“แกอย่าโทษแม่ของแกที่พูดจาไม่น่าฟังเลยนะ พวกเราแค่คิดว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ ครั้งนี้แกหางานไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะว่ามีคนพุ่งเป้ามาที่แก แต่ทำงานไม่ได้ก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้แกก็ยังอายุน้อย”
โจวเหวินซูปลอบโยนโจวลี่ซือ โจวลี่ซือค่อยๆพยักหน้า ดูแบบนี้แล้วโจวเหวินซือเป็นคนที่ไม่เลวเลย แต่เฝิงซิ่วเจียนอาจจะเป็นคนที่ปากร้ายแต่ใจดีก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง เนี่ยเฟิงมักรู้สึกว่าบรรยากาศดูผิดปกติเล็กน้อย
“แม่ของแกทำอาหารเตรียมไว้แล้ว เดี๋ยวชวนไอ้หนุ่มนี่กินข้าวด้วยกันเถอะ เธอชื่ออะไรนะ?”
โจวเหวินซูยิ้มตาหยีมองมาที่เนี่ยเฟิง เนี่ยเฟิงเผยรอยยิ้มสดใสมองไปที่โจวเหวินซู“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้าผมชื่อเนี่ยเฟิงครับ!”
โจวเหวินซูพยักหน้า“ดูๆไปแล้วเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เลวเลยนะ เธอทำงานอะไรหรอ?”
“ผมเป็นหมอครับ!ขาของคุณลุงโจวเป็นอะไรหรอครับ?”
เนี่ยเฟิงมองดูโจวเหวินซู แล้วถามออกไปแบบนั้น
โจวเหวินซูหน้าเสียในทันที แต่วินาทีนี้เอง เขารีบกลับมามีรอยยิ้มสนิทสนม“นี่เป็นเรื่องเก่าแล้วล่ะ อย่าไปพูดถึงอีกเลย!”
เนี่ยเฟิงรู้สึกได้ถึงโจวลี่ซือหน้าเสียไป โจวลี่ซือลากเนี่ยเฟิงไป แล้วพูดพลางยิ้มไปว่า“หนูไปซื้อเครื่องดื่มก่อนนะคะ!เสี่ยวเฟิง นายมากับฉันหน่อย!”
เนี่ยเฟิงที่เดินลงไปพร้อมกับโจวลี่ซือ โจวลี่ซือถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“ที่ขาของพ่อบุญธรรมได้รับบาดเจ็บก็เพราะฉันเอง ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้ นั่นเป็นเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้วน่ะ ตอนนั้นฉันกับพวกเขาทะเลาะกันเพราะว่าเรื่องเรียน พ่อบุญธรรมของฉันตามฉันมา แล้วตกบันไดลงมา กระทบกับเส้นประสาท เลย……”
เนี่ยเฟิงรู้ได้ในทันที ถึงว่าทำไมโจวลี่ซือต้องเอาแต่หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว
“พ่อบุญธรรมเป็นคนที่ต้องทำงานหนัก และก็เป็นเสาหลักของครอบครัว เกินเรื่องแบบนี้ขึ้น มันทำให้ฉันรู้สึกผิดมาก ฉันเลยอาสาเอาเงินออกมาเพื่อรักษาเขา แต่น่าเสียดาย เห้อ”
“ที่แท้ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนี่เอง ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ห้าผมเข้าใจพี่ เราไปซื้อเครื่องดื่มกันเถอะครับ!ไปกันเถอะ!”
พวกเนี่ยเฟิงพากันไปซื้อเครื่องดื่มเสร็จก็กลับบ้าน เวลานี้เองเฝิงซิ่วเจียนก็ได้ยกอาหารออกมา เป็นไปตามคาดทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารสีสันน่ารับประทาน
“เนี่ยเฟิง มาบ้านของเราครั้งแรกอย่าเกรงใจไปนะ รีบกินเถอะ ถ้าเธอคิดว่าอาหารไม่พอ เดี๋ยวฉันจะให้ป้าไปทำอาหารเพิ่มอีก!”
คนที่นั่งข้างๆโจวเหวินซูนั่นก็คือโจวจื่อเหาผู้เป็นลูกชาย
โจวจื่อเหาแต่งงานแล้ว ตอนนี้ภรรยาของตัวเองกำลังท้องโตอยู่ สีหน้าของพวกเขาสองคนไม่ค่อยสู้ดีนัก ดูไปแล้วเหมือนจะกำลังเก็บซ่อนความรู้สึกรำคาญของตัวเองไว้
โจวจื่อเหาเขี่ยอาหารไปมา แล้วพูดออกไปว่า“พี่ ช่วงนี้บริษัทสายการบินงานไม่ค่อยราบรื่นหรอ งั้นตอนนี้พี่เริ่มคิดเรื่องแต่งงานรึยัง อายุของพี่ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ”
โจวลี่ซือมือชะงักไปในทันที“ฉัน……”
“ช่วงนี้ผมนัดกับหมอที่ต่างประเทศแล้วนะครับ พวกเขาบอกว่า อาการของพ่อยังสามารถช่วยได้ แต่ต้องใช้เงินเยอะมาก พี่ก็รู้ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวเราไม่ค่อยดี”
โจวจื่นเหาพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้า จนกระทั่งโจวเหวินซูพูดตำหนิไปว่า“แกพล่ามอะไรน่ะ!ใครใช้ให้แกพูดแบบนี้ต่อหน้าของพี่สาวแกห้ะ หุบปากของแกเดี๋ยวนี้นะ แล้วกินข้าวไป!”
“แต่พ่อครับ!พี่ใหญ่ตอนนี้ไม่มีงานแล้ว การเงินในบ้านจื่อเหาเป็นคนแบกรับไว้คนเดียวทั้งหมด ตอนนี้หนูก็กำลังท้องไม่สามารถออกไปทำงานได้ จะให้จื่อเหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียวเขาจะทำได้ยังไง!อีกทั้งในทุกๆเดือนพ่อก็ยังมีค่าใช้จ่ายของกายภาพบำบัด!ค่าใช้จ่ายพวกนี้ไม่ใช่เงินหรอคะ?”
ภรรยาของโจวจื่อเหาวางตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์“ตอนนี้พวกคุณเป็นแบบนี้กันแล้ว งั้นฉันกับโจวจื่อเหาจะจัดงานเลี้ยงยังไง จะคลอดลูกยังไง แล้วเลี้ยงลูกยังไงกัน!หรือพวกคุณจะเอาเปรียบฉันแบบนี้ใช่ไหม?”
“เสี่ยวเหม่ย หนูอย่ากดดันพี่ใหญ่เลย ตอนนี้พี่ใหญ่กำลังลำบาก อย่าพูดอะไรแบบนี้บนโต๊ะอาหารเลย!”โจวเหวินซูกำหมัดแน่น แล้วพูดออกไปแบบนั้น
“ก่อนหน้าที่ฉันจะแต่งเข้ามาที่บ้านฉันไม่เคยอดอยากปากแห้งมากก่อน แต่พอแต่งเข้ามาที่บ้านของพวกคุณ ยังจะต้องคอยคิดเรื่องคืนหนี้สินของพวกคุณ ยังต้องเลี้ยงพวกคุณ ไหนยังจะต้องเลี้ยงลูกในท้องอีก ภาระพวกนี้มันมาอยู่ที่พวกเราหมดเลย!พ่อบอกว่าอย่ากดดันเธอ?ถ้าเธอไม่มีความสุขก็ไปได้เลย งั้นฉันล่ะ?ฉันไม่มีความสุขแล้วสามารถไปได้เลยไหม!”
ทันใดนั้นเอง บนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก
โจวลี่ซือกินอะไรไม่ลงอยู่แล้ว พอได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้นบนโต๊ะอาหาร โจวลี่ซือจึงทำได้เพียงวางตะเกียบลง
“จื่อเหา นายไปนัดหมออะไรมาหรอ?เขาเชื่อถือได้ไหม?ต้องใช้เงินเท่าไหร่?ฉันไปยืมได้”
โจวลี่ซือค่อยๆถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยถามออกไปแบบนั้น
“ช่างเถอะ!พ่อบอกว่าไม่ต้องให้เธอช่วยอยู่แล้ว งั้นก็ไม่ต้องหรอก!”โจวจื่อเหาพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ทันใดนั้นทั้งโต๊ะอาหารเงียบลงในทันที แต่กลับมีเสียงตะเกียบกับถ้วยกระทบกันดังขึ้น ทุกคนหันไปมองเนี่ยเฟิงเป็นสายตาเดียวกัน
ในเวลานี้เนี่ยเฟิงยังคงกินข้าวอยู่ มองดูไปแล้วเอร็ดอร่อยมาก เขากินไปกินมา ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า“ทำไมพวกคุณถึงหยุดล่ะ?ต่อเลยสิ!”
โจวลี่ซืออดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ในเวลาปกติน้องชายของเธอไม่ใช่คนแบบนี้ เหตุใดเนี่ยเฟิงถึงได้เปลี่ยนเป็นคนที่ไม่เห็นใจคนอื่นกะทันหันแบบนี้?
“แกดูสิฉันพูดแล้วใช่ไหม ว่าอย่าพาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้เข้ามา!เป็นไปดังที่เขาว่าอย่าสาวไส้ให้กากิน!”เฝิงซิ่วเจียนมองค้อนไปที่เนี่ยเฟิง
โจวเหวินซูเงยหน้าขึ้นทันที แล้วห้ามเฝิงซิ่วเจียน“นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัวของเราอยู่แล้ว……อีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเสี่ยวซือ?พวกแกอย่าโยนภาระไปให้เสี่ยวซือนะ ขาของฉันจะรักษาหรือไม่รักษาก็ไม่เป็นไร!อย่างไรเสียเรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หาหมอมาตั้งเยอะกายภาพก็ทำมาเยอะขนาดนี้ ขาของฉันก็ไม่เคยดีขึ้นมาเลย สู้ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปดีกว่า”
“พวกคุณอยากจะใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ฉันไม่อยาก!”เสี่ยวเหม่ยพูดขึ้นด้วยเสียงเล็กแหลม“ตอนนั้นที่แต่งเข้าที่นี่ต่างพูดกันอย่างดิบดี แต่ตอนนี้ฉันต้องลดมาตรฐานชีวิตของตัวเองต่ำลงเพราะเรื่องพวกนี้ ยังจะต้องคิดถึงเรื่องเงินค่านมผงของลูกชายอีก!มีสิทธิ์อะไร!”
“เสี่ยวเหม่ย อย่าพูดอีกเลย……”
“พูดสิ!อย่าหยุดนะ!ดูพวกคุณสนทนากันสนุกกว่าละครในทีวีที่ผมดูอีก พวกคุณพูดกันต่อเลยอย่าหยุดนะ แบบนี้มันทำให้ผมกินข้าวได้ตั้งหลายถ้วยแหน่ะ ไม่ได้ดูละครมีรสชาติอบบนี้มานานแล้ว”
เนี่ยเฟิงพูดจบก็คีบกระดูกซี่โครงรสชาติเปรี้ยวหวานโยนเข้าปากของตัวเองไป สีหน้าดูระรื่นมาก
“เสี่ยวเฟิง!นายพูดอะไรน่ะ?”
โจวลี่ซือรู้สึกแค่เพียงว่าขายหน้ามาก เธอดึงเนี่ยเฟิงไว้ เพื่อบอกให้เนี่ยเฟิงอย่ายุ่งกับเรื่องนี้ มันเป็นหนี้ที่โจวลี่ซือต้องชดใช้อยู่แล้ว
“เนี่ยเฟิง นายกลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ฉันจะต้องปรึกษากับพี่ของนายหน่อย”
โจวเหวินซูค่อยๆถอนหายใจออกมา เวลานี้เองเนี่ยเฟิงกินอิ่มแล้ว เห็นเพียงแค่เขาวางตะเกียบลง แล้วเช็ดปากของตัวเองอย่างประณีต เขายิ้มแล้วส่ายหัวไปมา“ผมไปไม่ได้ ผมไปแล้ว พวกคุณก็จะโกหกหลอกลวงพี่ห้าของผมต่อไปน่ะสิ