DC บทที่ 207: โจมตีข้างเดียวกับนิกายดอกบัวเพลิง
เพื่อให้เห็นมุมมองของอิทธิพลจากผู้ที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด โหลวหลานจีซึ่งอยู่ประมาณเขตปฐพีวิญญาณระดับสี่มีความสามารถที่จะควบคุมนิกายทั้งหมดได้ด้วยตนเอง แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่สำนักที่ทรงพลังที่สุด แต่นั่นก็ต้องการทรัพยากรมหาศาลสำหรับผู้คนจำนวนหลายร้อยในการดำรงชีพ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสำนักที่มีคนมากหลายพันคน
“ข้ามิสนใจว่าเจ้ามีเหตุผลใดในการปลอมแปลงเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เจ้าได้ฆ่าหนึ่งในศิษย์ของนิกายเรา และข้าจักต้องให้เจ้ารับผิดชอบ แต่อย่าเข้าใจผิดจุดประสงค์ของข้าว่านี่เป็นวิธีการปกป้องหวังหมิง แม้ว่าหวังหมิงอาจจะเป็นคนไม่ดี แต่ว่าเขาก็ยังเป็นพวกข้า เจ้าคิดว่าคนจะพูดเกี่ยวกับพวกเราเช่นไรถ้าพวกเขารู้ว่ามีคนภายนอกได้จัดการฆ่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงในขณะที่อยู่ภายในนิกายของตนเอง อีกทั้งจากไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ข้าหวังว่าเจ้าคงเข้าใจ…”
ผู้อาวุโสหานจริงแล้วไม่ต้องการที่จะล่วงเกินคนเช่นซูหยางถ้าเขาไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหลังของอีกฝ่าย แต่เพื่อที่จะรักษาภาพพจน์ของตนเองต่อหน้าสาธารณะเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่มองพวกเขาว่าเป็นผู้ที่โดนรังแกได้โดยง่าย ในเมื่อหากว่าแสดงความอ่อนแอย่อมนำไปสู่ความพินาจในยุทธภพ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ลงโทษซูหยางที่ฆ่าหนึ่งในศิษย์ของพวกเขา
“เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการที่จะลงโทษข้าที่ฆ่าหวังหมิง แต่เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับข้ารึ” ซูหยางพูดด้วยเสียงผ่อนคลาย หน้าตายังคงเฉยเมยดังเช่นปกติ
คล้ายกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่ามีความกดดันจากสถานการณ์ในตอนนี้ และผู้อาวุโสหานเพียงรู้สึกถึงความมั่นใจที่ปลดปล่อยออกมาจากเขา
“เขามิสะทกสะท้านอย่างแท้จริงเมื่อถูกรายล้อมด้วยคนทั้งนิกายในขณะที่เขาอยู่เพียงลำพัง หรือว่าว่าเขาเพียงแกล้งทำเป็นมั่นใจ” ผู้อาวุโสหานครุ่นคิดในใจ
ถ้าซูหยางยังสามารถผ่อนคลายได้ในสถานการณ์เช่นนี้ บางทีผู้หนุนหลังของเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“ข้ามิขอมาก” ผู้อาวุโสหานกล่าวหลังจากนั้นด้วยท่าทางจริงจังและชี้ตรงไปยังแขนขวาของซูหยาง “เพียงแค่เจ้าทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง”
“อวัยวะข้าข้างหนึ่งรึ หือ” ซูหยางยกแขนขวาขึ้นและมองดู ราวกับว่าเขากำลังพยายามหาค่าของมันอยู่
เขากล่าวต่อสองสามวินาทีหลังจากนั้นว่า “ข้ามิรังเกียจที่จะทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง แต่ว่าพวกเจ้าสามารถที่จะรับผิดชอบผลที่ตามมาได้หรือไม่ นั่นอาจจะมีค่าเท่ากับนิกายของเจ้าทั้งหมด เจ้ารู้บ้างไหม”
“เจ้ากล้า”
ผู้อาวุโสนิกายที่รายล้อมมีท่าทางโกรธแค้นเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของซูหยาง แขนข้างหนึ่งของเขาจะมีค่าเท่ากับนิกายของพวกเขาทั้งนิกายที่มีประวัติมาหลายพันปีได้อย่างไร
“หุบปาก เข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดได้ที่นี่” ผู้อาวุโสหานตะโกนใส่บรรดาผู้อาวุโสนิกาย เป็นเหตุให้พวกเขาพากันปิดปากลงในทันที
หลังจากที่ปิดปากผู้อาวุโสนิกายแล้ว ผู้อาวุโสหานหันไปมองซูหยางพร้อมขมวดคิ้ว เขาพยายามอ่านสีหน้าและแววตาของซูหยาง หวังว่าจะพบเบาะแสเพียงเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกลวง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถหาแม้เงาของการโกหกของซูหยางได้ มีแต่เพียงความมั่นใจ
“เจ้าสามารถบอกถึงเบื้องหลังของเจ้าได้หรือไม่ บางทีข้าอาจจะลดโทษของเจ้าลง” เขากล่าวกับซูหยาง พยายามไม่ให้เกิดเสียงกระอักกระอ่วน
เขาไม่ต้องการที่จะล่วงเกินผู้ทรงอำนาจที่เหนือกว่านิกายดอกบัวเพลิงของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วจะมีค่าอะไรในการพยายามปกป้องภาพพจน์ต่อสาธารณะชน หากว่าพวกเขาต้องเสี่ยงกับความปลอดภัยของนิกายทั้งหมดหากทำเช่นนั้น
ซูหยางชี้ไปที่ชุดสีเขียวบนร่างของเขาและกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “นี่คือสิ่งยืนยันตัวตนของข้า”
คิ้วของผู้อาวุโสหานยิ่งขมวดย่น คิดในใจว่าซูหยางทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนโง่เขลา
“แม้ว่าเจ้าอาจจะอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด เจ้าตอนนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยผู้มีฝีมือนับร้อยใจกลางนิกายดอกบัวเพลิง และด้วยคนมากมายเพียงนี้ ถ้าพวกเรามิต้องการให้เจ้าไป กระทั่งเส้นผมของเจ้าเส้นหนึ่งก็ไม่สามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ในวันนี้ได้ ดังนั้นทำไมเจ้ามิคิดถึงคำตอบของเจ้าอีกครั้ง ข้าจักให้เวลาเจ้าชั่วขณะ”
ในใจของผู้อาวุโสหาน ไม่ว่าซูหยางจะมีเบื้องหลังทรงอำนาจเพียงใด ถ้าเขาไม่อาจกลับไปบอกพวกเขา และนิกายดอกบัวเพลิงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด เช่นนั้นผู้ทรงอำนาจที่หนุนหลังอยู่ก็ไม่สามารถที่จะโจมตีนิกายดอกบัวเพลิงและแก้แค้นให้กับซูหยางได้โดยไม่ทำให้ตนเองเหมือนกับคนป่าเถื่อนดุร้ายไร้เหตุผล
“หืม…เช่นนั้นรึ” ซูหยางหรี่ตาลงและพูดอย่างช้าๆ “ความคิดเช่นนั้น…เจ้าต้องการที่จะทดสอบมันรึ”
ทันใดนั้นเองพลังอันน่าหวาดหวั่นก็ระเบิดออกจากร่างของซูหยาง แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกไปรอบกายเขาและผู้อาวุโสและศิษย์มากมายต่างพากันเข่าอ่อนล้มลง
ใบหน้าของผู้อาวุโสหานพลันซีดเผือด กระทั่งถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่ตั้งใจเนื่องมาจากพลังอำนาจอันบ้าคลั่งที่รายล้อมรอบซูหยาง
“ป-ป-เป็นไปไม่ได้ ร-แรงกดดันนี้…มันทรงพลังเกินกว่าผู้นำนิกายไปมากนัก ข-เขาปลดปล่อยพลังมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเขาเองยังไปไม่ถึงเขตอัมพรวิญญาณ
“ขณะที่เจ้าอาจจะอยู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่รากฐานของเจ้าช่างอ่อนแอ อ่อนแอเหลือเกิน ตามจริงแล้วข้าสามารถทำลายมันได้เพียงแค่ใช้สองนิ้ว เหมือนกับหักครึ่งกิ่งไม้…” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดหาน ผู้ที่สั่นสะท้านยามเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันของเขา
ผู้อาวุโสสูงสุดหานไม่อาจเข้าใจกับสถานการณ์ เหตุใดเขาจึงถูกกดดันโดยคนจากเขตปฐพีวิญญาณ ความแตกต่างระหว่างระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณและระดับหนึ่งของเขตอัมพรวิญญาณนั้นแตกต่างกันราวกับลูกไก่และนกฟินิกซ์ นี่เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเกี่ยวกับซูหยาง ซึ่งเปรียบเสมือนลูกไก่ สามารถข่มขู่ฟินิกซ์ดังเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานได้
“ป-ป-ปกป้องผู้อาวุโสสูงสุด” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายพลันตะโกนออกมา
วินาทีถัดไปสามารถเห็นร่างคนหลายคนกระโจนเข้าใส่ซูหยาง แม้ว่าจะมีแรงกดดันบนร่างพวกเขา ในสายตาของพวกเขาแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิต พวกเขาจะต้องปกป้องผู้อาวุโสสูงสุด ผู้ซึ่งต่ำกว่าเพียงผู้นำนิกายในด้านของฐานะและอิทธิพล
ดวงตาของซูหยางเป็นประกายวาวแววลึกล้ำ เขาเริ่มเหวี่ยงหมัดไปยังร่างที่พุ่งเข้ามาหา
“อาาา”
อย่างไรก็ตามเพราะว่าร่างกายที่ได้รับการบ่มเพาะมา หมัดธรรมดาของซูหยางที่ปล่อยออกไปโดยไม่ต้องใช้วิชาใดกระแทกได้รุนแรงกว่าวิชาใดๆที่เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายเหล่านั้นจะเคยได้พบเจอ จนรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาปะทะเข้ากับภูเขา
ภายในเวลาเป็นวินาที ผู้คนมากมายสามารถเห็นได้ว่าปลิวลิ่วไปทุกสารทิศหลังจากที่ถูกกระแทกโดยซูหยาง คล้ายกับฉากที่เด็กขี้หงุดหงิดปัดของเล่นกระจายไปทั่วห้องด้วยความหงุดหงิดจากการถูกกักบริเวณ
“ส-สวรรค์ สัตว์ร้ายแบบไหนกันที่ข้าไปแหย่เข้าให้” ผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้สึกว่าเรี่ยวแรงบนขาของเขาหายไปเมื่อมองดูซูหยางโยนเหล่าศิษย์ของเขากระจายไปทั่วบริเวณ ทำราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาหญ้าฟาง