World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 196 รนหาที่ตายเพื่อแข็งแกร่งขึ้น

ตอนที่ 196 รนหาที่ตายเพื่อแข็งแกร่งขึ้น

  เมื่อฟางผิงเห็นถังเฟิง เขาก็ทำสีหน้าเจ็บปวด เอ่ยพึมพำออกมา  อะไรกัน อาจารย์อีกแล้ว? 

  โม๋อู่มีอาจารย์น้อยรึไง?

  ทำไมไปไหนก็เจอแต่สิงโตใหญ่ทุกที่เลย?

  โม๋อู่มีอาจารย์ขั้นหก 20 ท่าน รวมถึงอาจารย์ขั้นห้าอีกมากมาย!

  ทำไมถึงเป็นสิงโตใหญ่ที่รับผิดชอบคลาสนี้ทุกครั้งร่ำไป?

  ราวกับได้ยินคำบ่นของฟางผิง ถังเฟิงปรายตามองฟางผิงก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเปิดปากพูด  นี่เป็นครั้งที่สองของโม๋อู่ที่จัดคลาสฝึกพิเศษขึ้นมาในปีนี้! 

   ครั้งแรก เราสู้เพื่อเกียรติยศของโม๋อู่! 

   ครั้งนี้ เราสู้เพื่อการอยู่รอดของมวลมนุษย์! 

   นี่เป็นครั้งแรกของโม๋อู่ที่จัดคลาสฝึกพิเศษสองครั้งในเวลาอันสั้น นอกจากนี้มันยังหมายถึงสถานการณ์เริ่มร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ 

   อาจารย์คิดว่านักเรียนทุกคนที่อยู่ที่นี่วันนี้รู้ดีว่าอนาคตเราจะเจอกับอะไร 

   แต่ก่อน ผู้ฝึกยุทธขั้นสองอย่างพวกคุณย่อมไม่ถูกพาไปถ้ำใต้ดิน แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกนอกจากเตรียมตัวให้พร้อม! 

   บ้านของเรา ประเทศของเรา ท้องฟ้าที่อยู่เหนือเรา…แต่ก่อนพวกคุณคงไม่คิดถึงคำพูดเหล่านี้ 

   ทว่าตอนนี้… 

  จู่ๆถังเฟิงก็ขึ้นเสียง  ตอนนี้ พวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า ผู้ฝึกยุทธรุ่นของเราต่อสู้เพื่อบ้านเกิดเพื่อประเทศ! 

   นับตั้งแต่สมัยโบราณ ว่ากันว่าผู้ที่ต่อสู้เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนจะเป็นผู้กล้าหาญที่สุดในหมู่นักรบ 

   นับแต่นั้นมาหลายพันปีผ่านไป มีเพียงผู้ฝึกยุทธจากศตวรรษที่ผ่านมาเท่านั้นที่คู่ควรกับเกียรติเช่นนี้! 

  ถังเฟิงผู้นี้ไม่ได้เย็นชา เข้มงวดหรือไร้มนุษยธรรมอย่างที่เขาเห็นมาก่อน…

   ผู้ฝึกยุทธไม่กลัวการต่อสู้ พวกคุณต้องสู้! 

   ผู้ฝึกยุทธจากมหาลัยของเราไม่เคยเกรงกลัวการต่อสู้! ปีนี้เป็นปีครบรอบ 50 ปีที่ก่อตั้งโม๋อู่ขึ้นมา! 

   ตลอด 50 ปีมานี้ ปรมาจารย์ 3 ท่าน ผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง 928 ท่าน และผู้ฝึกยุทธขั้นสามอีก 512 ท่านในโม๋อู่ได้สละชีพในการต่อสู้! 

   ทุกๆปีจะมีนักศึกษาอย่างน้อย 10 คนเสียชีวิต ผู้ฝึกยุทธขั้นกลางเกือบ 20 คนเสียชีวิต ในรอบ 15 ปีนี้มีปรมาจารย์ท่านนึงเสียชีวิตกลางสนามรบ! 

  …

  ฟางผิงตะลึง ปรมาจารย์ 3 คนในโม๋อู่เสียชีวิต แค่นั้นไม่พอผู้ฝึกยุทธขั้นกลางเสียชีวิตกันเยอะขนาดนั้นเลย?

  ผู้ฝึกยุทธไม่ใช่กองทัพ

  ผู้ฝึกยุทธขั้นกลางและผู้ฝึกยุทธขั้นสามทุกคนได้รับการสนับสนุนทรัพยากรนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ เป็นบุคคลที่โดดเด่น

  กระนั้น ช่วงห้าสิบปีมานี้ก็มีผู้ฝึกยุทธเกือบพันคนจากโม๋อู่เสียชีวิตไป!

   โม๋อู่ก่อตั้งศาลวีรบุรุษขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติแก่นักรบผู้กล้าเหล่านี้ มันตั้งอยู่ชั้นบนสุดของหอประวัติศาสตร์ของมหาลัย 

   เดิมทีอาจารย์อยากพาพวกคุณไปดูว่าบรรพบุรุษของพวกคุณเสียสละอะไรไปบ้าง และเลือดเนื้อที่เสียไปมันคุ้มค่าไหม! 

   แต่แล้วอาจารย์ก็ตัดสินใจยกเลิกความคิดนี้ไป 

   ตอนนี้ พวกคุณทุกคนยังไม่เข้าใจ 

   คุณจะเห็นแค่รายชื่อที่คุณไม่รู้จัก ขณะที่ฟังอาจารย์เล่าว่าพวกเขาเสียสละอะไรไปบ้าง ทำอะไรไปบ้าง… 

   ไม่ พวกคุณตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องพวกเขา จดจำพวกเขา! 

   วันหนึ่ง เมื่อพวกคุณเข้าใจในที่สุดว่าตนเองสู้เพื่ออะไรและสู้เพื่อใคร เมื่อพวกคุณได้คำตอบนี้ พวกคุณอาจได้เข้าไปดู พอถึงตอนนั้นพวกคุณถึงจะเข้าใจว่าศาลวีรบุรุษคืออะไร! 

   เสียชีวิตขณะต่อสู้ในถ้ำใต้ดินเป็นเกียรติสูงสุดที่ผู้ฝึกยุทธจะคาดหวังได้! 

   ผู้ฝึกยุทธรุ่นของเรา เราสู้จนตัวตาย! เราจะไม่ถอย! เราจะไม่ยอมจำนน! 

  ถังเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงดังสนั่น

  ฟางผิงและคนอื่นๆยังคงเงียบ

   ดังนั้น เมื่อพวกคุณเข้าร่วมคลาสฝึกพิเศษครั้งนี้ พวกคุณต้องตั้งใจสู้จนตัวตาย! พวกคุณต้องเต็มใจสละชีวิตของตนเอง! 

   พวกคุณทำแบบนั้นได้ไหม? 

   ได้!  มีคนตะโกนขึ้นมา ถังเฟิงยิ้มมุมปากแล้วพูดอย่างราบเรียบ  ไม่แน่ 

  นักศึกษาที่มากันวันนี้จะเข้าใจจริงเหรอ?

  พวกเขาย่อมไม่เข้าใจ!

  จะสู้จนตัวตาย เวลานี้พวกเขาย่อมพูดได้เต็มปาก!

  เมื่อพวกเขาเข้าถ้ำใต้ดินและสัมผัสกับการต่อสู้ที่แท้จริง คงมีคนสิ้นหวังและกลายเป็นคนขี้ขลาด พอถึงตอนนั้นมนุษยชาติจะมีอนาคตจริงหรือ?

  การประลองและภารกิจก่อนหน้านี้…สำหรับถังเฟิงแล้ว มันเป็นเหมือนการละเล่นของเด็ก

  เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้สึกอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นจิตใจ

   ตอนนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจว่าคลาสพิเศษมีจุดประสงค์อะไร 

   จะไม่มีการเลือกหัวหน้าคลาส ไม่มีการจัดอันดับ กระนั้นฉันก็หวังว่าอย่างน้อยพวกคุณจะตั้งทีมของตัวเองได้ 

   ผู้ฝึกยุทธไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว 

   พวกคุณต้องมีสหายที่ฝากชีวิตได้ พึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด 

   ทีม 100 คนจะเด่นชัดเกินไปในถ้ำใต้ดิน 

   ฉันแนะนำให้พวกคุณตั้งทีมน้อยกว่า 10 คน 

   เมื่อทีมใหญ่กระจัดกระจาย พวกคุณต้องจัดระเบียบทีมให้ได้มากที่สุด มันจะเพิ่มโอกาสรอดให้กับพวกคุณ 

  มีคนเอ่ยถามขึ้นมาทันที  อาจารย์ถัง เราต้องเข้าทีมด้วยเหรอ? 

  ถังเฟิงตอบเรียบๆ  ย่อมไม่บังคับ ความหมายของทีมคือความเชื่อใจที่มีให้แก่กัน ถ้าบังคับให้เข้าร่วมทีม มันจะเป็นการฉุดรั้งทีม 

   คุณจะอยู่คนเดียวก็ได้ แต่จำไว้ ในถ้ำใต้ดินมีศัตรูอยู่ทุกที่ 

   คุณจะอยู่โดยไม่ได้พักผ่อนไม่ได้นอนหลับ แถมยังต้องตื่นตัวตลอดได้ไหม? 

   ต่อให้ทำได้ แต่ถ้าคุณบาดเจ็บล่ะ? ใครจะช่วยชีวิตคุณได้? 

   แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณอยู่ในถ้ำใต้ดินคนเดียวได้สบายๆ คุณจะมีทีมหรือไม่ก็ไม่สำคัญอะไร 

   ปรมาจารย์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียว พวกเขาทำได้ แต่พวกคุณทำได้ไหม? 

  นักศึกษาที่ถามคำถามเงียบเสียงไป ถังเฟิงพูดต่อ  ทีมไม่ได้ตั้งขึ้นในชั่วข้ามคืน สมาชิกทีมของพวกคุณไม่จำเป็นต้องมาจากชั้นเรียนนี้ คุณจะรับใครก็ได้ หากคุณคิดว่าพวกเขาอยู่รอดได้ในถ้ำใต้ดิน แม้แต่คนธรรมดาคุณก็ชวนมาได้ 

   แน่นอน คุณจะเสียเปรียบหากนำคนธรรมดาเข้าถ้ำใต้ดิน แต่คุณอยากหาที่ตาย เราก็ไม่ห้าม 

   ฉันขอแนะนำ คุณควรหาเพื่อนร่วมทีมที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกันเพื่อที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่ทีมจะอยู่รอดและเข้าใจกันและกัน 

  เมื่อพูดจบ ถังเฟิงก็พูดหัวข้ออื่น

   นอกจากสร้างทีม ก่อนเข้าถ้ำใต้ดิน คุณต้องเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับถ้ำใต้ดินก่อน 

   วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่มของทุกคืน จะมีอาจารย์มาสอนบทเรียนเกี่ยวกับถ้ำใต้ดินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง 

   บทเรียนเหล่านี้จะรวมถึงภูมิศาสตร์ของถ้ำใต้ดิน วัฒนธรรมของถ้ำใต้ดิน ประเภทของสิ่งมีชีวิตในถ้ำใต้ดิน ของมีค่าในถ้ำใต้ดิน และที่ตั้งของฐานที่มั่นในถ้ำใต้ดิน… 

  ฟางผิงเอ่ยถามโดยพลัน  อาจารย์ มนุษย์มีฐานที่มั่นในถ้ำใต้ดินเหรอ? 

  ถังเฟิงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นฟางผิง เขาไม่ชอบเด็กเหลวไหลแบบนี้ เขามักจะรู้สึกว่าเขาจะถูกขายแล้วยังช่วยนับเงินด้วย

  ถังเฟิงแค่นเสียงกับคำถามของฟางผิง  แน่นอนสิ ถ้าไม่มีฐานที่มั่นเราจะทำยังไง? สู้กันบนผืนโลกเหรอ? 

   มีฐานที่มั่นอยู่ทางเข้าถ้ำใต้ดินทุกแห่ง มีแม้แต่เมือง! 

   แน่นอนว่าพวกเขาเป็นทหาร พวกเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยทำสงครามในถ้ำใต้ดิน มนุษย์เสียสละไปมหาศาลเพื่อสร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นมา 

   อย่างไรก็ตามมีเมืองแบบนั้นอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นค่ายทหาร มีทหารคอยลาดตระเวน 

   ทั้งในเมืองนอกเมืองจะมีทหารประจำการหมุนเวียนกัน กองทหารรักษาการณ์ที่พวกคุณรู้จักที่จริงมาจากกองทหารทั้งสองนี้แหละ 

  ในเซี่ยงไฮ้มีกองทหารรักษาการณ์อยู่มากมาย

  หากจำนวนกองทหารในถ้ำใต้ดินถูกนับตามจำนวนกองทหารบนผืนโลก งั้นกองทหารในประเทศจีนคงเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

  ฟางผิงเบ้ปาก ‘บ้าเอ้ย ฉันแค่ถามคำถาม คุณจะส่งเสียงฮึดฮัดทางจมูกทำไม? มั่นใจใช่ไหมว่าไม่คัดจมูก?’

  เขามองจ้าวเหล่ยที่อยู่ข้างๆ สีหน้าของจ้าวเหล่ยหม่นลง เขาใช้หางตามองฟางผิง แววตาลุกโชนด้วยความโกรธ นายพยายามจะอัดฉันอีกแล้วสินะ

  ฟางผิงไม่ได้มองจ้าวเหล่ยอีก แต่กลับพูดต่อ  ถ้ำใต้ดินมีดวงอาทิตย์ไหม? 

  ถังเฟิงขมวดคิ้ว  รอไปถามในคาบเรียนเอา ฉันแค่แนะนำกำหนดการต่อไปเท่านั้น! 

  เจ้าเด็กนี่ถามคำถามที่ไม่สลักสำคัญมากเกินไปแล้ว เขาไม่ได้ยินที่บอกเหรอว่าจะมีคาบเรียนหนึ่งชั่วโมงทุกคืน?

   แล้วจะมีคาบต่อสู้จริงไหม? 

   ฟางผิงหุบปากแล้วฟังฉันพูดให้จบ! 

  ถังเฟิงแทบหมดความอดทนกับเจ้าเด็กนี่ เก็บคำถามไว้ถามหลังสรุปเสร็จได้ไหม?

  ถังเฟิงไม่มีอะไรจะพูดมากนัก เขาตะโกนดึงความสนใจของทุกคน แล้วแจ้งพวกเขาทันที  นอกจากคาบต่อสู้จริงประจำวันหนึ่งชั่วโมงแล้ว จะมีคาบความรู้เสริมของถ้ำใต้ดินด้วย คลาสฝึกพิเศษจะมีฝึกภาคปฏิบัติเช่นกัน รวมถึงฝึกเอาชีวิตรอด 

   เอาชีวิตรอดอย่างเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างเหรอ?  ฟางผิงถามอีกครั้ง

   ออกไป!  ถังเฟิงโกรธจนควันแทบออกจมูก

  ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ ‘ฉันแค่ทดสอบความอดทนของคุณ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณมีความอดทนไม่มาก’

  เขามั่นใจแล้วว่าสิงโตใหญ่คงไม่มีหวังเป็นปรมาจารย์ในเวลาสั้นๆ

  นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะมันหมายความว่าตัวเขาจะตามตาเฒ่าทันและเอาชนะอีกฝ่ายได้ไม่ช้าก็เร็ว

  คนเราจะเป็นปรมาจารย์ได้โดยไม่มีความอดทนได้อย่างไรกัน?

  เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ฟางผิงก็ตบบ่าจ้าวเหล่ยแล้วจะเดินออกจากห้อง

  จ้าวเหล่ยโกรธมาก สีหน้าเขาตอนนี้แค่เหลือบมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวแล้ว ถังเฟิงพูดไม่ออกกับภาพที่เห็น จากนั้นสักครู่เขาก็ตะโกน  นั่งลง! คาบพึ่งเริ่ม คุณห้ามถามคำถามโดยไม่ได้รับอนุญาต! 

  ศิษย์เขาค่อนข้างไร้ประโยชน์ เขาตกอยู่ในกำมือของฟางผิงโดยสิ้นเชิง

  จ้าวเหล่ยจะมาชั้นเรียนพร้อมกับผ้าพันแผลพันทั้งหัวทุกสองสามวัน ถังเฟิงจำไม่ได้แล้วว่าหน้าศิษย์เขาถูกทุบตีจนบวมเป่งไปกี่ครั้งแล้ว

  ฟางผิงนั่งลงโดยไม่กังวลอีก

  จ้าวเหล่ยกัดฟันกรอดๆ เขาพูดเสียงเบา  ฟางผิง เรื่องของเรายังไม่จบ! 

   ฮ่าๆ ถ้าอาจารย์นายข่มเหงฉันอีก ฉันไม่จบกับนายเหมือนกัน 

   นาย… 

   เลิกพูดว่า ‘นาย’ ได้แล้ว รอติดอันดับขั้นสองก่อนค่อยมาคุยกับฉัน 

  จ้าวเหล่ยโกรธมากจนทนแทบไม่ไหว แต่เขาก็หยุดพูด ฟางผิงพูดถูก เขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยฝีมือของตน!

  ‘รอให้ฉันก้าวข้ามฟางผิงก่อนเถอะ! ฉันจะอัดเจ้าหมอนี่ต่อหน้าคนทั้งมหาลัย ทำให้เจ้าหมอนี่กลายเป็นหัวหมูทั้งปี!’

  ถังเฟิงหูดีพอที่จะได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน

  เขาอดมองจ้าวเหล่ยไม่ได้ ฟางผิง เจ้าเด็กคนนี้เป็นขั้นสามแล้ว เมื่อจ้าวเหล่ยถึงขั้นสองสูงสุด ฟางผิงคงเป็นขั้นสามสูงสุดแล้ว ดูเหมือนอนาคตจะมีผ้าพันแผลที่หัวมากขึ้นเรื่อยๆ

   ในหลักสูตรต่อไปเป็นเรื่องของความรู้ถ้ำใต้ดินพื้นฐาน การต่อสู้จริงและเอาชีวิตรอด ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นจะได้คะแนนเป็นรางวัล 

   นอกจากรางวัลประเมิน จะมีการมอบรางวัล 10 คะแนนทุกวันด้วยเช่นกัน… 

   อาจารย์ เราจะได้ 10 คะแนนนั้นได้ยังไง? 

  ครั้งนี้ฟางผิงอดถามไม่ได้จริงๆ เมื่อได้ยินว่ามีรางวัลด้วย เขาก็รู้สึกคันหัวใจขึ้นมา เขาไม่ได้ตั้งใจสร้างปัญหา

  ถังเฟิงถลึงตามอง แต่รอบนี้เขาไม่ได้ตำหนิ เขากล่าว  รางวัลรายวันจะให้ตามดุลพินิจของอาจารย์ที่สอนในวันนั้นๆ… 

   ไม่ยุติธรรมเลย!  ฟางผิงค้านทันที  ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรม 

   งั้นบอกมา คุณจะให้ทำอย่างไร? 

   ผม…ผมว่าเราให้ทุกคนโหวตทุกวันก็ได้ คนที่ได้คะแนนโหวตมากที่สุดจะได้คะแนน 

  ถังเฟิงมองเขาอย่างแปลกใจ เด็กคนนี้เริ่มเป็นประชาธิปไตยแล้ว?

  คนอื่นก็แปลกใจเช่นกัน ถ้าทำตามวิธีของฟางผิง ทุกคนจะมีโอกาส มันขึ้นอยู่กับความนิยมล้วนๆ

  ยิ่งเป็นที่นิยมเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับรางวัลสูงเท่านั้น

  สิบคะแนนทุกวันค่อนข้างมากทีเดียว

  คลาสฝึกพิเศษจะมีอย่างน้อยสองเดือน ซึ่งหมายความว่าจะมีเวลาอย่างน้อยหกสิบวัน นั่นรวมแล้วเป็น 600 คะแนน!

  ถังเฟิงพิจารณาข้อเสนอแล้วรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลว ต่อให้มีคนผูกขาดคะแนนโหวต แต่มันก็แปลว่ามีนักศึกษาที่มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำในคลาส ในสงครามถ้ำใต้ดินแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดี

  ส่วนฟางผิง ถังเฟิงรู้สึกว่าเขามีโอกาสน้อยนิด

   แน่นอน  ถังเฟิงเห็นด้วย

  ฟางผิงถูมือเข้าด้วยกัน หยางเสี่ยวม่านที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันหน้าหาแล้วพูดเบาๆ  นายจะบ้าเหรอ? แบบนี้ก็เหมือนให้คะแนนคนอื่นฟรีๆไม่ใช่ไง? พวกเฉินเผิงเฟยมีคนสนับสนุนมากมาย… 

  ฟางผิงแค่นเสียง  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถ พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปหาพวกเขาทีละคนแล้วจับเข่าคุยกันดีๆ ถ้าพวกเขาไม่โหวตให้ฉัน งั้นก็คอยดูเถอะ! 

   ถ้าฉันหว่านล้อมได้สักห้าสิบคน 600 คะแนนก็จะเป็นของฉัน! 

  ฟางผิงคำนวณในใจแล้วพูดเบาๆ  พวกนายทั้งแปดต้องโหวตให้ฉัน 300 คะแนนที่ได้ทุกเดือนฉันจะเอา 200 คะแนน ที่เหลือจะให้พวกนาย 

   นายคิดว่าจะได้จริงเหรอ?  ฟู่ชางติ่งไม่เชื่อ พวกเขาไม่มีความเห็นอื่นเรื่องที่ฟางผิงจะแบ่งให้ 100 คะแนนทุกเดือน

  พูดตามตรง ถ้าพวกเขาต้องพึ่งตัวเอง แม้แต่คะแนนเดียวพวกเขาก็อาจต้องยอมแพ้ นอกเสียจากหยางเสี่ยวม่านกับเฉินหยุนซีจะใช้ประโยชน์จากรูปร่างหน้าตาของตนเอง

  คงไม่มีใครโหวตให้ปีหนึ่งแน่นอน

   ได้แน่นอน ฉันแค่ต้องหว่านล้อมคน 42 คนเท่านั้น 

  ฟางผิงคำนวณอัตราส่วนแล้วพูดขึ้นมา  เอารายชื่อนักศึกษาในคลาสมาให้ฉัน ใครเป็นที่นิยมก็ทำเครื่องหมายไว้ 

  เขาไม่จำเป็นต้องอัดคนทั้ง 42 คน

  เขาแค่อัดคนที่เป็นแกนหลักก็พอ ถ้ามองจากมุมนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรมากมายนัก

  เมื่อเห็นความมั่นใจของฟางผิง คนอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ถ้าฟางผิงทำสำเร็จก็ดีไป พวกเขาได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้อะไรมาบ้าง

  ถ้าฟางผิงทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรอีกเช่นกัน

  พวกเขาเก้าคนร่วมมือกันก็ยังมีโอกาส หนึ่งคะแนนก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

  …

  ถังเฟิงไม่ได้สนใจว่าทุกคนคิดอะไรอยู่ เขาแค่เตือนทุกคนเรื่องอื่นกับการเตรียมการในอนาคต

  นี่เป็นวันแรก จึงไม่มีบทเรียนอะไร

  ถังเฟิงเตรียมจากไป เขาพูดจนปากแห้ง แต่จู่ๆฟางผิงก็พูดขึ้นมา  อาจารย์ไม่ให้คะแนนของวันนี้เหรอ? 

  ถังเฟิงหยุดเดิน ฟางผิงพูดเสียงดัง  วันนี้ถือเป็นวันเริ่มคลาส อาจารย์คงไม่กลับคำหรอกใช่ไหม? 

  ถังเฟิงพูดไม่ออก เขากล่าว  วันนี้ก็นับ เราจะโหวตเดี๋ยวนี้ 

   สวัสดีทุกคน ฉันฟางผิง ฉันเคยเข้าร่วมงานประลองและหลั่งเลือดเพื่อมหาลัย นอกจากนี้ฉันยังช่วยชิงทรัพยากร 10% ของจิงอู่มาให้มหาลัย เทอมหน้าเราจะมีสิ่งที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นมากมาย! 

  ทุกคนดูสับสนกับคำพูดของฟางผิง แบบนี้ก็ได้เหรอ?

  ฟางผิงรู้ว่าวันแรกทุกคนไม่ได้เตรียมการมาหรือหว่านล้อมคนอื่นมา ดังนั้นคะแนนโหวตจึงกระจัดกระจาย

  เขาจะโหวตตัวเอง แล้วเมื่อรวมกับคะแนนโหวตที่ปีหนึ่งอีกแปดคนโหวตให้เขา เขาก็จะได้เก้าคะแนน ด้วยคะแนนโหวตนี้ รวมกับที่เขานำเสนอตัวเอง เขาอาจได้คะแนนของวันแรกก็ได้

  นอกจากนี้เขายังตรวจสอบคนที่เป็นที่นิยมผ่านคะแนนโหวตได้ด้วย พรุ่งนี้…ไม่สิ คืนนี้เราจะต้องคุยกัน!

  ถังเฟิงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก เขามองดูเวลาแล้วพูดสั่ง  เร็ว ทำให้เสร็จในสามนาที 

  ทุกคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องโหวต

  ฟางผิงยังคงพูดเตือนทุกคนว่าเขาชื่อฟางผิง และเขายังได้หลั่งเลือดเพื่อมหาลัย

  พวกฟู่ชางติ่งไม่มีอะไรจะพูด แต่พวกเขาคิดในใจ ‘นายมั่นใจเหรอว่าหลั่งเลือด?’

  แต่ฟางผิงกำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาดุจเหยี่ยว พวกเขาจึงได้แต่โหวตให้ฟางผิงด้วยอารมณ์สับสนปนเป นี่เป็นวันแรก ตัวพวกเขาไม่มีหวังได้คะแนนเลย

  ขั้นตอนการโหวตจบลงอย่างรวดเร็ว

  ถังเฟิงรับบัตรลงคะแนนมา พลิกดูลวกๆแล้วประกาศ  ฟางผิงที่หนึ่ง 16 คะแนน ไปรับคะแนนเอง  หลังกล้ำกลืนพูดคำเหล่านี้เหมือนกินยาขม เขาก็ออกจากห้องไป

  กลับกันฟางผิงรีบก้าวไปหยิบผลการลงคะแนน ตั้งใจจะเอากลับไปดูและกำหนดเป้าหมาย

  เมื่อเห็นท่าทางยุ่งๆของฟางผิง ฟู่ชางติ่งก็ถอนหายใจ  ฉันเข้าใจแล้ว พอเป็นเรื่องผลประโยชน์ เขาลงมือเร็วกว่าใครเพื่อนเลย 

   ปกติพูดสักคำยังขี้เกียจเลย เจ้าหมอนี่…หมดหนทางเยียวยาแล้ว 

  เฉินหยุนซีพูดเสียงเบา  บางทีอาจเป็นเพราะครอบครัวเขาจน… 

  ฟู่ชางติ่งกลอกตามองบน จนงั้นเหรอ? เขาก็จนเหมือนกัน เธอไม่เห็นสนับสนุนฉันเลย

  ฟางผิงยังถือว่าจนอยู่เหรอ?

  เขาขายเม็ดยาไปมากเท่าไหร่แล้ว!

  ราว 40-50 ล้าน!

  นี่ยังไม่รวมกับรางวัลที่ได้จากภารกิจอีก! ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ฟางผิงทำเงินได้ 50 ล้านเป็นอย่างน้อย! แบบนี้ยังเรียกจนได้อยู่เหรอ?

  ถ้าแบบนี้ยังเรียกว่าจน งั้นมหาลัยวิชายุทธคงไม่มีคนรวยแล้ว!

  ฟู่ชางติ่งไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เขาเปลี่ยนเรื่อง  ตั้งแต่พรุ่งนี้ เราจะได้เรียนรู้เรื่องถ้ำใต้ดินจริงๆแล้ว น่าตื่นเต้นมาก… 

   พวกนายคุยกันไป ฉันจะกลับก่อน  หลังไปเอาบัตรลงคะแนนมา ฟางผิงก็บอกลาแล้วรีบจากไปทันที

  เมื่อเห็นท่าทางเร่งรีบของฟางผิง เฉินหยุนซีก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้  เขา…เขาคงไม่ไปหาคนอื่นจริงๆใช่ไหม? 

  คนอื่นแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นฟู่ชางติ่งก็สับหาวิ่ง  แล้วรออะไรอยู่ล่ะ? ไปดูกัน! 

  ฟางผิงไม่ยอมเสียผลประโยชน์มากขนาดนี้แน่นอน พวกเขามีอะไรสนุกๆให้ชมแล้ว!

  ทุกคนก็ตอบสนองแล้วเดินตามฟู่ชางติ่งไป ฟางผิงที่นำอยู่ข้างหน้าเอากล่องไม้ออกมาจากตู้เก็บของแล้ว เขาเดินไปทางประตูอาคารเรียนอย่างเร่งรีบพร้อมกับกล่องไม้ในมือ

  ดูท่าทางแล้ว เหมือนเขาจะอยากสกัดประตูทางเข้า!

  คนพวกนี้ไม่ใช่ทั้งเตรียมผู้ฝึกยุทธหรือเด็กปีหนึ่งที่พึ่งเข้ามหาลัย พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง! ถ้านี่ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

  ถังซ่งถิงบ่นพึมพำ  ตอนนี้รนหาที่ตายเป็นกระแสอยู่เหรอ? 

  ฉินเฟิ่งชิงจากชมรมวิถียุทธก็ยั่วโมโหจางอวี่ขั้นสี่ รนหาที่ตายทุกวัน

  ฟู่ชางติ่งก็รนหาที่ตายเหมือนกัน แต่เขาก็ได้สติหลังถูกอัดมาครั้งเดียว

  ตอนนี้ แม้แต่ฟางผิงที่ปกติจะสุขุมก็เริ่มรนหาที่ตายเช่นกัน!

   นี่เป็นความหมายที่แท้จริงของการแข็งแกร่งขึ้นงั้นเหรอ? 

  ถังซ่งถิงอยู่ในห้วงความคิด คนเราจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อรนหาที่ตาย หรือรนหาที่ตายแล้วจะแข็งแกร่งขึ้น?

  คำตอบของตรรกะนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องหาด้วยตัวเอง

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท