้ ฉันไม่ใช่คนที่สนใจแต่เรื่องเงิน 

   เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อน! 

  ฟางผิงไม่รอช้า เขาจากไปอย่างเร่งรีบ

  หลังเห็นฟางผิงเดินหายไปแล้ว เฉินหยุนซีก็กล่าวด้วยสีหน้าแดงๆ  ฉัน…ฉันถูกหลอกเหรอ? 

  ไป๋รั่วซีก็อยู่ชมเรื่องสนุก เมื่อเธอได้ยินคำถามนี้ เธอก็กล่าวอย่างขบขัน  เปล่า 

  นี่เป็นความจริง ฟางผิงไม่ได้โกหกอะไรเธอ ราคาตลาดของเม็ดยามากกว่า 15 ล้านจริง

  แม้จะมีช่องทางในการซื้อ แพงกว่า 13 ล้านก็ยังคุ้ม

  อย่างไรก็ตาม…เฉินหยุนซีถูกฟางผิงต้อนให้ซื้อยาด้วยคำพูดไม่กี่คำ หน้าเธอบางไปหน่อย

  นอกจากนี้เธอไม่สนใจจะตรวจสอบเม็ดยาด้วยซ้ำ

  ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม เธอก็ควรระมัดระวังตอนทำธุรกิจ ฟางผิงไม่เลวถึงขนาดขายยาปลอมให้เธอ แต่ยังไงเธอก็ควรตรวจสอบสักรอบ

  ฟางผิงบอกว่าเธอใช้ชีวิตภายใต้การปกป้องของพ่อแม่ทั้งชีวิต นั่นก็เป็นความจริง

  สำหรับเธอ การซื้อขายครั้งนี้ไม่ถือเป็นความพ่ายแพ้ อย่างมากก็แค่ได้เห็นด้านชั่วร้ายของฟางผิงมากขึ้น แต่ไป๋รั่วซีรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจ มันถึงเวลาที่ศิษย์ของเธอได้เรียนรู้จากความล้มเหลว

  เมื่อครอบครัวของเธอส่งเธอมาโม๋อู่และปล่อยให้เธอทำภารกิจกับนักศึกษาคนอื่น บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ

  ที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ เพราะตระกูลเฉินสนับสนุนผู้ฝึกยุทธขั้นสองคนนึงได้ง่ายๆ

  หยางเสี่ยวม่านหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เธอกล่าวอย่างจนใจ  เขาไม่ได้โกหกเธอ แต่ครั้งหน้าอย่าเชื่อเขาทุกคำพูดล่ะ 

   นอกจากนี้อยู่ให้ห่างจากเขา เขาไม่ใช่คนดี 

  เฉินหยุนซีพยักหน้า รู้สึกจนใจเล็กน้อย

  เมื่อเห็นแบบนั้น ฟู่ชางติ่งจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม  หยุนซี ฉันก็มีเม็ดยาอยู่กับตัวสองสามเม็ด… 

   ไปไกลเลย! 

  หยางเสี่ยวม่านสบถ หน้าด้านกว่านี้มีอีกไหม?

  ฟู่ชางติ่งโกรธจนหน้าแดง เขาโกรธมาก!

  ‘บ้าเอ้ย ทำไมฟางผิงขายได้ แต่ฉันขายไม่ได้!’

  ‘จะดีแค่ไหนนะถ้าฉันหาเงินได้สักสองสามแสนแล้วใช้เงินก้อนนี้ซื้อรถสักคัน?’

  …

  หลังพักฟื้นอยู่โรงแรมสองวัน ฟางผิงก็ยังไม่หายดี แต่บาดแผลที่ยังไม่หายดีล้วนเป็นอาการบาดเจ็บภายนอกที่ไม่ส่งผลต่อร่างกาย

  วันที่ 23 มีนาคม เขามาเยี่ยมเยือนผู้สำเร็จราชการจาง

  ด้านนอกจวนผู้สำเร็จราชการ หวังจินหยางยิ้ม  ไม่ต้องประหม่าหรอก… 

   ผมเปล่า  ฟางผิงตอบปัด

  หวังจินหยางหัวเราะ และพาฟางผิงเข้าไปจวนผู้สำเร็จราชการ

  ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในจวนก็มีชายกลางคนเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นทั้งสอง ชายกลางคนก็ยิ้มให้  ประธานหวัง ฟางผิง พวกเธอมากันแล้ว 

   ฟางผิง อาการบาดเจ็บของเธอหายดีรึยัง? 

  หวังจินหยางแนะนำชายกลางคนโดยไม่รอช้า  ท่านนี้คือรัฐมนตรีจางของจวนผู้สำเร็จราชการ เป็นสมาชิกคนสำคัญของจวนเช่นกัน 

  จางยวี่เฉียงหัวเราะ  ประธานหวังยกยอเกินไปแล้ว 

  ฟางผิงรีบกล่าวขอบคุณ  รัฐมนตรีจางขอบคุณที่เป็นห่วงครับ อาการบาดเจ็บผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ 

   ดีแล้ว ดีแล้ว พวกเธอทั้งสองเป็นอนาคตของหนานเจียง เรียนรู้จากกันเป็นเรื่องดี แต่คราวหน้าโปรดระวังตัวให้มากกว่านี้ 

   แต่เธอประมือกับกู้เสียงได้ไม่เลวเลย ผู้สำเร็จราชการพอใจมาก 

  จางยวี่เฉียงพาทั้งสองเข้าไปข้างในและคุยกับพวกเขาไปพลางๆ  ผู้สำเร็จราชการยุ่งมาก โดยเฉพาะตอนนี้ เขาอยากเจอกับฟางผิง เขาภูมิใจในตัวเธอ เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์จากบ้านเกิดเดียวกับเขา… 

  ฟางผิงตอบด้วยรอยยิ้ม  ผมปลื้มมาก ผมต้องรบกวนเวลาของผู้สำเร็จราชการแล้ว 

   … 

  หวังจินหยางไม่ได้ขัดทั้งสอง จนกระทั้งพวกเขาเดินมาถึงหน้าประตูออฟฟิศและจางยวี่เฉียงเดินไปเคาะประตู หวังจินหยางเลยกล่าว  นายควรเล่นการเมือง 

   อ๊ะ? 

   ผู้ฝึกยุทธไม่พูดจาไร้สาระมากมาย คุยกันนานขนาดนี้ แต่มันมีคำพูดที่มีประโยชน์บ้างไหม? 

   ฉันคิดว่านายคงไม่ชิน แต่ไม่ใช่เลย นายคุยกับเขาดูมีความสุขดี 

  หวังจินหยางก็พูดไม่ออกเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธทุกคนค่อนข้างตรงไปตรงมา มักจะตรงเข้าประเด็นหลัก

  พวกเขาไม่พูดจาไร้สาระไร้ความหมายหากไม่จำเป็น

  ฟางผิงเป็นตรงกันข้าม เขาคุยกับอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น จางยวี่เฉียงกับฟางผิงคุยกันจนลืมเขาไปเลย

  หวังจินหยางไม่ได้โกรธเพราะถูกเมิน กลับกันเขารู้สึกโล่งอก

  นอกจากนี้หวังจินหยางยังรู้สึกประหลาดใจด้วยที่ฟางผิงเข้ากับอีกฝ่ายได้ดี

  ฟางผิงกล่าวอย่างมึนงง  เขาสุภาพกับผม ผมเลยคุยกับเขา มีปัญหาเหรอ? 

   เปล่า ไม่มีไร 

  หวังจินหยางไม่ได้อธิบายอะไรนัก เขาส่ายหน้า ด้วยบุคลิคเช่นนี้ ฟางผิงอาจไม่ค่อยเหมาะกับกองทัพนัก

  เขาพูดอะไรแน่นอนไม่ได้ว่าฟางผิงคิดเรื่องนี้ยังไง คงต้องรอจนกว่าเขาจะจบการศึกษาก่อน

  มีอีกประเด็นนึง หลังฟางผิงจบการศึกษาจากโม๋อู่ เขาจะกลับมาหนานเจียงไหม?

  หลังจากที่พวกเขาคุยกัน จางยวี่เฉียงก็ออกมาจากออฟฟิศ เขายิ้มให้ทั้งสอง  เข้าไปเถอะ 

  ฟางผิงขอบคุณอีกฝ่ายอีกครั้งและเดินเข้าไปข้างใน หวังจินหยางก็เดินตามไป

  …

  ออฟฟิศของจางติ้งหนานกว้างขวางมาก

  เขากำลังยืนอยู่หน้าแผนที่ของหนานเจียง เมื่อทั้งสองเดินเข้ามา เขาก็เลิกแสร้งทำและหันหน้าหาพวกเขา  มีความเป็นไปได้สูงที่ทางเข้าถ้ำใต้ดินจะปรากฏในหนานเจียง น่าจะปรากฏช่วง 12-16 เดือนข้างหน้า 

   เธอไม่ใช่ปรมาจารย์ เธอเลยไม่มีประโยชน์นัก 

   ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะมีประโยชน์ในตอนนี้ หวังจินหยางด้วย 

   ฉันแค่อยากจองตัวอัจฉริยะล่วงหน้า ฟางผิง เธอสนใจกลับหนานเจียงหลังจบจากโม๋อู่ไหม? 

  ฟางผิงไม่ทันได้เปิดปาก จางติ้งหนานก็รำพึงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  หลังจบการศึกษา เธอน่าจะบรรลุขั้นสี่หรือแม้แต่ขั้นห้า 

   ในฐานะผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้ มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ อาจใช้เวลาไม่นานด้วยซ้ำ 

   ถ้าเธอตกลงยอมกลับมาหลังจบการศึกษา ฉันจะจัดการให้เธอเข้าร่วมกองทัพเป็นหัวหน้าทหาร! 

  หัวหน้าทหารเป็นตำแหน่งที่เทียบเท่ากับผู้บัญชาการของนครระดับจังหวัด มีเจ้าหน้าที่ทางทหารในนครระดับจังหวัดหลายคนเช่นกันที่เป็นหัวหน้าทหาร

  นครระดับจังหวัดทั่วไปมีระบบการปกครองที่ครอบคลุม มีผู้บัญชาการ หัวหน้าทหาร และผู้อำนวยการกรมสืบสวนและกระทรวงศึกษาเป็นแกนกลาง

  ผู้บัญชาการและหัวหน้าทหารจะมีอำนาจมากกว่ากรมสืบสวนและกระทรวงศึกษา

  จางติ้งหนานมอบตำแหน่งหัวหน้าทหารให้ตั้งแต่เริ่ม ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่ใจกว้างมาก

  ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ทุกคนจะเป็นหัวหน้าทหารได้ ผู้ฝึกยุทธขั้นห้าบางคนก็ใช่ว่าจะได้รับข้อเสนอ

  บางครั้ง เกณฑ์การคัดเลือกไม่ได้ขึ้นอยู่กับขั้นพลังอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นด้วยเช่นกัน

   ผู้สำเร็จราชการ ผม… 

   ลองเอากลับไปคิดก่อน มันยังเร็วไป นอกจากนี้ถ้าทางเข้าถ้ำใต้ดินปรากฏในหนานเจียง ในฐานะคนหนานเจียง ฉันหวังว่าเธอจะช่วยเหลืออะไรบ้าง หลู่เฟิ่งโหรวเป็นอาจารย์ของเธอ ฉันเลยหวังว่าเธอจะชักชวนคนจากโม๋อู่มาช่วยเหลือเรา 

  จางติ้งหนานไม่ได้คาดหวังกับฟางผิงมากนัก เพราะเขายังอ่อนแอเกินไป แต่นักศึกษาอัจฉริยะเช่นเขาจะมีอิทธิพลในมหาลัย รวมถึงมีอิทธิพลต่ออาจารย์ด้วย

  จางติ้งหนานกับหลู่เฟิ่งโหรวคุ้นเคยกันดี แต่พวกเขาไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว คำพูดของเขาอาจไม่ได้ผลเท่าคำพูดของลูกศิษย์ของเธอ

   ผมจะพยายามเต็มที่!  ในที่สุดฟางผิงก็มีโอกาสได้พูด

   ฉันต้องการแค่นี้แหละ 

  จากนั้นจางติ้งหนานก็โบกมือเรียกหนังสือบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลแล้วโยนให้ฟางผิง  ฉันสร้างดาบคลั่งระเบิดเลือดตอนอยู่ขั้นสี่ มันถือเป็นระดับกลางๆเท่านั้น นี่เป็นหนังสือที่ฉันปรับปรุงหลังเป็นปรมาจารย์ เอากลับไปดูเถอะ 

   นอกจากนี้ฉันจะมอบตำแหน่งให้เธอเป็นรองผู้บัญชาการเมืองหยางเฉิง เธอมีความคิดเห็นอะไรไหม? 

  ฟางผิงดูสับสน มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?

  หวังจินหยางที่อยู่ข้างๆพลันพูดแกมหยอกล้อ  ฉันเป็นผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ของเมืองหยางเฉิง! 

  ใช่แล้ว เขาเป็นผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ มันเป็นตำแหน่งที่เขาได้มาไม่นานมานี้

  ยังไงเสียการมอบตำแหน่งก็ไม่ได้เสียอะไร ช่วงนี้จางติ้งหนานมอบตำแหน่งกิตติมศักดิ์ให้มากกว่าสิบคนเสียอีก

  มันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น นอกจากเป็นตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับจากทางการ

  นอกจากนี้ในฐานะบุคคลระดับสูงของหนานเจียง เมื่อหนานเจียงตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะหนังหน้าหนาจนไม่ช่วยเหลืออะไรเลยหรือ?

  จางติ้งหนานไม่สนใจว่าผู้รับจะเต็มใจไหม ‘ตำแหน่งเป็นของคุณ ถ้าคุณไม่รู้สึกผิด คุณจะไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร!’

  ฟางผิงพูดไม่ออก ‘ฉันปฏิเสธได้ด้วยเหรอ?’

  เขาไม่ได้ตอบอะไร ซึ่งเป็นการยอมรับโดยปริยาย

  จางติ้งหนานเป็นคนงานยุ่งมาก เขาพูดทันที  มีแค่นี้แหละ พยายามให้หนักและรีบเข้าสู่ขั้นกลางโดยเร็ว 

  นี่ถือเป็นการไล่ ฟางผิงอ่อนแอเกินไป ขั้นสองสูงสุดน่าประทับใจ แต่จางติ้งหนานไม่มีเวลามาคุยเรื่องไร้สาระกับเขา

  เมื่อเขาเป็นขั้นกลาง พวกเขาอาจคุยกันได้มากขึ้น

  ฟางผิงยิ้มเจื่อน ‘คุณควรมอบรางวัลให้เราสิ คุณไม่อายเหรอที่เป็นผู้สำเร็จราชการขี้เหนียว?’

  อีกฝ่ายมอบวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดเวอร์ชั่นปรับปรุงให้เขา แต่เคล็ดวิชายุทธไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น ในมหาลัยวิชายุทธ เคล็ดวิชายุทธมีอยู่มากมาย ขอแค่มีคุณสมบัติฝึกฝนก็พอ แน่นอนวิชายุทธระดับปรมาจารย์จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากปรมาจารย์ก่อน

  และตำแหน่งรองผู้บัญชาการ น้อยกว่าระดับนครระดับมณฑลก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน

  ฟางผิงไม่พอใจนัก แต่เขาก็ทำได้แต่เดินจากไป

  กลับกันหวังจินหยางไม่ได้จากไปไหน เขาต้องหารือเรื่องมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงกับจางติ้งหนาน ฟางผิงไม่สนใจนักว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา ��

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท