ณ เมืองหยางเฉิง
เมื่อฟางผิงกลับมาเมืองหยางเฉิง มันก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว
มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่เหล่าหวังยังไม่ได้แจ้งข่าวคราวอะไรเลย ฟางผิงเดาว่าอีกฝ่ายคงล้มเหลว
“ก็ได้ หนีไปแล้วก็ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ได้เสียอะไร”
ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง จู่ๆโทรศัพท์เขาก็สั่น
ฟางผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันเป็นข้อความแจ้งเตือน…
“โอ้ เหล่าหวังใจกว้างมาก!”
ฟางผิงตกใจกับจำนวนเงินที่พึ่งโอนเข้าบัญชี เหล่าหวังมีน้ำใจจริงๆ!
“5 ล้าน!”
เขาจับกุมเป้าหมายได้แล้วสินะ นอกจากนี้เหล่าหวังยังแบ่งรางวัลให้เขาตั้งครึ่งนึง เวลานี้ฟางผิงรู้สึกตื้นตันใจกับความเมตตาของหวังจินหยางมาก!
แม้ว่าเขาจะตกลงให้แค่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้ายเขาก็ให้มาตั้งห้าล้าน
หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฟางผิงก็ตัดสินใจโทรหาเขา
เมื่อสายติดแล้ว ฟางผิงก็พูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น “พี่หวังใจกว้างเกินไปแล้ว ผมแค่ให้เบาะแส แต่พี่หวังให้มามากขนาดนี้ ผมถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรเลย”
“ไม่เป็นไร นายสมควรได้แล้ว”
“เราตกลงกันสิบเปอร์ แต่พี่หวังให้มาครึ่งนึง เฮ้อ ตอนนี้ผมรู้สึกละอายมาก…”
“ครึ่งนึง?”
หวังจินหยางพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “ครึ่งนึงอะไร? สิบเปอร์เซ็นต์ของรางวัลอยู่ที่ประมาณ 5 ล้าน”
ฟางผิง “…”
ฟางผิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดตะกุกตะกักด้วยความตกใจ “พี่หวัง หมายความว่า…”
“ฉันจับพานเสี่ยวหยางได้นานแล้ว เขาหนีไปที่เมืองอู้เฉิงที่เป็นบ้านเกิดเขา”
“เขาซ่อนสมบัติไว้ที่นั่น แม้แต่ภรรยาเขาก็ไม่ทราบ”
“ฉันไปที่นั่นแล้วเอาของๆเขามา ฉันพึ่งจัดของเสร็จ…”
“ขะ…เขามีค่าห้าสิบล้านเลยเหรอ?” ฟางผิงรู้สึกขมในปาก
“มันก็ปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ติดสินบนผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดไม่ใช่ถูกๆ นายไม่เคยคิดเลยรึไง?”
หวังจินหยางแปลกใจยิ่งกว่าฟางผิงอีก มันเป็นสามัญสำนึกปกติไม่ใช่ไง?
เป้าหมายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด แถมยังเป็นสมาชิกของสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังหลายฝ่ายจากมหาลัยวิชายุทธตงหลิน
ติดสินบนคนแบบนี้ถ้าไม่ให้เงินอย่างน้อยหลายสิบล้าน มันจะน่าอายแค่ไหน?
เนื่องจากมันเป็นเงินที่มิชอบ พานเสี่ยวหยางย่อมไม่กล้าใช้มัน เขาจึงตัดสินใจเอาไปซ่อนแทน
หวังจินหยางแค่ถามเขาให้เลือกระหว่างถูกส่งตัวเข้าคุกหนานเจียงหรือส่งตัวไปตงหลิน…
พานเสี่ยวหยางรู้ว่าต้องทำยังไง เขาตัดสินใจโดยไม่คิดซ้ำสองด้วยซ้ำ เขาขอแลกชีวิตด้วยเงิน
แน่นอนว่าเขาต้องไปหนานเจียง!
ถูกส่งตัวไปตงหลินเป็นทางตันชัดๆ
เพราะฉะนั้น เหล่าหวังจึงไปเมืองอู้เฉิงเพื่อรับสมบัติก่อนจะกลับไปมหาลัย
“ห้าสิบล้าน…”
ฟางผิงยังคงตกอยู่ในภวังค์ ‘บัดซบ ฉันพลาดโอกาสทองไปรึเปล่า?’
‘ฉันกระหยิ่มยินดีไปได้ยังไง!’
‘ฉันตื่นเต้นไปมากมายกับเงินค่าผ่านทางเพียงเล็กน้อยไปได้ยังไง!’
นั่นสิ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด เขาจะไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยได้อย่างไรกัน?
เห็นได้ชัดว่าพานเสี่ยวหยางไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ถ้าฟางผิงทุ่มสุดตัวและฟื้นฟูปราณและเลือด เขาอาจสังหารอีกฝ่ายได้
รางวัลภารกิจหนึ่งเดือน…ไม่สิ รางวัลภารกิจสามเดือนเทียบไม่ได้เลยกับรางวัลที่เขาจะได้รับจากการจัดการพานเสี่ยวหยาง
‘แต่ฉันดันมอบโอกาสให้เหล่าหวัง?’
‘ฉันกลายเป็นกุมารเรียกทรัพย์ไปแล้วเหรอ?’
ฟางผิงรู้สึกขมปากยิ่งขึ้น เขาทำได้แต่ทนเจ็บใจอยู่เงียบๆ ‘ฉันโง่เกินไปรึเปล่า?’
“ฉันยังมีเรื่องต้องทำ แค่นี้ก่อนนะ ถ้านายมีอะไรแบบนี้อีกก็โทรมาหาฉันได้ทุกเมื่อ”
เหล่าหวังมีความสุขมาก ขั้นสี่จัดการกับขั้นสาม แค่ดีดนิ้ว เขาก็ได้เงินแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องตามหาเป้าหมายด้วยซ้ำ ก็แค่เดินทางไม่กี่ชั่วโมงเอง ฟางผิงเป็นสหายที่ซื่อสัตย์จริงๆ
…
เมื่อเขาวางสาย หัวใจของฟางผิงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
“ฉันมีเงินห้าสิบล้านอยู่ตรงหน้า แต่ฉันพึ่งทิ้งมันไป หลังได้เงินมา 5 ล้านฉันก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ…บ้าเอ้ย!”
“ปวดใจมาก!”
เขาคงปวดใจไปอีกนาน!
‘ฉันทำ 12 ภารกิจในเดือนมีนา ทำเงินได้แค่ราวๆ 12 ล้าน นั่นถือเป็นรายได้ที่สูงแล้ว’
แล้วตอนนี้ล่ะ?
เหล่าหวังแค่ออกเดินทางสบายๆแปปเดียว เขาก็ได้มา 45 ล้านในกำมือ!
“ฉันอยากด่าคน!”
ฟางผิงกัดฟัน เขาควรด่าใครดีล่ะ?
ได้เงินมากเท่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้จะเป็นภารกิจผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ก็ตาม
หลังรับเงินก้อนโตไปแล้ว เขาสามารถจินตนาการถึงรอยยิ้มมีความสุขของเหล่าหวังได้เลย
เหล่าหวังเป็นคนยากจน เขากระตือรือร้นทำภารกิจหลายวันเพียงเพื่อเงินหลักแสน
เขาได้รับเงินก้อนโตในช่วงสั้นๆแบบนี้ เขาต้องกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขเป็นแน่ เขาต้องขอบคุณฉันชั่วนิรันดร์สำหรับบุญคุณครั้งนี้…
“บุญคุณครั้งนี้แพงเกินไป!”
“ไม่ เขาอาจคิดด้วยซ้ำว่าฉันโง่!”
ฟางผิงพูดกับตัวเองเสียงดัง ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งปวดใจ
“ฉันคิดไม่ถึงเลย…ไอคิวของฉันจะต่ำกว่าเหล่าหวังได้ยังไง…”
…
เขานำเอาความทุกข์โศกไปด้วย
เมื่อกลับมาถึงย่านกวนหูหยวน เขาก็สังเกตเห็นว่าฟางหยวนผอมลง ฟางผิงรับไม่ได้กับความโศกเศร้าครั้งใหม่ เขาเข้าไปบีบแก้มฟางหยวนที่กำลังสับสนแล้วพูดอย่างเจ็บปวด “น้องกลายเป็นคนอัปลักษณ์แล้ว!”
“รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงจะเปลี่ยนไปตอนอายุสิบแปด จากลูกเป็ดขี้เหร่จะกลายเป็นหงส์!”
“แล้วทำไมน้องสาวฉันถึงน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ!”
“ฟางหยวน พี่บอกแล้วให้กินเยอะๆ ทำไมน้องไม่ฟัง!”
“น้องจะออกไปเจอผู้คนด้วยหน้าตาแบบนี้ได้ยังไง?”
“…”
ฟางหยวนสับสนมาก
‘หนู…กลายเป็นคนอัปลักษณ์แล้ว?’
‘จนถึงขั้นออกไปเจอผู้คนไม่ได้?’
เธอลืมถามเหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมฟางผิงถึงกลับมา เธอทั้งตะลึงทั้งพูดไม่ออก ในสายตาของฟางผิง เธอกลายเป็นคนอัปลักษณ์ พี่ชายเธอไม่มีรสนิยมด้านความงามหรือเธอน่าเกลียดขึ้นจริงๆ?
“แม่…”
เด็กสาวหันไปมองหลี่อวี้อิงราวกับเธอตกเป็นเหยื่อ เธอถามอย่างไม่มั่นใจ “หนูน่าเกลียดขนาดนั้นเลยจริงเหรอ?”
หลี่อวี้อิงกลอกตามองลูกชาย เธอพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญปนขบขัน “อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของพี่ชาย ไม่ใช่แบบนั้น ลูกงดงามมาก”
“ฟางผิง!”
ฟางผิงถอนหายใจและส่ายหน้า เขาตอบอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ น้องไม่เข้าใจ รูปร่างหน้าตาของเราต้องเป็นเอกลักษณ์ คราวหน้าก็กินให้เยอะๆ ถ้าน้องผอมลงอีก พี่จะพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะไม่นับน้องเป็นน้องสาวอีก”
ฟางหยวนกลอกตาอย่างหนัก ‘หนูต่างหากที่ไม่สนใจนาย’
หลี่อวี้อิงกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ “พอแล้ว อย่าแกล้งหยวนหยวนเมื่อกลับมาบ้านสิ”
“ผิงผิง ทำไมลูกไม่โทรมาบอกล่ะว่าจะกลับมาบ้าน? ถ้าแม่รู้ แม่จะได้ซื้อผักมาเพิ่ม…”
“มันเป็นทางผ่าน ผมเลยกลับมาทักทาย ผมไม่ใช่แขกสักหน่อย ผมกินอะไรก็ได้…”
ฟางผิงคุยกับแม่สักพัก บีบแก้มฟางหยวนอีกหลายครั้ง ในที่สุดความทุกข์ในใจก็สลายไป
วันนี้เขาสูญเสียเงินไป 45 ล้าน
มันเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในชีวิต
ครั้งนี้เหล่าหวังรวยเพราะเขา แต่เหล่าหวังคนขี้เหนียวไม่ยอมให้เขาเพิ่มเลย จะไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว!
“สักวันฉันต้องได้เงินฉันคืน!”
ฟางผิงตัดสินใจ การเสียเงินไปครั้งนี้ทำให้เขาสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวัง
…
ยามกลางคืน
ขณะที่ทานอาหารเย็นกัน จู่ๆฟางหมิงหรงก็พูดขึ้นมา “ผิงผิง ทางกระทรวงแต่งตั้งให้พ่อเป็นรองหัวหน้าสำนักงาน…”
แม้แต่หลี่อวี้อิงก็พึ่งได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรก เธออุทานด้วยความตกใจ “รองหัวหน้าสำนักงาน? คุณน่ะเหรอ?”
เธอไม่ได้ตั้งใจดูถูกสามี แต่เธอรู้ระดับของเขาดี
เขาทำงานเป็นคนงานธรรมดา จากนั้นก็เป็นยามหน้าทางเข้า แล้วมาถึงตอนนี้เขากลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการ…
“ไม่เป็นไร”
ฟางผิงเข้าใจความกังวลของพ่อ เขาตอบอย่าเฉยเมย “มันก็แค่ตำแหน่งไว้เพิ่มค่าจ้างขั้นพื้นฐาน”
“ผมเป็นรองผู้บัญชาการเมืองหยางเฉิงด้วยซ้ำ แต่ไม่มีใครมองผมเป็นรองผู้บัญชาการจริงๆ”
ความเงียบปกคลุมโต๊ะอาหาร
ฟางหยวนที่ถูกบีบแก้มจนแดงถึงกับลืมโกรธไปเลย ดวงตาเธอเบิกกว้างจ้องมองฟางผิง กล่าวอย่างโง่งม “ระ…รองผู้บัญชาการ?”
“ใช่แล้ว ก็แค่ในนาม” ฟางผิงยิ้ม “มันก็แค่ในนาม น้องคิดว่าพี่ใช้อำนาจสั่งการใครก็ได้งั้นเหรอ?”
“มันก็เหมือนกับพ่อที่เป็นรองหัวหน้า แค่ได้เงินเพิ่มแค่นั้น ไม่ต้องกังวลมากหรอก”
“ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ารอบหน้าพ่อจะกลายเป็นรองผู้บัญชาการ…”
ทั้งครอบครัวยังคงเหม่อลอยกับคำพูดก่อนหน้านี้ของฟางผิง ลูกชายเขากลายเป็นรองผู้บัญชาการแล้ว!
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
“ผู้บัญชาการ…”
ฟางหยวนใจไม่อยู่กับร่องกับรอย ‘พี่ชายฉันทำเงินได้อีกแล้ว?’
“พอแล้ว กินข้าวกันเถอะ”
“พ่อ แม่ คุยเรื่องนี้กันที่บ้านได้ แต่อย่าประกาศให้คนอื่นรู้ มันไม่จำเป็น”
“ที่ผมบอกเรื่องนี้ก็เพราะ เราอาจไม่ไปสร้างปัญหาให้คนอื่น แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่สร้างปัญหาให้เรา”
“ถ้ามีใครข่มเหงพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็อย่าเก็บไว้ บอกผมได้เลย เมืองหยางเฉิงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ลูกชายของพวกท่านไม่มีอะไรให้กลัว”
ฟางผิงคุยโวเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขาชอบคุยโวโอ้อวด เขาแค่พยายามเพิ่มความมั่นใจให้พ่อแม่
ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ผู้อื่น คนอื่นก็ไม่ควรมาสร้างปัญหาให้พวกเขาเช่นกัน
ฟางหมิงหรงหมดความสนใจในเรื่องนี้แล้ว ในหัวเขาว่างเปล่าราวกับกระดาษขาว
ทุกคนรู้สึกหมดความอยากอาหาร ดังนั้นฟางผิงจึงใช้ประโยชน์นี้เต็มที่ แม่ทำอาหารน่ากิน ถ้าทุกคนไม่อยากกิน งั้นเขาจะกินให้เต็มคราบไม่ให้เสียของ
…
วันที่สอง
คนที่ควรไปโรงเรียนก็ไปโรงเรียน คนที่ควรไปทำงานก็ไปทำงาน
ฟางผิงไม่ได้อยู่ช่วงวันหยุด เขายังจำเป็นต้องกลับมหาลัย เขาไม่มีเวลาให้เสียนัก
ช่วงเช้าตรู่ ฟางผิงมุ่งตรงไปยังบ้านผู้บัญชาการ
เขาไปพบกับไป๋จิ่นซานเพื่อสอบถามสถานการณ์ในเมืองหยางเฉิง ทุกอย่างเรียบร้อยดี ยังไม่มีใครพบเบาะแสของผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่ว
ฟางผิงจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาพยายามพูดจาวกวน เรื่องความปลอดภัยของครอบครัว ไป๋จิ่นซานเข้าใจความตั้งใจเขา เขายิ้มแล้วพูดเรื่องปัญหาเส้นทางลาดตะเวนของตำรวจ
ถ้ามีผู้ฝึกยุทธปรากฏตัวมา ตำรวจเหล่านี้อาจไม่มีประโยชน์ กระนั้นการปรากฏตัวของพวกเขาอย่างน้อยก็ข่มขวัญได้
เมืองหยางเฉิงไม่มีอำนาจส่งผู้ฝึกยุทธมาปกป้องครอบครัวเขาได้
ถ้าหากพวกเขาต้องทำอะไรแบบนั้น ผู้ฝึกยุทธคงไม่มีเวลาไปทำงานของตัวเองแล้ว
ฟางผิงพอใจแล้ว ติดอาวุธลาดตะเวน ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสองอาจไม่กล้าเสี่ยง แค่นี้ก็ดีพอแล้ว
ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธสูงกว่าขั้นสาม เมืองหยางเฉิงคงป้องกันไม่ได้
หลังแสดงความขอบคุณ ฟางผิงไม่ได้กลับไปบ้าน กลับกันเขามุ่งตรงไปยังสถานี เขาจำเป็นต้องกลับมหาลัย
นอกจากนี้เขายังได้บอกลาพ่อกับแม่ตอนเช้าแล้ว รอบนี้เขาแค่มาเยี่ยมแปปเดียวเท่านั้น
…
ณ โม๋อู่
เมื่อฟางผิงกลับมาถึง จ้าวเสวี่ยเหมยก็มาตามหาเขา เมื่อเห็นหน้าฟางผิงปุ๊บ เธอก็กล่าว “อาจารย์บอกว่าพอนายกลับมาให้นายไปหาอาจารย์”
“โอ้” ฟางผิงตอบ จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วถาม “ขั้นสองแล้ว?”
“ใช่”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้ดูพอใจนัก กลับกันเธอพูดอย่างผิดหวัง “นายเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว แม้แต่พวกเสี่ยวม่านยังเกือบบรรลุขั้นสองชั้นกลางแล้ว…”
“ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่ว่าเธอจะคืบหน้าช้าหรือเร็วมันก็เหมือนกันแหละ นอกจากนี้เธอถือว่าเร็วมากแล้ว…”
เห็นได้ชัดว่าฟางผิงปลอบคนไม่เป็น จ้าวเสวี่ยเหมยฝืนยิ้มและไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ
เนื่องจากหลู่เฟิ่งโหรวขอให้ฟางผิงไปพบเธอ ฟางผิงจึงไม่รอช้าอีก หลังทักทายจ้าวเสวี่ยเหมยสองสามคำ เขาก็รีบไปที่หอพักอาจารย์
…
ณ วิลล่าหมายเลข 8
หลู่เฟิ่งโหรวเปิดประตูพร้อมกับอ้าปากหาว ฟางผิงรู้สึกพูดไม่ออก ทำไมเธอถึงง่วงนอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ!
“ขั้นสองสูงสุดแล้ว?”
“ครับ”
“ไม่เลว”
หลู่เฟิ่งโหรวหาวอีกครั้ง เมื่อนั่งลงปุ๊บเธอก็พูดขึ้นมาทันที “เตรียมตัวให้พร้อม ทะลวงสู่ขั้นสาม”
“ห๊ะ?”
ฟางผิงสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ เขารีบตอบ “อาจารย์ มันไม่เร็วไปหน่อย…”
“เร็วไป? มันไม่ดีรึไง?” หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียง “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายคงคิดว่า ฉันฟางผิงยังไม่ไร้เทียมทานในระดับขั้นเดียวกัน ฉันจำเป็นต้องหยุดอยู่ขั้นนี้นานอีกหน่อยสินะ”
“นายคิดมากไปแล้ว!”
“ต่อให้นายเอาชนะขั้นสองคนอื่นได้ นายก็ยังเป็นขั้นสองไม่ใช่รึไง?”
“ผู้ฝึกยุทธขั้นสองไร้พ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองรึไง?”
“ต่อเมื่อผู้ฝึกยุทธบรรลุขั้นสามเท่านั้นถึงถือว่าเป็นยอดฝีมือ ไม่จำเป็นต้องติดอยู่ที่ขั้นหนึ่งขั้นสอง”
“ปรมาจารย์ที่ติดอันดับรั้งท้ายบนอันดับปรมาจารย์จะด้อยกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่เป็นอันดับแรกรึไง?”
“ฉันเคยพูดแล้ว ผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่างเป็นช่วงวางรากฐานจนถึงขั้นสามสูงสุด”
“พอนายบรรลุขั้นสาม นายค่อยใช้เวลาไปแก้ไขข้อบกพร่อง มันไม่ได้สายเกินไปและไม่ได้ส่งผลต่ออนาคต”
“บางทีนายจะไม่พอใจจนกว่าจะครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของขั้นสองใช่ไหม?”
“นายกลายเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสอง ไม่รู้ชาติไหนกว่าจะสำเร็จ บางทีกว่าจะสำเร็จ ถ้านายทะลวงขั้นสาม นายคงฝึกจนกลายเป็นที่หนึ่งไปแล้ว”
“จะเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสองหรือเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสาม?”
“แน่นอนนี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือนายประกาศกร้าวไปแล้ว นายท้าประลองกับจางอวี่ตอนสิ้นเทอมไม่ใช่รึไง?”
“ตอนนี้ใกล้ถึงเดือนเมษาแล้ว นายจะท้าประลองกับขั้นสี่ด้วยขั้นสองเหรอ?”
ฟางผิงอึ้งไปเล็กน้อย เขาพึ่งจำได้ว่าเขาเคยพูดแบบนั้นด้วย
เวลานี้ฟางผิงรู้สึกอายเล็กน้อย “ผมแค่พูดไปงั้น…”
“เฮอะ พูดไปงั้น คนอื่นจะคิดแบบนั้นเหรอ พอถึงเวลานั้น ต่อให้นายไม่ต้องการ นายก็ต้องไปประลอง แก้ปัญหาเองซะ”
“เขาเป็นขั้นสี่ ผมเป็นแค่ขั้นสอง…”
ฟางผิงดูจนปัญญามาก เขาไม่มีทางชนะเลย
“ถ้านายบรรลุขั้นสามได้ ฝึกฝนวิชาต่อสู้จนสำเร็จถึงขั้นกระบวนท่าไม้ตาย เมื่อนายระเบิดกระบวนท่าไม้ตายตอนประลอง ใช้เม็ดยาสู้จนถึงขีดจำกัด ใครจะรู้ล่ะ นายอาจยังมีโอกาสก็ได้”
“ถ้านายเป็นขั้นสองสูงสุด…นายจะตายในเสี้ยววิ”
“นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “อาจารย์ ถ้าผมบรรลุขั้นสาม ผมจำเป็นต้องเข้าถ้ำใต้ดินไหม?”
“เรื่องนั้นมันแล้วแต่นาย อย่างไรก็ตามเมื่อนายบรรลุขั้นสามสูงสุด นายจะทำตัวสบายๆแบบนี้ไม่ได้แล้ว”
“เมื่อเป็นขั้นสามสูงสุด นายต้องขัดเกลาร่างกาย ขัดเกลากระดูก ขัดเกลาชีพจรจนถึงขีดจำกัด”
“ปราณและเลือดต้องถึงขีดจำกัด”
“วิชาต่อสู้ จวงกง รวมถึงเคล็ดเสริมสร้างต้องฝึกฝนจนถึงขีดสุด เพราะจากขั้นสามสูงสุดสู่ขั้นสี่ ร่างกายจะเหมือนผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกใหม่”
“เวลานี้ ยิ่งรากฐานแข็งแกร่งเท่าไหร่ยิ่งดี”
“สามขั้นล่างเป็นการวางรากฐานไม่ใช่คำพูดเปล่าๆ สามขั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นการฝึกวิชาพื้นฐาน”
“การแบ่งระดับพลังขั้นหนึ่งขั้นสองขั้นสามเป็นเพียงคำจำกัดความ มันไม่ได้หมายความว่าขั้นหนึ่งขั้นสองขั้นสามจะเป็นระบบหรือระดับพลังที่แยกจากกัน”
“ฉันพูดแบบนี้นายเข้าใจใช่ไหม?”
ฟางผิงพยักหน้า คำอธิบายของเธอเข้าใจได้ง่าย ระดับพลังเป็นเพียงคำจำกัดความที่คนประดิษฐ์ขึ้น ในสายตาของยอดยุทธ ผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่างเป็นเพียงขอบเขตธรรมดา ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกละเอียดนัก
“เข้าใจก็ดี พรุ่งนี้ไปเขตใต้แล้วรอฉันที่ห้องพลังงาน ที่นั่นจะทะลวงขั้นได้ง่ายกว่า”
“เร็วแท้…”
ฟางผิงพึมพำ เขาไม่คิดเลยว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะให้เขาบรรลุขั้นสามเร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตามหลังลองมาคิดดู เขาก็ตัดสินใจว่าที่หลู่เฟิ่งโหรวพูดมาก็ถูก
ไร้เทียมทานในขั้นสอง มันก็ยังเป็นขั้นสองอยู่ดี
การมาเสียเวลาอยู่ในขั้นสองเพื่อฉายานี้มันไม่จำเป็นเลย
มันไม่เหมือนกับตอนขั้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาจำเป็นต้องต่อสู้ในงานประลอง
ดูเหมือนจะมีคนไม่มากนักที่โด่งดังมีชื่อเสียงตอนขั้นสอง แม้แต่คนอย่างเหล่าหวังและเหล่ายอดยุทธระดับปรมาจารย์ก็ไม่ แต่ขั้นสามมีอยู่หลายคนที่เป็นที่รู้จักกันว่าไร้เทียมทานในขั้นสาม
เมื่อฟางผิงกลับมาเมืองหยางเฉิง มันก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว
มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่เหล่าหวังยังไม่ได้แจ้งข่าวคราวอะไรเลย ฟางผิงเดาว่าอีกฝ่ายคงล้มเหลว
“ก็ได้ หนีไปแล้วก็ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ได้เสียอะไร”
ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง จู่ๆโทรศัพท์เขาก็สั่น
ฟางผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันเป็นข้อความแจ้งเตือน…
“โอ้ เหล่าหวังใจกว้างมาก!”
ฟางผิงตกใจกับจำนวนเงินที่พึ่งโอนเข้าบัญชี เหล่าหวังมีน้ำใจจริงๆ!
“5 ล้าน!”
เขาจับกุมเป้าหมายได้แล้วสินะ นอกจากนี้เหล่าหวังยังแบ่งรางวัลให้เขาตั้งครึ่งนึง เวลานี้ฟางผิงรู้สึกตื้นตันใจกับความเมตตาของหวังจินหยางมาก!
แม้ว่าเขาจะตกลงให้แค่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้ายเขาก็ให้มาตั้งห้าล้าน
หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฟางผิงก็ตัดสินใจโทรหาเขา
เมื่อสายติดแล้ว ฟางผิงก็พูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น “พี่หวังใจกว้างเกินไปแล้ว ผมแค่ให้เบาะแส แต่พี่หวังให้มามากขนาดนี้ ผมถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรเลย”
“ไม่เป็นไร นายสมควรได้แล้ว”
“เราตกลงกันสิบเปอร์ แต่พี่หวังให้มาครึ่งนึง เฮ้อ ตอนนี้ผมรู้สึกละอายมาก…”
“ครึ่งนึง?”
หวังจินหยางพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “ครึ่งนึงอะไร? สิบเปอร์เซ็นต์ของรางวัลอยู่ที่ประมาณ 5 ล้าน”
ฟางผิง “…”
ฟางผิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดตะกุกตะกักด้วยความตกใจ “พี่หวัง หมายความว่า…”
“ฉันจับพานเสี่ยวหยางได้นานแล้ว เขาหนีไปที่เมืองอู้เฉิงที่เป็นบ้านเกิดเขา”
“เขาซ่อนสมบัติไว้ที่นั่น แม้แต่ภรรยาเขาก็ไม่ทราบ”
“ฉันไปที่นั่นแล้วเอาของๆเขามา ฉันพึ่งจัดของเสร็จ…”
“ขะ…เขามีค่าห้าสิบล้านเลยเหรอ?” ฟางผิงรู้สึกขมในปาก
“มันก็ปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ติดสินบนผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดไม่ใช่ถูกๆ นายไม่เคยคิดเลยรึไง?”
หวังจินหยางแปลกใจยิ่งกว่าฟางผิงอีก มันเป็นสามัญสำนึกปกติไม่ใช่ไง?
เป้าหมายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด แถมยังเป็นสมาชิกของสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังหลายฝ่ายจากมหาลัยวิชายุทธตงหลิน
ติดสินบนคนแบบนี้ถ้าไม่ให้เงินอย่างน้อยหลายสิบล้าน มันจะน่าอายแค่ไหน?
เนื่องจากมันเป็นเงินที่มิชอบ พานเสี่ยวหยางย่อมไม่กล้าใช้มัน เขาจึงตัดสินใจเอาไปซ่อนแทน
หวังจินหยางแค่ถามเขาให้เลือกระหว่างถูกส่งตัวเข้าคุกหนานเจียงหรือส่งตัวไปตงหลิน…
พานเสี่ยวหยางรู้ว่าต้องทำยังไง เขาตัดสินใจโดยไม่คิดซ้ำสองด้วยซ้ำ เขาขอแลกชีวิตด้วยเงิน
แน่นอนว่าเขาต้องไปหนานเจียง!
ถูกส่งตัวไปตงหลินเป็นทางตันชัดๆ
เพราะฉะนั้น เหล่าหวังจึงไปเมืองอู้เฉิงเพื่อรับสมบัติก่อนจะกลับไปมหาลัย
“ห้าสิบล้าน…”
ฟางผิงยังคงตกอยู่ในภวังค์ ‘บัดซบ ฉันพลาดโอกาสทองไปรึเปล่า?’
‘ฉันกระหยิ่มยินดีไปได้ยังไง!’
‘ฉันตื่นเต้นไปมากมายกับเงินค่าผ่านทางเพียงเล็กน้อยไปได้ยังไง!’
นั่นสิ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด เขาจะไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยได้อย่างไรกัน?
เห็นได้ชัดว่าพานเสี่ยวหยางไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ถ้าฟางผิงทุ่มสุดตัวและฟื้นฟูปราณและเลือด เขาอาจสังหารอีกฝ่ายได้
รางวัลภารกิจหนึ่งเดือน…ไม่สิ รางวัลภารกิจสามเดือนเทียบไม่ได้เลยกับรางวัลที่เขาจะได้รับจากการจัดการพานเสี่ยวหยาง
‘แต่ฉันดันมอบโอกาสให้เหล่าหวัง?’
‘ฉันกลายเป็นกุมารเรียกทรัพย์ไปแล้วเหรอ?’
ฟางผิงรู้สึกขมปากยิ่งขึ้น เขาทำได้แต่ทนเจ็บใจอยู่เงียบๆ ‘ฉันโง่เกินไปรึเปล่า?’
“ฉันยังมีเรื่องต้องทำ แค่นี้ก่อนนะ ถ้านายมีอะไรแบบนี้อีกก็โทรมาหาฉันได้ทุกเมื่อ”
เหล่าหวังมีความสุขมาก ขั้นสี่จัดการกับขั้นสาม แค่ดีดนิ้ว เขาก็ได้เงินแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องตามหาเป้าหมายด้วยซ้ำ ก็แค่เดินทางไม่กี่ชั่วโมงเอง ฟางผิงเป็นสหายที่ซื่อสัตย์จริงๆ
…
เมื่อเขาวางสาย หัวใจของฟางผิงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
“ฉันมีเงินห้าสิบล้านอยู่ตรงหน้า แต่ฉันพึ่งทิ้งมันไป หลังได้เงินมา 5 ล้านฉันก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ…บ้าเอ้ย!”
“ปวดใจมาก!”
เขาคงปวดใจไปอีกนาน!
‘ฉันทำ 12 ภารกิจในเดือนมีนา ทำเงินได้แค่ราวๆ 12 ล้าน นั่นถือเป็นรายได้ที่สูงแล้ว’
แล้วตอนนี้ล่ะ?
เหล่าหวังแค่ออกเดินทางสบายๆแปปเดียว เขาก็ได้มา 45 ล้านในกำมือ!
“ฉันอยากด่าคน!”
ฟางผิงกัดฟัน เขาควรด่าใครดีล่ะ?
ได้เงินมากเท่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้จะเป็นภารกิจผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ก็ตาม
หลังรับเงินก้อนโตไปแล้ว เขาสามารถจินตนาการถึงรอยยิ้มมีความสุขของเหล่าหวังได้เลย
เหล่าหวังเป็นคนยากจน เขากระตือรือร้นทำภารกิจหลายวันเพียงเพื่อเงินหลักแสน
เขาได้รับเงินก้อนโตในช่วงสั้นๆแบบนี้ เขาต้องกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขเป็นแน่ เขาต้องขอบคุณฉันชั่วนิรันดร์สำหรับบุญคุณครั้งนี้…
“บุญคุณครั้งนี้แพงเกินไป!”
“ไม่ เขาอาจคิดด้วยซ้ำว่าฉันโง่!”
ฟางผิงพูดกับตัวเองเสียงดัง ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งปวดใจ
“ฉันคิดไม่ถึงเลย…ไอคิวของฉันจะต่ำกว่าเหล่าหวังได้ยังไง…”
…
เขานำเอาความทุกข์โศกไปด้วย
เมื่อกลับมาถึงย่านกวนหูหยวน เขาก็สังเกตเห็นว่าฟางหยวนผอมลง ฟางผิงรับไม่ได้กับความโศกเศร้าครั้งใหม่ เขาเข้าไปบีบแก้มฟางหยวนที่กำลังสับสนแล้วพูดอย่างเจ็บปวด “น้องกลายเป็นคนอัปลักษณ์แล้ว!”
“รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงจะเปลี่ยนไปตอนอายุสิบแปด จากลูกเป็ดขี้เหร่จะกลายเป็นหงส์!”
“แล้วทำไมน้องสาวฉันถึงน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ!”
“ฟางหยวน พี่บอกแล้วให้กินเยอะๆ ทำไมน้องไม่ฟัง!”
“น้องจะออกไปเจอผู้คนด้วยหน้าตาแบบนี้ได้ยังไง?”
“…”
ฟางหยวนสับสนมาก
‘หนู…กลายเป็นคนอัปลักษณ์แล้ว?’
‘จนถึงขั้นออกไปเจอผู้คนไม่ได้?’
เธอลืมถามเหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมฟางผิงถึงกลับมา เธอทั้งตะลึงทั้งพูดไม่ออก ในสายตาของฟางผิง เธอกลายเป็นคนอัปลักษณ์ พี่ชายเธอไม่มีรสนิยมด้านความงามหรือเธอน่าเกลียดขึ้นจริงๆ?
“แม่…”
เด็กสาวหันไปมองหลี่อวี้อิงราวกับเธอตกเป็นเหยื่อ เธอถามอย่างไม่มั่นใจ “หนูน่าเกลียดขนาดนั้นเลยจริงเหรอ?”
หลี่อวี้อิงกลอกตามองลูกชาย เธอพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญปนขบขัน “อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของพี่ชาย ไม่ใช่แบบนั้น ลูกงดงามมาก”
“ฟางผิง!”
ฟางผิงถอนหายใจและส่ายหน้า เขาตอบอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ น้องไม่เข้าใจ รูปร่างหน้าตาของเราต้องเป็นเอกลักษณ์ คราวหน้าก็กินให้เยอะๆ ถ้าน้องผอมลงอีก พี่จะพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะไม่นับน้องเป็นน้องสาวอีก”
ฟางหยวนกลอกตาอย่างหนัก ‘หนูต่างหากที่ไม่สนใจนาย’
หลี่อวี้อิงกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ “พอแล้ว อย่าแกล้งหยวนหยวนเมื่อกลับมาบ้านสิ”
“ผิงผิง ทำไมลูกไม่โทรมาบอกล่ะว่าจะกลับมาบ้าน? ถ้าแม่รู้ แม่จะได้ซื้อผักมาเพิ่ม…”
“มันเป็นทางผ่าน ผมเลยกลับมาทักทาย ผมไม่ใช่แขกสักหน่อย ผมกินอะไรก็ได้…”
ฟางผิงคุยกับแม่สักพัก บีบแก้มฟางหยวนอีกหลายครั้ง ในที่สุดความทุกข์ในใจก็สลายไป
วันนี้เขาสูญเสียเงินไป 45 ล้าน
มันเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในชีวิต
ครั้งนี้เหล่าหวังรวยเพราะเขา แต่เหล่าหวังคนขี้เหนียวไม่ยอมให้เขาเพิ่มเลย จะไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว!
“สักวันฉันต้องได้เงินฉันคืน!”
ฟางผิงตัดสินใจ การเสียเงินไปครั้งนี้ทำให้เขาสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวัง
…
ยามกลางคืน
ขณะที่ทานอาหารเย็นกัน จู่ๆฟางหมิงหรงก็พูดขึ้นมา “ผิงผิง ทางกระทรวงแต่งตั้งให้พ่อเป็นรองหัวหน้าสำนักงาน…”
แม้แต่หลี่อวี้อิงก็พึ่งได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรก เธออุทานด้วยความตกใจ “รองหัวหน้าสำนักงาน? คุณน่ะเหรอ?”
เธอไม่ได้ตั้งใจดูถูกสามี แต่เธอรู้ระดับของเขาดี
เขาทำงานเป็นคนงานธรรมดา จากนั้นก็เป็นยามหน้าทางเข้า แล้วมาถึงตอนนี้เขากลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการ…
“ไม่เป็นไร”
ฟางผิงเข้าใจความกังวลของพ่อ เขาตอบอย่าเฉยเมย “มันก็แค่ตำแหน่งไว้เพิ่มค่าจ้างขั้นพื้นฐาน”
“ผมเป็นรองผู้บัญชาการเมืองหยางเฉิงด้วยซ้ำ แต่ไม่มีใครมองผมเป็นรองผู้บัญชาการจริงๆ”
ความเงียบปกคลุมโต๊ะอาหาร
ฟางหยวนที่ถูกบีบแก้มจนแดงถึงกับลืมโกรธไปเลย ดวงตาเธอเบิกกว้างจ้องมองฟางผิง กล่าวอย่างโง่งม “ระ…รองผู้บัญชาการ?”
“ใช่แล้ว ก็แค่ในนาม” ฟางผิงยิ้ม “มันก็แค่ในนาม น้องคิดว่าพี่ใช้อำนาจสั่งการใครก็ได้งั้นเหรอ?”
“มันก็เหมือนกับพ่อที่เป็นรองหัวหน้า แค่ได้เงินเพิ่มแค่นั้น ไม่ต้องกังวลมากหรอก”
“ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ารอบหน้าพ่อจะกลายเป็นรองผู้บัญชาการ…”
ทั้งครอบครัวยังคงเหม่อลอยกับคำพูดก่อนหน้านี้ของฟางผิง ลูกชายเขากลายเป็นรองผู้บัญชาการแล้ว!
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
“ผู้บัญชาการ…”
ฟางหยวนใจไม่อยู่กับร่องกับรอย ‘พี่ชายฉันทำเงินได้อีกแล้ว?’
“พอแล้ว กินข้าวกันเถอะ”
“พ่อ แม่ คุยเรื่องนี้กันที่บ้านได้ แต่อย่าประกาศให้คนอื่นรู้ มันไม่จำเป็น”
“ที่ผมบอกเรื่องนี้ก็เพราะ เราอาจไม่ไปสร้างปัญหาให้คนอื่น แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่สร้างปัญหาให้เรา”
“ถ้ามีใครข่มเหงพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็อย่าเก็บไว้ บอกผมได้เลย เมืองหยางเฉิงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ลูกชายของพวกท่านไม่มีอะไรให้กลัว”
ฟางผิงคุยโวเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขาชอบคุยโวโอ้อวด เขาแค่พยายามเพิ่มความมั่นใจให้พ่อแม่
ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ผู้อื่น คนอื่นก็ไม่ควรมาสร้างปัญหาให้พวกเขาเช่นกัน
ฟางหมิงหรงหมดความสนใจในเรื่องนี้แล้ว ในหัวเขาว่างเปล่าราวกับกระดาษขาว
ทุกคนรู้สึกหมดความอยากอาหาร ดังนั้นฟางผิงจึงใช้ประโยชน์นี้เต็มที่ แม่ทำอาหารน่ากิน ถ้าทุกคนไม่อยากกิน งั้นเขาจะกินให้เต็มคราบไม่ให้เสียของ
…
วันที่สอง
คนที่ควรไปโรงเรียนก็ไปโรงเรียน คนที่ควรไปทำงานก็ไปทำงาน
ฟางผิงไม่ได้อยู่ช่วงวันหยุด เขายังจำเป็นต้องกลับมหาลัย เขาไม่มีเวลาให้เสียนัก
ช่วงเช้าตรู่ ฟางผิงมุ่งตรงไปยังบ้านผู้บัญชาการ
เขาไปพบกับไป๋จิ่นซานเพื่อสอบถามสถานการณ์ในเมืองหยางเฉิง ทุกอย่างเรียบร้อยดี ยังไม่มีใครพบเบาะแสของผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่ว
ฟางผิงจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาพยายามพูดจาวกวน เรื่องความปลอดภัยของครอบครัว ไป๋จิ่นซานเข้าใจความตั้งใจเขา เขายิ้มแล้วพูดเรื่องปัญหาเส้นทางลาดตะเวนของตำรวจ
ถ้ามีผู้ฝึกยุทธปรากฏตัวมา ตำรวจเหล่านี้อาจไม่มีประโยชน์ กระนั้นการปรากฏตัวของพวกเขาอย่างน้อยก็ข่มขวัญได้
เมืองหยางเฉิงไม่มีอำนาจส่งผู้ฝึกยุทธมาปกป้องครอบครัวเขาได้
ถ้าหากพวกเขาต้องทำอะไรแบบนั้น ผู้ฝึกยุทธคงไม่มีเวลาไปทำงานของตัวเองแล้ว
ฟางผิงพอใจแล้ว ติดอาวุธลาดตะเวน ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสองอาจไม่กล้าเสี่ยง แค่นี้ก็ดีพอแล้ว
ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธสูงกว่าขั้นสาม เมืองหยางเฉิงคงป้องกันไม่ได้
หลังแสดงความขอบคุณ ฟางผิงไม่ได้กลับไปบ้าน กลับกันเขามุ่งตรงไปยังสถานี เขาจำเป็นต้องกลับมหาลัย
นอกจากนี้เขายังได้บอกลาพ่อกับแม่ตอนเช้าแล้ว รอบนี้เขาแค่มาเยี่ยมแปปเดียวเท่านั้น
…
ณ โม๋อู่
เมื่อฟางผิงกลับมาถึง จ้าวเสวี่ยเหมยก็มาตามหาเขา เมื่อเห็นหน้าฟางผิงปุ๊บ เธอก็กล่าว “อาจารย์บอกว่าพอนายกลับมาให้นายไปหาอาจารย์”
“โอ้” ฟางผิงตอบ จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วถาม “ขั้นสองแล้ว?”
“ใช่”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้ดูพอใจนัก กลับกันเธอพูดอย่างผิดหวัง “นายเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว แม้แต่พวกเสี่ยวม่านยังเกือบบรรลุขั้นสองชั้นกลางแล้ว…”
“ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่ว่าเธอจะคืบหน้าช้าหรือเร็วมันก็เหมือนกันแหละ นอกจากนี้เธอถือว่าเร็วมากแล้ว…”
เห็นได้ชัดว่าฟางผิงปลอบคนไม่เป็น จ้าวเสวี่ยเหมยฝืนยิ้มและไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ
เนื่องจากหลู่เฟิ่งโหรวขอให้ฟางผิงไปพบเธอ ฟางผิงจึงไม่รอช้าอีก หลังทักทายจ้าวเสวี่ยเหมยสองสามคำ เขาก็รีบไปที่หอพักอาจารย์
…
ณ วิลล่าหมายเลข 8
หลู่เฟิ่งโหรวเปิดประตูพร้อมกับอ้าปากหาว ฟางผิงรู้สึกพูดไม่ออก ทำไมเธอถึงง่วงนอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ!
“ขั้นสองสูงสุดแล้ว?”
“ครับ”
“ไม่เลว”
หลู่เฟิ่งโหรวหาวอีกครั้ง เมื่อนั่งลงปุ๊บเธอก็พูดขึ้นมาทันที “เตรียมตัวให้พร้อม ทะลวงสู่ขั้นสาม”
“ห๊ะ?”
ฟางผิงสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ เขารีบตอบ “อาจารย์ มันไม่เร็วไปหน่อย…”
“เร็วไป? มันไม่ดีรึไง?” หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียง “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายคงคิดว่า ฉันฟางผิงยังไม่ไร้เทียมทานในระดับขั้นเดียวกัน ฉันจำเป็นต้องหยุดอยู่ขั้นนี้นานอีกหน่อยสินะ”
“นายคิดมากไปแล้ว!”
“ต่อให้นายเอาชนะขั้นสองคนอื่นได้ นายก็ยังเป็นขั้นสองไม่ใช่รึไง?”
“ผู้ฝึกยุทธขั้นสองไร้พ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองรึไง?”
“ต่อเมื่อผู้ฝึกยุทธบรรลุขั้นสามเท่านั้นถึงถือว่าเป็นยอดฝีมือ ไม่จำเป็นต้องติดอยู่ที่ขั้นหนึ่งขั้นสอง”
“ปรมาจารย์ที่ติดอันดับรั้งท้ายบนอันดับปรมาจารย์จะด้อยกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่เป็นอันดับแรกรึไง?”
“ฉันเคยพูดแล้ว ผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่างเป็นช่วงวางรากฐานจนถึงขั้นสามสูงสุด”
“พอนายบรรลุขั้นสาม นายค่อยใช้เวลาไปแก้ไขข้อบกพร่อง มันไม่ได้สายเกินไปและไม่ได้ส่งผลต่ออนาคต”
“บางทีนายจะไม่พอใจจนกว่าจะครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของขั้นสองใช่ไหม?”
“นายกลายเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสอง ไม่รู้ชาติไหนกว่าจะสำเร็จ บางทีกว่าจะสำเร็จ ถ้านายทะลวงขั้นสาม นายคงฝึกจนกลายเป็นที่หนึ่งไปแล้ว”
“จะเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสองหรือเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสาม?”
“แน่นอนนี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือนายประกาศกร้าวไปแล้ว นายท้าประลองกับจางอวี่ตอนสิ้นเทอมไม่ใช่รึไง?”
“ตอนนี้ใกล้ถึงเดือนเมษาแล้ว นายจะท้าประลองกับขั้นสี่ด้วยขั้นสองเหรอ?”
ฟางผิงอึ้งไปเล็กน้อย เขาพึ่งจำได้ว่าเขาเคยพูดแบบนั้นด้วย
เวลานี้ฟางผิงรู้สึกอายเล็กน้อย “ผมแค่พูดไปงั้น…”
“เฮอะ พูดไปงั้น คนอื่นจะคิดแบบนั้นเหรอ พอถึงเวลานั้น ต่อให้นายไม่ต้องการ นายก็ต้องไปประลอง แก้ปัญหาเองซะ”
“เขาเป็นขั้นสี่ ผมเป็นแค่ขั้นสอง…”
ฟางผิงดูจนปัญญามาก เขาไม่มีทางชนะเลย
“ถ้านายบรรลุขั้นสามได้ ฝึกฝนวิชาต่อสู้จนสำเร็จถึงขั้นกระบวนท่าไม้ตาย เมื่อนายระเบิดกระบวนท่าไม้ตายตอนประลอง ใช้เม็ดยาสู้จนถึงขีดจำกัด ใครจะรู้ล่ะ นายอาจยังมีโอกาสก็ได้”
“ถ้านายเป็นขั้นสองสูงสุด…นายจะตายในเสี้ยววิ”
“นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “อาจารย์ ถ้าผมบรรลุขั้นสาม ผมจำเป็นต้องเข้าถ้ำใต้ดินไหม?”
“เรื่องนั้นมันแล้วแต่นาย อย่างไรก็ตามเมื่อนายบรรลุขั้นสามสูงสุด นายจะทำตัวสบายๆแบบนี้ไม่ได้แล้ว”
“เมื่อเป็นขั้นสามสูงสุด นายต้องขัดเกลาร่างกาย ขัดเกลากระดูก ขัดเกลาชีพจรจนถึงขีดจำกัด”
“ปราณและเลือดต้องถึงขีดจำกัด”
“วิชาต่อสู้ จวงกง รวมถึงเคล็ดเสริมสร้างต้องฝึกฝนจนถึงขีดสุด เพราะจากขั้นสามสูงสุดสู่ขั้นสี่ ร่างกายจะเหมือนผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกใหม่”
“เวลานี้ ยิ่งรากฐานแข็งแกร่งเท่าไหร่ยิ่งดี”
“สามขั้นล่างเป็นการวางรากฐานไม่ใช่คำพูดเปล่าๆ สามขั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นการฝึกวิชาพื้นฐาน”
“การแบ่งระดับพลังขั้นหนึ่งขั้นสองขั้นสามเป็นเพียงคำจำกัดความ มันไม่ได้หมายความว่าขั้นหนึ่งขั้นสองขั้นสามจะเป็นระบบหรือระดับพลังที่แยกจากกัน”
“ฉันพูดแบบนี้นายเข้าใจใช่ไหม?”
ฟางผิงพยักหน้า คำอธิบายของเธอเข้าใจได้ง่าย ระดับพลังเป็นเพียงคำจำกัดความที่คนประดิษฐ์ขึ้น ในสายตาของยอดยุทธ ผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่างเป็นเพียงขอบเขตธรรมดา ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกละเอียดนัก
“เข้าใจก็ดี พรุ่งนี้ไปเขตใต้แล้วรอฉันที่ห้องพลังงาน ที่นั่นจะทะลวงขั้นได้ง่ายกว่า”
“เร็วแท้…”
ฟางผิงพึมพำ เขาไม่คิดเลยว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะให้เขาบรรลุขั้นสามเร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตามหลังลองมาคิดดู เขาก็ตัดสินใจว่าที่หลู่เฟิ่งโหรวพูดมาก็ถูก
ไร้เทียมทานในขั้นสอง มันก็ยังเป็นขั้นสองอยู่ดี
การมาเสียเวลาอยู่ในขั้นสองเพื่อฉายานี้มันไม่จำเป็นเลย
มันไม่เหมือนกับตอนขั้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาจำเป็นต้องต่อสู้ในงานประลอง
ดูเหมือนจะมีคนไม่มากนักที่โด่งดังมีชื่อเสียงตอนขั้นสอง แม้แต่คนอย่างเหล่าหวังและเหล่ายอดยุทธระดับปรมาจารย์ก็ไม่ แต่ขั้นสามมีอยู่หลายคนที่เป็นที่รู้จักกันว่าไร้เทียมทานในขั้นสาม