Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน – ตอนที่ 339
DC บทที่ 339: เจ้ากำลังพยายามลากทั้งตระกูลหวังให้ล่มจมไปกับเจ้ารึ
“เฮ้ ระวังด้วยว่าเจ้าแกว่งของเล่นนั่นที่ไหนกัน มีเด็กๆอยู่ที่นี่และเจ้ากำลังทำให้พวกเขากลัว” ซูหยางชี้ไปที่ศิษย์รุ่นเยาว์ที่ต่างพากันสั่นสะท้านอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง
“ต่อให้ผู้อาวุโสหวังเป็นป้าของเขา ก็ควรจะมีขีดจำกัดกับนิสัยของเขาบ้าง เขากล้าสะเออะอ้างว่าตนเองจักฆ่าคนในเมืองนี้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหวังก็มิได้มีอิทธิพลมากมายปานนั้น ถ้ามิใช่เพราะผู้อาวุโสหวัง พวกเขาคงมิได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาในโรงประมูลนี้แต่แรกแล้ว”
ผู้คนพากันส่ายหน้าหลังจากที่ได้ยินคำพูดหวังชิชง มีจอมยุทธมากมายที่มีอำนาจล้ำลึกในที่นี้ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดคำพูดโอหังเช่นนั้น แค่เป็นเพียงเด็กรุ่นหลังจากตระกูลเล็กๆกลับกล้าที่จะอวดอ้างว่าตระกูลหวังของเขาอยู่เหนือกฏหมาย
“ถ้ามีคนจากตระกูลซีได้ยินเช่นนี้ ตระกูลหวังต้องหาคำตอบให้กับพวกเขาหลังจากนี้”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ก็ไม่มีใครในที่นั้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวหยุดยั้งหวังชิชงจากการพยายามฆ่าซูหยาง ในเมื่อไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขาต้องการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย
“ตายเสียเถอะ เจ้าเลว” หวังชิชงคำรามลั่น
“หยุด”
ขณะที่หวังชิชงเตรียมตัวสะบัดกระบี่ เงาร่างหนึ่งก็ตรงเข้าไปในห้องและจับแขนเขาไว้หยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขา
“ท-ท่านพ่อ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังชิชง ครั้นเมื่อเขาตระหนักว่าใครเพิ่งมาถึง
“ท่านมาได้ถูกเวลา ท่านพ่อ เจ้าเลวตรงนั้นกล้าที่จะตบหน้าข้าและหมิ่นเกียรติตระกูลหวังต่อหน้าคนจำนวนมาก ข้าต้องการให้เขาตาย” หวังชิชงชี้ไปทางซูหยางด้วยกระบี่
อย่างไรก็ตามหวังฟูจี พ่อของเขาพลันยกมือขึ้นและตบหน้าหวังชิชง ตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธต่อจากนั้นว่า “คนที่หมิ่นเกียรติตระกูลหวังที่นี่มิใช่ใครอื่นนอกจากตัวเจ้าเอง เจ้ากล้าอ้างได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่เหนือกฏหมาย เจ้ากำลังพยายามที่จะลากตระกูลหวังทั้งตระกูลลงไปกับเจ้ารี คอยก่อนเถอะ ยามเมื่อเรากลับบ้านข้าจักสั่งสอนเจ้าให้ดีเพื่อที่ว่าเจ้าจะมิได้เดินตามทางเดียวกับหวังหมิง”
“อะไรกัน” หวังชิชงเกือบหายใจไม่ออกจากความแตกตื่นหลังจากที่เห็นท่าทางควันขึ้นบนใบหน้าของพ่อของตนเอง “ต-แต่เขาตบข้าก่อน และเขาเองก็ยังรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตายของหวังหมิงด้วย”
หวังฟูจีขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และสายตาของเขาก็หันไปมองดูซูหยางซึ่งยืนอย่างสบายๆที่นั่นเหมือนกับว่าเขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น
“เราค่อยจัดการกับเขาทีหลัง ท่านเจ้าซี อยู่ที่นี่ เรามิอาจทำอะไรโง่เขลาต่อหน้าเขา” เขากล่าวกับหวังชิชงโดยผ่านปราณไร้ลักษณ์
“ท่านเจ้าอยู่นี่รึ” หวังชิชงตกใจเป็นอย่างมากกับข่าวนี้ สุดท้ายเขาก็ตระหนักว่าทำไมพ่อของเขาจึงหยุดเขาไว้ไม่ให้ฆ่าซูหยาง ถึงกับดุด่าเขาต่อหน้าผู้คน
“ข้าเสียใจ ท่านพ่อ ข้าจักทบทวนพฤติกรรมของข้า” หวังชิชงกล่าวก้มหน้าลง
“เจ้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อนในตอนนี้ ข้าจักจัดการเจ้าทีหลัง” หวังฟูจีกล่าวกับเขา
หวังชิชงพยักหน้าและรีบออกไปจากโรงประมูลติดตามไปด้วยเพื่อนของเขา
หลังจากที่หวังชิชงจากไปแล้ว หวังฟูจีก็เข้าไปหาซูหยางและจ้องมองเขาเขม็ง
“ข้าจักลงโทษลูกชายข้าจากการกระทำของเขาในวันนี้ แต่ข้าจักต้องให้เจ้ารับผิดชอบเช่นกันสำหรับการสร้างปัญหาให้กับตระกูลหวังของข้า อย่าคิดว่ามิมีผลใดในการล่วงเกินตระกูลหวัง สำหรับเรื่องที่เจ้ารู้เกี่ยวกับการตายของหวังหมิง ข้าจักให้เจ้าคายทุกสิ่งออกมา”
ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ตระกูลหวังรึ หากปราศจากหวังชูเหริน เจ้าจะมีฐานะอะไร เจ้ามิอาจแม้กระทั่งอบรมลูกของเจ้าให้ดี แต่เจ้ากลับคิดจัดการกับข้านะรึ นั่นช่างน่าขำ”
“จ-เจ้าเด็กโอหัง” หวังฟูจีไม่คาดว่าจะมีรุ่นเยาวที่ไหนก็ไม่รู้กล้าโต้เถียงกับเขาถึงขั้นด่าเขา ใบหน้าของเขาจึงแดงขึ้นทันที “แม้ว่าข้ามิอาจฆ่าเจ้า ข้าก็ยังสามารถทำให้เจ้าพิการได้ในตอนนี้”
“เจ้าต้องการทำให้ข้าพิการรึ ด้วยคุณสมบัติเช่นใดรึ พลังการฝึกปรือที่น่าขันของเจ้าที่อยู่แค่ระดับสามเขตปฐพีวิญญาณนะรึ” ซูหยางกล่าว
“…”
หวังฟูจีเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตระหนก “เขาสามารถเห็นพลังการฝึกปรือของข้าด้วยรึ”
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพยายามที่จะดูพลังการฝึกปรือของซูหยางบ้าง เขากลับไม่สามารถที่จะตรวจพบอะไรทั้งสิ้น มันเหมือนกับว่ายืนอยู่ต่อหน้าคนธรรมดาที่ยังไม่เคยฝึกวิชา แต่คนที่ไม่เคยฝึกวิชาไม่ควรจะมีความสามารถหรือความแข็งแกร่งที่จะส่งหวังชิชงข้ามห้องไปด้วยการตบเพียงครั้งเดียว
“เด็กหนุ่มคนนี้… เขาเป็นคนน่ากลัวคนหนึ่ง”
ไม่เพียงแต่หวังฟูจีที่ตระหนักเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธคนอื่นในห้องก็สังเกตพบว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับซูหยางผิดพลาดไป ราวกับว่าเขาซ่อนเร้นความลึกลับเอาไว้
“ในเมื่อคนคนนั้นกำลังจ้องดูอยู่ ข้าจักมิยกมือข้าในวันนี้ อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเจ้าจากเมืองนี้ไป อย่าได้แม้กระทั่งคิดจะหนีไปจากข้า ข้าจักให้เจ้าเผยความลับทุกอย่างของเจ้า”
หวังฟูจีแค่นเสียงเย็นชาและออกจากห้องไป
“เจ้ามิเป็นไรใช่ไหม ซูหยาง” โหลวหลานจีตรงเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ทำไมเจ้าต้องไปล่วงเกินตระกูลหวัง มิเพียงแต่เจ้าตบหน้าลูกชายคนโตของเขา แต่เจ้ายังด่าผู้นำตระกูลหวังต่อหน้าจอมยุทธมากมาย เราจะอธิบายเรื่องนี้กับหวังชูเหรินตอนนี้ได้อย่างไร”
เธอกังวลเกี่ยวกับหวังชูเหรินยิ่งกว่าตระกูลหวังทั้งหมด แม้ว่าโหลวหลานจีจะมั่นใจว่าเธอสามารถปกป้องซูหยางจากหวังฟูจี ถ้าหวังชูเหรินตัดสินใจเอาเรื่องเขา เธอคงไม่สามารถที่จะปกป้องเขาได้อีกต่อไป
“ศิษย์พี่ชาย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าพวกเราต้องการที่จะมาที่นี่และจับจองที่นั่งมากมาย…”
ศิษย์รุ่นเยาว์รู้สึกอยากจะร้องไห้ ในสายตาของพวกเขาซูหยางมีท่าทางเช่นนั้นเพราะว่าเขาต้องการรักษาที่นั่งของพวกเขาไว้
“พี่ชาย ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลหวัง ข้าจักพูดกับพ่อของเราและบีบให้เขาใช้เส้นสายบางอย่างไล่คนพวกนั้นไป” ซูหยินกล่าวกับเขาด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ซูหยาง ข้าจักพูดกับผู้อาวุโสหวังเช่นกัน เจ้าเป็นแขกของเธอ และเธอเป็นคนให้ที่นั่งเหล่านี้แก่เจ้าด้วยตนเอง ในเมื่อหวังชิชงเป็นคนริเริ่มทั้งหมดนี้ ข้ามั่นใจว่าเธอจักเข้าใจ” จางซิวยิงก็พยายามที่จะลดทอนความกังวลของเขาเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ทำไมพวกเจ้าจึงกังวลมากกว่าข้าละนี่ มิมีสิ่งใดจักเกิดขึ้นกับข้าต่อให้พวกเจ้ามิได้ทำอะไรเลย”
ซูหยางกลับไปนั่งที่ของตนเองอย่างสบายและกล่าวต่อว่า “การประมูลควรจะเริ่มต้นเร็วนี้ ลืมเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อกี้ไปซะและสนุกไปกับโอกาสนี้ และมิต้องกล่าวโทษตัวเจ้าเองเด็กน้อย ในเมื่อมิได้มีอะไรผิดกับความต้องการที่จะมาที่นี่”
ศิษย์รุ่นเยาว์สบสายตากันไปมา ในเมื่อซูหยางดูไม่เหมือนจะมีความกังวลเลยแม้แต่น้อย พวกเขาก็จึงได้รับอิทธิพลกับทัศนคติที่ไร้กังวลของเขาเช่นกัน
“ถ้าศิษย์พี่ชายมิได้กังวล แล้วทำไมพวกเราจะต้องกังวลด้วยล่ะ”
“ใช่ กระทั่งศิษย์พี่ชายยังพูดเองว่าตระกูลหวังมิมีอะไรเลย พวกเขาจะทำอะไรได้กับพี่ชายที่มีพลังพอที่จะกำจัดโจรนับพันได้ด้วยตัวคนเดียว”
ด้วยศิษย์รุ่นเยาว์ตอนนี้ปราศจากความกังวล ทำให้โหลวหลานจีและคนอื่นได้แต่ส่ายหน้าและพยายามที่จะไม่คิดมากเกี่ยวกับพวกนั้น พวกเขาค่อยกังวลเกี่ยวกับตระกูลหวังหลังจากการประมูล