Dual Cultivation บทที่ 393: ความคิดเห็นของข้าที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนที่หลินเชาชางตื่นขึ้นนั้นการต่อสู้หลายคู่ได้จบไปแล้ว
“สำหรับการต่อสู้คู่ต่อไป เรามีสำนักหงส์สวรรค์และสำนักเมฆม่วง”
ครั้นเมื่อผู้ชมได้ยินคำพูดของซื่อตง ทุกแห่งหนล้วนกระหึ่มไปด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าคิดว่าใครจักเป็นผู้ชนะครั้งนี้”
“นี่ค่อนข้างยาก แม้ว่าสำนักหงส์สวรรค์จะเป็นที่ที่แข็งแกร่ง สำนักเมฆม่วงก็มิอาจที่จะมองข้ามได้ในปีนี้เพราะว่านางฟ้าหง อีกทั้งพวกเขาก็เอาชนะนิกายล้านอสรพิษย์ซึ่งถือได้ว่าเทียบเท่ากับสำนักหงส์สวรรค์มาแล้วด้วย”
“ข้าพนันหินวิญญาณสิบก้อนว่าสำนักหงส์สวรรค์ชนะ”
“เช่นนั้นข้าจักพนันหินวิญญาณห้าสิบก้อนกับสำนักเมฆม่วง”
“ยี่สิบห้าให้กับสำนักหงส์สวรรค์”
“สิบห้ากับสำนักเมฆม่วง”
ผู้ชมพากันพนันการต่อสู้ด้วยอัตราต่อรองที่เท่ากันทั้งสองฝั่ง
“ท่านเจ้าสำนักมีคำพูดอะไรก่อนที่เราจะเริ่มการแข่งขันหรือไม่” ซื่อตงถามพวกเขา
ไป่ลี่ฮัวหรี่ตาไปที่กูกว่านถิงและกล่าวว่า “ถ้าท่าน–”
“อย่ากังวล ศิษย์ของข้ามิมีเจตนาที่จะทำร้ายศิษย์ของท่าน” กูกว่านถิงสามารถเดาได้ว่าเธอต้องการที่จะพูดอะไรและรีบตัดบท
“อะไรที่เกิดขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษนั่นเป็นความแค้นส่วนตัวของเธอ”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ไป่ลี่ฮัวหันไปมองดูซื่อตงแล้วพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ขอเริ่มการแข่งขัน โปรดส่งนักสู้คนแรกของพวกท่านขึ้นบนเวที”
ไม่นานหลังจากนั้นสำนักเมฆม่วงและสำนักหงส์สวรรค์ก็ส่งนักสู้ของตนเองออกมา
แน่นอนว่าศิษย์สำนักเมฆม่วงไม่มีทางต่อสู้กับศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ได้อย่างแน่นอน มีเพียงหงอวี้เอ๋อร์คนเดียวที่สามารถสู้กับพวกเขาได้อย่างเท่าเทียม
อย่างไรก็ตามสำนักเมฆม่วงเพียงต้องการที่จะตัดกำลังศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะปล่อยให้หงอวี้เอ๋อร์ขึ้นบนเวที ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจที่จะเสียแต้มทุกรอบก่อนหน้านั้น
หลายนาทีถัดไปจากนั้นสำนักเมฆม่วงก็เหลือเพียงนักสู้คนสุดท้ายในขณะที่สำนักหงส์สวรรค์ยังคงเหลือศิษย์อีกห้าคนที่สามารถส่งขึ้นบนเวทีได้
“หงอวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” กูกว่านถิงกล่าวกับหงอวี้เอ๋อร์
“ไปจัดการพวกเขาเลย ศิษย์พี่หญิง”
“ใช่แล้ว พวกเขามิมีทางเทียบท่านได้”
เหล่าศิษย์ต่างพากันเชียร์เธอเช่นกัน
“ข้าจักไปเดี๋ยวนี้” หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและเริ่มตรงไปที่เวทีการต่อสู้
“นั่นนางฟ้าหง สุดท้ายเธอก็ขึ้นมาบนเวที”
ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงขึ้นในทันใดหลังจากที่เห็นหงอวี้เอ๋อร์ก้าวขึ้นไปบนเวที และถึงแม้ว่าสำนักเมฆม่วงจะไม่ชนะแม้สักรอบเดียว ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังเชียร์พวกเขา
ในเวลานั้นศิษย์จากสำนักหงส์สวรรค์ต่างพากันกังวลหลังจากที่เห็นหงอวี้เอ๋อร์กระทั่งถึงกับกลัวเธอบ้างเล็กน้อย
“มิมีอะไรที่จะต้องกลัว” เสียงซูหยินพลันดังขึ้น ทำให้เหล่าศิษย์ต่างพากันมองดูเธอ
หลังจากที่เห็นดวงตากระจ่างและสีหน้าสดใสของซูหยิน ความกลัวในใจของพวกเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“แม้ว่าพี่สาวหงจะเป็นยอดยุทธที่แข็งแกร่ง พวกเราก็มิได้อ่อนแอเช่นกัน พวกเราทั้งหมดมาช่วยกันเอาชนะเธอกันตกลงไหม”
เหล่าศิษย์ต่างพากันยิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยินและพากันพยักหน้า
“ศิษย์น้องหญิงพูดถูก เรามิมีเหตุผลที่จะกลัวเธอ”
“ใช่แล้วข้าจะไปสู้กับเธอด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์และสำนักหงส์สวรรค์ก็เริ่มต่อสู้
“อา”
หลังจากที่แลกหมัดกันหลายนาที ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ก็ถอยกลับด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ข-ข้ายอมแพ้”
“สำนักเมฆม่วงได้รักษาชัยชนะครั้งแรกในการแข่งขันนี้” ซื่อตงตะโกน
“ต้องแบบนี้ สำนักเมฆม่วงจักกลับย้อนคืนมานับจากจุดนี้เป็นต้นไป”
“เจ้าสามารถทำได้ นางฟ้าหง เอาชนะสำนักหงส์สวรรค์และช่วยข้าให้ได้รับเงินหน่อย” ผู้ชมตะโกน
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงจากการต่อสู้หลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ยังคงยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางเรียบเฉยบนใบหน้าสวยของเธอ ดูเหมือนกับเทพธิดาที่มิอาจเอื้อมถึง
“ถ้าข้ารู้ว่าตระกูลหงมีคนที่เฉลียวฉลาดปานนี้ในตระกูล ข้าคงจักให้ความสนใจกับพวกเขามากกว่านี้…” เจ้าซีส่ายหน้า
“ข้ามิรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่รู้สึกเหมือนกับมีกลิ่นอายเหนือโลกรอบกายเธอ เมื่อข้ามองดูเธอทำให้ข้านึกถึงซูหยางซึ่งจะมีกลิ่นอายลึกล้ำคล้ายคลึงกันรอบตัวเขา ราวกับว่าพวกเขามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน” ซีซิงฟางกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ในเวลานั้นในส่วนของผู้ชม ซูหยางจ้องมองไปที่หงอวี้เอ๋อร์ด้วยสายตาลึกล้ำดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดลึกๆ
“เสน่ห์อันสูงส่ง การเคลื่อนไหวที่สง่างามและเด็ดขาด และสีหน้าเย็นชาของเธอ เหมือนกับใครคนหนึ่งอย่างที่สุด…” ซูหยางคิดในใจ “ราวกับว่าหงอวี้เอ๋อร์นี้เป็นการกลับมาเกิดใหม่ของเธอ…”
ความคิดที่ว่าหงอวี้เอ๋อร์เป็นการกลับมาเกิดใหม่ของใครบางคนที่เขาเคยรู้จักปรากฏขึ้นในใจของซูหยาง
หลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง รอยยิ้มที่อ่อนโยนสงบสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา
“แม้ว่าโอกาสที่จักเกิดอะไรเช่นนั้นขึ้นมีค่าเกือบเป็นศูนย์ การมีตัวตนอยู่ของข้านั้นก็สนับสนุนให้เห็นว่าโอกาสเล็กน้อยเช่นนั้นมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้”
“ข้าเดาว่าข้าจักรู้ความจริงก็ต่อเมื่อข้าสู้กับเธอ”
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างเล็กน่ารักของซูหยินก็เห็นเดินขึ้นไปบนเวที
“โชคดี ศิษย์น้องหญิง” เพื่อนศิษย์ของเธอต่างพากันเชียร์เธอจากด้านหลัง
ซูหยินเผยรอยยิ้มให้กับพวกเธอและเดินต่อไป
“นี่เป็นนางฟ้าตระกูลซู ซูหยิน”
ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่ผู้ชมพลันจดจำใบหน้าซูหยินได้
“ถ้าข้าจำมิผิด ตระกูลซูและตระกูลหงค่อนข้างใกล้ชิดกันใช่ไหม”
“ใช่ ข้าเชื่อว่านางฟ้าหงตอนนี้หมั้นหมายอยู่กับศิษย์คนโตของตระกูลซู ชื่อของเขาคืออะไรกันนะ”
“เจ้าหมายถึงซูหยูหานรึ แต่ตามความทรงจำของข้า เธอหมั้นหมายกับลูกชายคนที่สองของตระกูลซู”
“ตระกูลซูมีลูกชายคนที่สองด้วยรึ นี่เป็นเรื่องใหม่ของข้า”
“ใช่ เขายากที่จะปรากฏตัวในโลกและมิมีใครเห็นหน้าเขาจริงๆมาก่อน ดังนั้นจึงมิมีคนมากนักรู้จักเขา ถ้าความทรงจำของข้ายังดีอยู่ ข้าเชื่อว่าชื่อเขาคือซูหยาง…”
“ด-ด-เดี๋ยวก่อน ซูหยางรึ ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มีชื่อที่คล้ายกันนี้…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… อย่าไปคิดแบบนั้น พวกเขาแน่นอนว่าต้องเป็นคนละคนกันที่มีชื่อคล้ายกันแน่ มิว่าอย่างไรก็ตามเหตุใดที่คนจากตระกูลซูจึงไปอยู่ยังสถานที่เช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ล่ะ กระทั่งคนโง่ก็มิทำการคิดเชื่อมโยงเช่นนี้”
“เจ้าพูดถูก ข้าเดาว่าเช่นนั้น…”
ขณะที่ผู้ชมพากันพูดคุยกัน ซูหยินก็สนทนากับหงอวี้เอ๋อร์อยู่เช่นกัน
“มิพบกันพักหนึ่งแล้ว พี่สาวหง” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนมบนใบหน้า
“จริง มิพบกันพักหนึ่งแล้ว ซูหยิน” หงอวี้เอ๋อร์ยิ้มตอบกลับ ซึ่งทำให้ผู้ชมที่อยู่รอบข้างพากันส่งเสียงดังขึ้นอีกเล็กน้อย
“สองปี ใช่ไหม ท่านหยุดไปเยี่ยมพวกเรานับตั้งแต่พี่ชายข้าหายตัวไป” ซูหยินกล่าว และต่ออีกว่า “ข้าก็ยังได้ยินอีกว่าท่านยกเลิกการหมั้นหมายกับซูหยูหานและต้องการที่จะหมั้นหมายใหม่กับซูหยาง ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ข้าคิดว่าท่านเกลียดพี่ชายเสียอีก”
หงอวี้เอ๋อร์ยังคงยิ้มและกล่าวว่า “นั่นค่อนข้างจะเป็นการกล่าวหา ซูหยุิน ข้ามิเคยกล่าวคำพูดเช่นนั้นมาก่อน”
“ท่านมิได้พูด แต่การกระทำของท่านและทัศนคติต่อเขาส่อไปทางนั้น”
“จริงอยู่ ข้าอาจะหยาบคายกับเขาไปบ้างในอดีต แต่ทว่าความคิดเห็นของข้าที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้วนับจากตอนนั้น”
ซูหยินเลิกคิ้วและถามว่า “อะไรที่เปลี่ยนไป”
ความรู้สึกลึกลับปรากฏขึ้นรอบตัวของหงอวี้เอ๋อร์ขณะที่เธอพูดว่า “ให้ถือว่าข้าเพิ่งตระหนักรู้ ทำให้ข้าได้เห็นเขาในมุมมองที่ต่างออกไป”