“ว่าไปแล้ว ยาประเภทไหนที่ข้าจักต้องทำ” หวังชูเหรินถามเขาหลังจากเปลี่ยนชุดชุ่มโชกออกไป ซึ่งนั่นทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้บอกเธอเลย
“ข้าคิดว่ามันคงดีที่สุดถ้าเจ้ามิรู้” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาไม่ต้องการทำให้เธอหวาดกลัวกับยาที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับที่สูงของมันซึ่งต้องทำให้เธอหวั่นเกรงอย่างแน่นอน
“ท้ายที่สุด โอสถแยกวิญญาณเป็นบางสิ่งที่กระทั่งนักปรุงยาที่มีระดับเหนือเธอยังไม่กล้าที่จะลอง อย่างไรก็ตามในเมื่อเธอมีวิชาระดับเซียนซึ่งถักร้อยเพื่อยาดังเช่นโอสถแยกวิญญาณ เธอย่อมมีโอกาสสูงกว่ามากที่จะปรุงยาสำเร็จ
“อย่างนั้นรึ…”
แม้ว่าหวังชูเหรินค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนเอง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายเกี่ยวกับยาที่เขาต้องการให้เธอทำ
“อย่างไรก็ตาม เรามาเริ่มกัน” ซูหยางกล่าว “ข้าได้มองดูเจ้านานพอที่จะพบความผิดพลาดในวิชาของเจ้า ดังนั้นข้าจักช่วยเจ้าแก้ไขปรับปรุงความผิดพลาดเหล่านั้นให้ดีขึ้น”
และก่อนที่หวังชูเหรินจะทันได้พยักหน้า ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้เจ้ามีความสามารถพอที่จะปรุงยาภายในพรุ่งนี้”
“พ-พรุ่งนี้…”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรเริ่มกันแต่ตอนนี้”
หลังจากกล่าวคำเหล่านั้นแล้ว ซูหยางเริ่มอบรมหวังชูเหรินในเรื่องวิชาของเธอ เขาบอกข้อผิดพลาดที่เธอได้ทำระหว่างการปรุงยาก่อนนั้นและอธิบายวิธีการปรับปรุงวิชาให้ดีขึ้นในอนาคต
และหลังจากไม่กี่นาทีหลังจากฟังคำบรรยายของเขา หวังชูเหรินรู้สึกว่าความเข้าใจต่อศาสตร์การปรุงยาของเธอเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าเธออยู่ต่อหน้าเทพแห่งการปรุงยา ซึ่งเป็นบางคนผู้ซึ่งมีความสามารถกระทั่งในการเปลี่ยนนักปรุงยาที่อ่อนด้อยที่สุดให้กลายเป็นนักปรุงยาระดับสูงสุดได้ด้วยเพียงถ้อยคำไม่กี่คำ
เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเธอที่จะพบว่าศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอเพิ่มพูดรวดเร็วจากเพียงแค่ฟังคำพูดของซูหยางไม่กี่คำ
ตอนแรกเธอสงสัยว่าการบรรยายประเภทไหนกันที่เขาจะให้ ตามจริงแล้วเธอไม่คาดหมายว่าการบรรยายของเขาช่างง่ายและตรงไปตรงมา ราวกับว่าเธอกำลังฟังเขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาให้เธอฟัง ซึ่งมีแต่สาระสำคัญในนั้นและกรองเอาสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกไป
ซูหยางพูดให้เธอฟังอย่างต่อเนื่องตลอดหลายชั่วโมง และหลังจากที่ผ่านไปสี่ชั่วโมงของการอธิบาย เขาตัดสินใจดูว่าเธอได้พัฒนาเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
“ไปลองปรุงโอสถมังกรเพลิงอีกครั้ง” เขากล่าวกับเธอ
“ข้าจักต้องไปรวบรวมวัตถุดิบจากคลัง” เธอกล่าว
ซูหยางพยักหน้า
เมื่อหวังชูเหรินไปยังคลังเพื่อร้องขอวัตถุดิบสำหรับโอสถมังกรเพลิง นิกายไม่ได้ปฏิเสธคำร้องของเธอ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะทำให้เธอโกรธ เพราะว่าโอสถสู่คัมภีร์ที่เธอปลอมแปลงเป็นโอสถดอกบัวเพลิง เจ้านิกายของนิกายดอกบัวเพลิงจึงให้ฐานะเธอภายในนิกายซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าตัวเขาเองเพียงเล็กน้อย และในเมื่อหวังชูเหรินปฏิเสธที่จะแบ่งปันความลับในการปรุงโอสถสู่คัมภีร์ นิกายดอกบัวเพลิงจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ดูแลเธอด้วยความนับถือมากยิ่งกว่าผู้อาวุโสนิกายคนอื่น
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินได้รับวัตถุดิบแล้ว เธอก็ตรงกลับไปยังที่พักของเธอที่มีซูหยางรอคอยอยู่ เธอเริ่มปรุงยาทันทีไม่กี่วินาทีหลังจากที่เธอกลับมา
เมื่อเธอเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบและบด เธอพบว่าความเร็วของตนเองยังคงเท่าเดิม ราวกับว่าไม่มีการพัฒนาใดๆ อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ท้อแท้กับเรื่องนั้นและทำการปรุงยาต่อไป
และภายในเพียงไม่กี่นาทีหลังจากหวังชูเหรินเริ่มปรุงโอสถมังกรเพลิง สุดท้ายเธอก็ตระหนักถึงผลการอบรมของซูหยางที่มีต่อศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอ
ไม่เพียงแต่เธอรู้สึกว่าง่ายขึ้นในการควบคุมอุณหภูมิเตา แต่พละกำลังของเธอก็ถูกใช้ไปในอัตราที่น้อยกว่าก่อนการอบรมจากซูหยาง
หลังจากเพียงแค่อบรมจากซูหยางไปเพียงสี่ชั่วโมง ศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอได้ก้าวหน้าไปแบบก้าวกระโดด ถ้าเธอต้องศึกษาด้วยตนเองปราศจากความช่วยเหลือของเขา นั่นจะต้องใช้เวลาเธอเป็นเดือนเป็นปีเพื่อที่จะให้ถึงความก้าวหน้าระดับนั้น
“ชายผู้นี้เป็นใครกัน” หวังชูเหรินตื่นตระหนกเป็นอย่างมากในใจ
เธอรู้ว่าหน้าตาเด็กของซูหยางนั้นขัดแย้งกับความสามารถที่แท้จริงของเขาอย่างมาก แต่เธอยังคงไม่อาจเข้าใจเบื้องหลังที่แท้จริงของเขา
ในขณะที่เขาสวมชุดของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สถานที่ที่ซึ่งไม่มีค่าให้ควรกล่าวถึงจากสำนักใหญ่หลายแห่ง ซูหยางกลับแสดงสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาแม้กระทั่งจากสำนักหรือตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดภายในภาคตะวันออก
เหตุใดเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีวิชาระดับเซียนซึ่งกระทั่งนิกายที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปตะวันออกได้แต่ฝันจะได้มา
เหตุใดเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีประสบการณ์ในศาสตร์แห่งการปรุงยามากมายปานนี้
หวังชูเหรินย่อมไม่มีทางเชื่อ
“หยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระและตั้งใจกับเตาปรุงยา” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ
หวังชูเหรินรู้สึกว่ามีความหนาวเยือกผ่านไขสันหลังจากความคมชัดของซูหยาง ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจเธอได้
“นิกายดอกบัวเพลิงต้องไม่ล่วงเกินเขาไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนคนเดียว นิกายไม่อาจล่วงเกินคนอย่างเขา” หวังชูเหรินสาบานกับตัวเองว่าเธอจะไม่ล่วงเกินซูหยางแม้ว่าเขาจะฆ่าครอบครัวของเธอต่อหน้า เขาเป็นคนที่น่าหวาดกลัวเกินไปในสายตาเธอ
หลังจากที่คิดเช่นนั้น หวังชูเหรินก็หยุดความคิดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปจากใจและจดจ่อแต่เพียงเตาปรุงยาเบื้องหน้าเธอ
–
–
–
สองชั่วโมงต่อมา หวังชูเหรินก็นำเอาโอสถมังกรเพลิงออกมาจากเตาด้วยท่าทางสับสน
ไม่เพียงแต่เธอใช้เวลาปรุงยาแค่ครึ่งหนึ่งกว่าที่เธอใช้ในครั้งที่แล้ว กระทั่งร่างกายของเธอก็ยังเหงื่อไหลไม่มาก ศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอได้ก้าวหน้ามากเกินกว่าที่เธอได้คาดไว้
ปล: ผมได้ปรับปรุงเวลาจากต้นฉบับ ต้นฉบับบอกว่าเธอจะใช้เวลาปรุงยาสี่ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงสิบสองชั่วโมง และซูหยางอบรมอีกสี่ชั่วโมง รวมกับปรุงยาครั้งนี้อีกหกชั่วโมง รวมกันแล้วยี่สิบสองชั่วโมง เมื่อซูหยางมาถึงแปดโมงเช้ากว่าจะปรุงยาเม็ดนี้เสร็จก็หกโมงเช้าของอีกวัน
ผมได้ปรับปรุงเวลาจากสิบสองชั่วโมง เป็นสี่ชั่วโมงตามที่เธอบอก ซูหยางอบรมอีกสี่ชั่วโมง และปรุงยาเม็ดนี้อีกครึ่งหนึ่งตามที่ต้นฉบับบอก สองชั่วโมงไม่รวมตอนบด เป็นสิบสองชั่วโมง เป็นยี่สิบนาฬิกาสองทุ่มพอดีแบบไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งก็น่าสมเหตุผลสอดคล้องกับตอนต่อไปพอสมควร จึงได้แจ้งให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ